ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ทำไมถึงไปเกิดเป็นเทวดาภาคมาร


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 14 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 May 2006 - 10:55 AM

ทำไมถึงไปเกิดเป็นเทวดาภาคมารด้วย

ในเมื่อจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ ต้องทำความดีมากกว่าความชั่ว แล้วเมื่อเป็นเทวดาแล้วทำไมถึงต้องไปเป็นภาคมารล่ะค่ะ เพราะได้ยินมาว่า เทวดา แม้โกรธนิดเดียว ก็หมดสิทธิ์มีชีวิตเป็นเทวดาต่อ ต้องจุติทันทีแล้ว แล้วทำไมเขาถึงเป็นเทวดาภาคมารได้ล่ะค่ะ เคยได้ยินที่ตอนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ก็มีท้าวปรนิมมิตวสัสตีมาร มาขวาง

การมาขวางพระพุทธเจ้าแบบนี้ เขาไม่บาปเหรอคะ แล้วจะมีสิทธิ์เข้าถึงธรรมได้ด้วยเหรอคะ หรือว่าการสั่งสมความไม่ดี เป็นการสร้างบารมีอธรรมของฝ่ายมาร คะ แล้วเขาจะมีการอธิษฐานให้ได้ไปอยู่แดนนิพพานเหมือนกับภาคขาวรึเปล่าคะ (คิดว่ากระทู้คงจะไม่ถูกโหวตให้ปิดหรอกนะคะ ฮี่ๆ)
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#2 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 May 2006 - 11:22 AM

เข้าใจว่าอกุศลจะเข้าสิง เพราะว่า ยกตัวอย่าง พกาพรหมนั้น เมื่อไปเกิดเป็นพรหม นาน ๆ
เข้าก็เข้าใจผิดว่า ภพพรหมที่ตนอยู่นั้นเที่ยงแท้ เพราะพรหมมีอายุยืน

การมาขวางพระพุทธเจ้าคงไม่เข้าข่ายบาปหนัก ( อนันตริยะกรรม ) แต่ก็มีกรรมเหมือนกัน
เขาเพียงแต่ประลองฤทธิ์กัน ผลสุดท้ายท้าว วสวัตตีมาร ( ผู้ปกครองฝ่ายมารของสวรรค์ชั้น
ปรนิมมิตวสัสตี ) เป็นฝ่ายแพ้ แต่ตอนหลังนี้โดนพระอุปคุตถ์ ทรมานจนเป็นสัมมาทิษฐิและ
ได้รับคำทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วย
หยุดคือตัวสำเร็จ

#3 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 May 2006 - 03:40 PM

QUOTE
เมื่อเป็นเทวดาแล้วทำไมถึงต้องไปเป็นภาคมารล่ะค่ะ

ตอนเกิดเป็นเทวดา อุบัติขึ้นด้วยแรงบุญครับ แต่พออยู่ไปอยู่มา ก็ถูกกิเลสเข้าครอบงำทำให้ทิฏฐิวิบัติได้ในภายหลัง
QUOTE
การมาขวางพระพุทธเจ้าแบบนี้ เขาไม่บาปเหรอคะ แล้วจะมีสิทธิ์เข้าถึงธรรมได้ด้วยเหรอคะ

บาปสิครับ แต่ก็ยังคงมีสิทธิเข้าถึงธรรม แต่ก็คงต้องมีอุปสรรคบ้าง อย่างพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ต้องใช้เวลาถึง 6 ปีในการบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เพราะ เคยไปกล่าวจ้วงจาบพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติที่เกิดเป็นโชติปาละพราหมณ์ โดยกล่าวจ้วงจาบว่า "ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ จะได้มาโดยง่ายได้อย่างไร"
QUOTE
การสั่งสมความไม่ดี เป็นการสร้างบารมีอธรรมของฝ่ายมาร คะ แล้วเขาจะมีการอธิษฐานให้ได้ไปอยู่แดนนิพพานเหมือนกับภาคขาวรึเปล่าคะ

อันนี้ไม่ทราบครับ ไม่กล้าตอบครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#4 เพียงพอ

เพียงพอ

    I |\|EE|) S()|\/|E |3()DY |_()\/E.

  • Members
  • 724 โพสต์
  • Location:ไม่มีข้อมูล
  • Interests:ไม่มีข้อมูล

โพสต์เมื่อ 27 May 2006 - 04:13 PM

เหอะๆ พระพุทธเจ้าไม่พูดจากลำกลวง คำทุกคำที่ตรัส เป็นคำจริงเสมอ
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.

เพียงพอ


#5 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 27 May 2006 - 06:09 PM

QUOTE
การสั่งสมความไม่ดี เป็นการสร้างบารมีอธรรมของฝ่ายมาร คะ แล้วเขาจะมีการอธิษฐานให้ได้ไปอยู่แดนนิพพานเหมือนกับภาคขาวรึเปล่าคะ


ไม่มีหรอกค่ะ
เพราะเขาไม่มีกายหยาบ เลยไม่มีการเดินกายแบบเรา
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#6 ลูกพระธัมฯ Merry Ma

ลูกพระธัมฯ Merry Ma

    The STRONGEST is the GENTLEST!!!

  • Members
  • 891 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Bangkok, Thailand

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 02:24 AM

คำว่าคุณธรรมนั้นมีทั้งขั้นหยาบๆ ค่อนละเอียด จนถึงละเอียดมากๆ จนใสบริสุทธ์ค่ะ
ฉะนั้นความดีที่เกิดจากการบำเพ็ญคุณธรรมขั้นหยาบ ค่อนละเอียด
แต่ยังไม่เห็นธรรมฝ่ายขาวขั้นที่ชัดเจนนั้น ก็ถือว่าได้สร้างบุญบารมีมาบ้าง

แต่ว่าการที่ไม่ได้เข้าถึงธรรมขั้นละเอียดจนละวางความชั่ว อกุศลจิต จนถึงอวิชานุสัย
จิตทั้งหลายยังถูกฝ่ายมารมาเอิบอาบ เคลือบ ปน จนครอบครองไส้ในของจิตได้อยู่ค่ะ

ฉะนั้น คนดี/เทวดาดี/พรหมที่ดีด้วยคุณธรรมที่ยังไม่ถึงธรรมอันบริสุทธิ์ นั้นก็มีบุญให้อยู่สภาพที่ดีนั้นๆ
ด้วยผลบุญของตน และมีฤทธิ์ด้วยบารมีที่ฝึกทำมา แต่ก็ไม่วายอาจจะถูกปรับไปเป็นทาสกิเลสอวิชชาได้
เพราะว่าทุกชาติที่จิตเกิดมานั้นมีเรื่องราวที่ซับซ้อนอยู่ มันเอาสิ่งที่บกพร่อง ไม่รู้จริงมาดึงให้ทำผิดได้เสมอค่ะ
The Strongest is The Gentlest!

ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด

#7 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 03:18 AM

โอ คำถามอยากถามมานานแล้วเหมือนกันค่ะ แต่ไม่กล้าถามในกระทู้เพราะค่อนข้างลึก เคยถามคนอื่นแต่เขาบอกว่า นั่งไปดูเองดีกว่า(เฮ้อ แล้วเมื่อไรจะรู้เนี้ย) เพราะเป็นเรื่องละเอียด เราอาจตามไม่ทัน
แล้วพวกสาวกพญามาร ทำไมถึงไปเกิดในภพนั้นค่ะ แล้วคงสถานภาพเป็นมารได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่สร้างบารมีอธรรม เขาอธิฐานจิตไว้เหรอค่ะ
เขามีบุญ มีบาป แล้วมีโอกาสมาเกิดในภพ 3 ไหมค่ะ
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#8 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 09:13 AM

QUOTE
แล้วพวกสาวกพญามาร ทำไมถึงไปเกิดในภพนั้นค่ะ แล้วคงสถานภาพเป็นมารได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่สร้างบารมีอธรรม เขาอธิฐานจิตไว้เหรอค่ะ

QUOTE
QUOTE
เมื่อเป็นเทวดาแล้วทำไมถึงต้องไปเป็นภาคมารล่ะค่ะ

ตอนเกิดเป็นเทวดา อุบัติขึ้นด้วยแรงบุญครับ แต่พออยู่ไปอยู่มา ก็ถูกกิเลสเข้าครอบงำทำให้ทิฏฐิวิบัติได้ในภายหลัง


สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#9 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 01:43 PM

เรื่องของมารนั้นพระพุทธองค์ทรงกล่าวพูดถึงเยอะมากเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้ทรงชี้ชัดไปว่า
มารคือผู้ที่ทำบุญแบบไหนถึงเกิดเป็นมารครับ แต่พระองค์จะอธิบายว่าบ่วงมารคืออะไรครับ?
อะไรคือเครื่องผูกของมาร? โดยจะสังเกตได้ว่ามารนั้นได้ตามราวีพระพุทธองค์กับสาวกมาโดย
ตลอดหลายครั้งเชียวครับ (เนื้อหายาวหน่อยนะครับ)

****************************************************************
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับที่ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา ฯ
ก็สมัยนั้นแล มารผู้มีบาปติดตามพระผู้มีพระภาค คอยมุ่งหาช่องโอกาส สิ้น ๗ ปี ก็ยังไม่ได้ช่อง ฯ

[๔๙๗] ภายหลังมารผู้มีบาป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้มาซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้ ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลัง ปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือ เหตุ ไรท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชนทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำมิตร- *ภาพกับใครๆ ไม่สำเร็จ ฯ

[๔๙๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมารผู้เป็นเผ่าของบุคคลผู้ประมาทแล้ว เราขุดรากของ ความเศร้าโศกทั้งหมดแล้ว ไม่มีความชั่ว ไม่เศร้าโศก เพ่ง อยู่ เราชนะความติดแน่น กล่าวคือความโลภในภพทั้งหมด เป็นผู้ไม่มีอาสวะ เพ่งอยู่ ฯ

.............
[๕๐๔] ครั้นแล้ว มารผู้มีบาปได้ภาษิตคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายเหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ฝูงกาเห็นก้อนหินมีสีดุจมันข้น จึงบินเข้าไปใกล้ด้วยเข้าใจว่า เราทั้งหลาย พึงประสบอาหารในที่นี้เป็นแน่ ความยินดีพึงมี โดยแท้ ฯ เมื่อพยายามอยู่ไม่ได้อาหารสมประสงค์ในที่นั้น จึงบิน หลีกไป ฯ ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ก็เหมือนกามาพบศิลา ฉะนั้น ขอหลีกไป ฯ ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปครั้นกล่าวคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่าย เหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงหลีกจากที่นั้น ไปนั่งขัดสมาธิที่พื้นดิน ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมด ปฏิภาณ เอาไม้ขีดแผ่นดินอยู่ ฯ

ที่มา : http://84000.org/tip...009&pagebreak=0 (อ่านต่อ)


[๕๐๕] ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า ข้าแต่คุณพ่อ คุณพ่อมีความเสียใจด้วยเหตุอะไร หรือ เศร้าโศกถึงผู้ชายคนไหน หม่อมฉันจักผูกผู้ชายคนนั้นด้วย บ่วง คือราคะ นำมาถวาย เหมือนบุคคลผูกช้างมาจากป่า ฉะนั้น ชายนั้นจักตกอยู่ในอำนาจของคุณพ่อ ฯ

[๕๐๖] พระยามารกล่าวว่า ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้ อันใครๆ พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมาร ไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก ฯ

[๕๐๗] ครั้งนั้นแล มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึง พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่าง นี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักขอบำเรอพระบาทของพระองค์ ฯ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงคำของนางมารธิดาเหล่า นั้น เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม ฯ

[๕๐๘] ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา จึง หลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของ บุรุษมีต่างๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็นนางกุมาริกาคน ละร้อยๆ ฯ ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันนิรมิต เพศเป็นนางกุมาริกาคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอ พระบาทของพระองค์ ฯ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงถ้อยคำของมารธิดา เพราะพระองค์ ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม ฯ

...........
ที่มา : http://84000.org/tip...136&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

นั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้อาฬวิกาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากวิเวก
ที่มา : http://84000.org/tip...164&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้โสมาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิฯ
ที่มา : http://84000.org/tip...188&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้กิสาโคตมีภิกษุณีบังเกิดความ- *กลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...216&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้วิชยาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...240&pagebreak=0 (อ่านต่อ)


มารผู้มีบาปใคร่จะให้อุบลวรรณาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...267&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้จาลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...290&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้อุปจาลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...315&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปเข้าไปหาสีสุปจาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะสีสุปจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของใคร หนอ ฯ
ที่มา : http://84000.org/tip...340&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้เสลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...366&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้วชิราภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...404&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

๕. นันทิยเถรคาถา
สุภาษิตเตือนมาร

[๑๖๒] จิตของภิกษุใดได้บรรลุผลญาณ สว่างรุ่งเรืองอยู่เป็นนิตย์ ท่านมา เบียดเบียนภิกษุนั้นเข้า จักได้รับทุกข์แน่นอน นะมาร.

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=5126&Z=5129

๖. สมิทธิเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความไม่กลัวมาร

[๑๘๓] เราออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา มีสติและปัญญาอันเจริญ มี จิตตั้งมั่นดีแล้ว ดูกรมาร ถึงท่านจักบันดาลรูปต่างๆ ที่น่ากลัว ให้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราสะดุ้งกลัวได้เลย.

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=5252&Z=5256

๙. รามเณยยกเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับพลังจิต

[๑๘๖] ดูกรมาร บุคคลบางจำพวก ย่อมสะดุ้งกลัวเพราะเสียงคำรามของ ท่าน และเสียงร้องคำรามแห่งเทวดา แต่จิตของเราไม่หวั่นไหว เพราะเสียงเหล่านั้น เพราะจิตของเรายินดีในความเป็นผู้เดียว

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=5266&Z=5270


เราชื่อว่าโมคคัลลานะโดยโคตร เป็นผู้ชำนาญในสมาธิและวิชชา ถึงที่สุดแห่งบารมี เป็นปราชญ์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้อันตัณหาไม่อาศัย มีอินทรีย์ มั่นคง ได้ตัดเครื่องจองจำคือกิเลสทั้งสิ้นเสียอย่างเด็ดขาด เหมือนกับ กุญชรชาติตัดปลอกที่ทำด้วยเถาหัวด้วนให้ขาดกระเด็นไป ฉะนั้น เราคุ้น เคยกับพระศาสดา ฯลฯ ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว เราบรรลุ ถึงประโยชน์ที่กุลบุตรผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว บรรลุถึง ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงแล้ว มารผู้มักประทุษร้าย เบียดเบียนพระสาวก นามว่าวิธุระและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่ากกุสันธะ แล้วหมกไหม้ อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร คือ เป็นนรกที่มีขอเหล็กตั้งร้อย และ เป็นที่ทำให้เกิดทุกขเวทนาเฉพาะตนทุกแห่ง มารผู้มักประทุษร้าย เบียด เบียนพระสาวกนามว่าวิธูระ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่ากกุสันธะ หมกไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้

ภิกษุใดเป็นสาวกแห่ง พระพุทธเจ้า รู้กรรมและผลกรรมโดยประจักษ์ ดูกรมารผู้มีธรรมดำ ท่านเบียดเบียนภิกษุนั้นเข้า ก็จะต้องประสบทุกข์เป็นแน่แท้
.......................
ดูกรมารผู้มีธรรมดำ ท่านเบียดเบียน ภิกษุรูปนั้นเข้า ก็จะต้องประสบทุกข์เป็นแน่แท้ ไฟไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะ ไหม้คนพาลเลย แต่คนพาลรีบเข้าไปหาไฟอันลุกโพลงให้ไหม้ตนเอง ฉันใด ดูกรมาร ท่านประทุษร้ายพระตถาคตนั้นแล้ว ก็จักเผาตนเอง เหมือนกับคนพาลถูกไฟไหม้ ฉะนั้น แน่ะมารผู้ชาติชั่ว ตัวท่านเป็นมาร คอยแต่ประทุษร้ายพระตถาคตพระองค์นั้น ก็ต้องพบแต่สิ่งซึ่งมิใช่บุญ หรือท่านเข้าใจว่า บาปไม่ให้ผลแก่เรา แน่นะมารผู้มุ่งแต่ความตาย เพราะท่านได้ทำบาปมาโดยส่วนเดียว จะต้องเข้าถึงทุกข์ตลอดกาลนาน ท่านจงอย่าคิดร้ายต่อพระพุทธเจ้า และภิกษุทั้งหลาย ผู้สาวกของ พระพุทธเจ้าอีกต่อไปเลย พระมหาโมคคัลลานเถระได้คุกคามมารที่ป่า เภสกฬาวันดังนี้แล้ว ลำดับนั้น มารนั้นเสียใจจึงได้หายไป ณ ที่นั้น นั่นเอง.

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=8478&Z=8642

ว่าด้วยมารเสนา
[๑๓๔] คำว่า บุคคลผู้มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดินนั้น เป็นผู้กำจัดเสนาในธรรมทั้งปวง คือ ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน หรืออารมณ์ที่ทราบอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความว่า มารเสนาเรียกว่า เสนา กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ ฯลฯ อภิสังขารคือ อกุศลกรรมทั้งปวง ชื่อว่ามารเสนา.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
กิเลสกาม เรากล่าวว่าเป็นมารเสนาที่ ๑ ของท่าน
ความไม่ยินดี เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๒ ของท่าน
ความหิวกระหาย เรากล่าวว่า เป็นเสนาที่ ๓ ของท่าน
ตัณหา เรากล่าวเป็นเสนาที่ ๔ ของท่าน
ความง่วงเพราะหาวนอน เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๕ ของท่าน
ความขลาด เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๖ ของท่าน
ความลังเลใจ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๗ ของท่าน
ความลบหลู่และความกระด้าง เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๘ ของท่าน
ลาภ ความสรรเสริญ สักการะ และยศที่ได้โดยทางผิด เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๙ ของท่าน
ความยกตนและข่มผู้อื่น เรากล่าวว่า เป็นเสนาที่ ๑๐ ของท่าน

ดูกรพระยามาร เสนาของท่านเหล่านี้ เป็นผู้มี ปกติกำจัดผู้มีธรรมดำ คนไม่กล้าย่อมไม่ชนะเสนานั้นได้ ส่วนคนกล้า ย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อมได้สุข ดังนี้
..........................
ที่มา http://84000.org/tip...9&A=1822&Z=2239 (อ่านต่อ)

คำว่า มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือ กรรมนั้นนั่นแล ความว่า ขันธมาร ธาตุมาร อายตนมาร คติมาร อุปบัติมาร ปฏิสนธิมาร ภวมาร สังสารมาร วัฏฏมาร อันมีในปฏิสนธิ ย่อมไปตาม คือ ตามไป เป็นผู้ติดตามไป ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือ กรรมนั้น นั่นแล.

คำว่า ชนฺตุ คือ สัตว์ นระ มาณพ บุรุษ บุคคล ชีวชน ชาตุชน ชันตุชน อินทคูชน ผู้เกิดจากพระมนู เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือกรรมนั้น นั่นแล. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า หมู่สัตว์พึงนำเสียซึ่งตัณหาเครื่องยึดถือทั้งหมด ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ หรือแม้ชั้นกลางส่วนกว้าง. เพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเข้าไปถือรูปาทิขันธ์ใดๆ ในโลก มารย่อมไปตามสัตว์ ด้วยอำนาจอภิสังขารคือกรรมนั้นนั่นแล.

[๔๒๘] เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ เมื่อเห็นซึ่งหมู่สัตว์นี้ผู้ข้องอยู่ใน บ่วงแห่งมัจจุว่า เป็นผู้ติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ พึง เป็นผู้มีสติไม่เข้าไปยึดถืออะไรๆ ในโลกทั้งปวง.

ที่มา http://84000.org/tip...0&A=3783&Z=3982 (อ่านต่อ)


หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#10 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 03:55 PM

QUOTE
เทวอสุรา ได่แก่ เทวดาพวกที่เรียกว่า อสุระหรืออสูร

เทวอสุรา มี ๖ อย่างคือ เวปจิตติอสุรา, ปหารอสุรา, สุพลิอสุรา, สัมพรตีอสุรา, ราหุอสุรา, วินิปาติกอสุรา. เทวอสูร ๕ พวกแรก มีที่อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ มีความเป็นอยู่คล้าเทวดาชั้นดาวดึงส์ แต่เป็นปฏิปักษ์กับเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยมีการแย่งภพภูมิที่อยู่กันมาแต่ในสมัยอดีต เทวอสุราพวกสุดท้าย วินิปาติกอสุรา มีอํานาจน้อยกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์.


เทวอสุรา ถือว่าเป็นเทวดาภาคมารหรือเปล่าครับ?

#11 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 08:40 PM

ความจริงแล้ว มนุษย์ เทวดา พรหม และอรูปพรหม (รวมทั้งสัตว์ในอบาย) ทุกคน ทุกตน มีความเป็นมาร (กิเลสมาร) อยู่ในตัวทุกคนนั่นแหละครับ เปรียบเสมือนมีเชื้อโรคอยู่ในตัวทุกคนนั่นเอง แต่ความเป็นมารนั้น จะแผลงฤทธิ์ได้มากหรือน้อย ขึ้นกับพละ 5 หรือภูมิต้านทานเชื้อโรคในตัวเรา ใครมีพละ 5 หรือภูมิต้านทานน้อย เขาก็กลายเป็นโรค เอ้ย เป็นมาร อุปมามากชักเพี้ยนเนอะ

จะกำจัดเชื่อโรคในตัวได้ ต้องฝึกพละ 5 จนเต็มบริบูรณ์ จนใจหมดสิ้นกิเลส (มีเครื่องกำจัดเชื้อโรคเกิดขึ้นทั่วตัว จนเชื้อโรคในตัวตายหมด)

แต่เชื้อโรคก็ยังมีอยู่ในคนอื่นอยู่นั่นเอง ดังนั้น ต้องกำจัดผู้ส่งเชื้อโรคมาน่ะครับ เชื้อโรคจึงจะหมดไปจากแผ่นดินอย่างสมบูรณ์แบบ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#12 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 08:56 PM

QUOTE
ต้องฝึกพละ 5 จนเต็มบริบูรณ์ จนใจหมดสิ้นกิเลส

พละ 5 คืออะไรคะ
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#13 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 May 2006 - 09:23 PM

QUOTE
พละ 5 คืออะไรคะ

พละ ๕ (ธรรมเป็นกำลัง ๕ อย่าง)
๑. ศรัทธา
๒. วิริยะ
๓. สติ
๔. สมาธิ
๕. ปัญญา
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#14 ลูกพระธัมฯ Merry Ma

ลูกพระธัมฯ Merry Ma

    The STRONGEST is the GENTLEST!!!

  • Members
  • 891 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Bangkok, Thailand

โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 12:25 AM

สาธุค่ะพี่หัดฝัน ที่เปรียบเทียบกิเลสมารไว้กับเชื้อโรค ซึ่งจิตทุกดวงมีเชื้อโรคติดอยู่
เพียงแต่ว่าภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือเปล่า ถ้าบกพร่องช่วงไหนก็กลายเป็นผู้ป่วยไป
ถูกมารเล่นบังคับบัญชาได้ ให้กายเป็นมากไปด้วย จึงเป็นเหตุให้มีเทวดามารนั้นเอง
และที่สำคัญคือไปกำจัดรังของเชื้อโรค/กิเลสในตัวซะ (และถ้าจะให้ดีกำจัดต้นแหล่งเลย)

การที่เราฝึกตนให้มีพละ 5 เข้มข้นมากขึ้น เราก็จะเริ่มกำจัดเชื้อโรคทางจิตหรือกิเลสในตัวได้
ด้วยอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไปตามลำดับจนกว่าจะกำจัดเชื้อโรคพันธุ์นั้นๆจนหมดเชื้อ
กำจัดให้หมดถึงรังกิเลสภายในตัวเรา ไม่เหลือเศษเชื้อกิเลศนั้นให้กลายพันธุ์ได้อีก
และสร้างภูมิคุ้มกัน (วิธีป้องกันติดเชื้อกิเลส+วิธีกำจัด) ครบรอบด้วยปัญญาได้อย่างเหนียวแน่น
และเมื่อแข็งแรงไร้เชื้อกิเลสตัวนั้นๆแล้ว ก็หมั่นออกกำลังจิตเพื่อสร้างบุญกุศล บารมีให้มาก
เชื้อกิเลสตัวนั้นก็จะฝ่อ และดับสลายไป แม้นจะเกิดใหม่ติดเชื้อมาบ้างก็กลับมาหายขาดได้อีก

ส่วนมารฝูงอื่นใน 5 ฝูงนั้น ก็ตามที่หลายท่านได้กล่าวไว้แล้วค่ะ
The Strongest is The Gentlest!

ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด

#15 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 01:52 PM

QUOTE
เทวอสุรา ถือว่าเป็นเทวดาภาคมารหรือเปล่าครับ?

ไม่ใช่ครับ เทวอสุราเป็นเทวดาในอสุรพิภพ สถิตอยู่ในบริเวณพื้นที่ของเขาตรีกูฏใต้เขาพระสุเมรุครับ อันที่จริงแล้วยังมีอสูรอีกประเภทหนึ่งซึ่งก็คือ "นิรยอสุรา" ซึ่งอสูรจำพวกนี้มีถิ่นที่พำนักอาศัยอยู่ในอายตนะโลกันตร์ อันประดิษฐานอยู่ด้านใต้ของภพ ๓ ถัดลงไปสามเท่า

เกี่ยวกับโลกันตร์ => http://forums.dmc.tv...?showtopic=2310

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี