ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

สัมมาทิฏฐิ ( ๘ )


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
ไม่มีการตอบกลับในกระทู้นี้

#1 kuna

kuna
  • Members
  • 780 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 03:42 PM

[attachmentid=1920]

บุคคลคบคนเช่นใด จะเป็นสัตบุรุษหรืออสัตบุรุษก็ตาม จะมีศีลหรือไม่มีศีลก็ตาม เขาย่อมตกไปสู่อำนาจของผู้นั้น บุคคลทำบุคคลเช่นใดให้เป็นมิตร และคบหาคนเช่นใด เขาก็ย่อมเป็นคนเช่นนั้น เพราะการอยู่ร่วมกัน ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ผู้เสพย่อมติดนิสัยของผู้ที่ตนเสพ ผู้ติดต่อย่อมติดนิสัยของผู้ที่ตนติดต่อ เหมือนลูกศรอาบยาพิษย่อมเปื้อนแล่ง ฉะนั้น
ชีวิตหลังความตายยังเป็นความลับอยู่ ความไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน เสมือนกับคนตาบอดปีนต้นไม้ บังเอิญพลาดพลั้งตกจากยอดไม้ ขณะที่ร่วงหล่นลงมาก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าจะตกไปกระทบกับสิ่งใดบ้าง คนส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมชื่อว่า พลัดตกไปสู่ความตายทันที วัน เดือน ปี ที่ผ่านไปได้กลืนกินชีวิต นำพาความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ จะเหลียวหาคนช่วยให้พ้นจากความตายนั้น ก็ไม่มี เพราะทุกคนล้วนต้องตายหมด เราจำเป็นต้องยอมรับความจริงนี้ และต้องเตรียมตัวตายอย่างถูกวิธี ด้วยการสั่งสมบุญกุศลให้เต็มที่ อีกทั้งต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกของสรรพสัตว์ทั้งในโลกนี้และในปรโลก
มีธรรมภาษิตใน มหานารทชาดก ความว่า
“บุคคลคบคนเช่นใด จะเป็นสัตบุรุษหรืออสัตบุรุษก็ตาม จะมีศีลหรือไม่มีศีลก็ตาม เขาย่อมตกไปสู่อำนาจของผู้นั้น บุคคลทำบุคคลเช่นใดให้เป็นมิตร และคบหาคนเช่นใด เขาก็ย่อมเป็นคนเช่นนั้น เพราะการอยู่ร่วมกัน ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ผู้เสพย่อมติดนิสัยของผู้ที่ตนเสพ ผู้ติดต่อย่อมติดนิสัยของผู้ที่ตนติดต่อ เหมือนลูกศรอาบยาพิษย่อมเปื้อนแล่งฉะนั้น”
นี้เป็นธรรมภาษิตที่พระนางรุจาราชธิดาได้กล่าวสอนพระบิดา เพื่อให้พระองค์ปลดเปลื้องจากความเห็นผิด คือ ไม่ให้ไปคบกับคุณอเจลกะผู้เป็นเจ้าลัทธิมิจฉาทิฏฐิ แต่ดูเหมือนว่า พระบิดายังเชื่อมั่นในคำสอนของคุณอเจลกะ การคบคนพาลก็เหมือนกับ ผ้าที่ห่อซากศพ จะนำไปซักไปล้างด้วยกรรมวิธีธรรมดาไม่ได้ จำเป็นต้องใช้สารซักฟอกที่สามารถขจัดคราบได้ดีเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นพระนางจึงต้องใช้สติปัญญา และอาศัยเวลาที่จะเปลี่ยนพระทัยของพระบิดาให้หันกลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิบุคคลเหมือนเดิม

พระนางรุจาราชธิดาได้เล่าเรื่องในอดีตชาติให้ฟังว่า
“ข้าแต่พระบิดา หม่อมฉันระลึกชาติได้ว่า ตนเองได้ท่องเที่ยวมาแล้ว ๗ ชาติ และระลึกชาติในอนาคตได้อีก ๗ ชาติ ฉะนั้น หม่อมฉันจึงเชื่อโลกนี้และโลกหน้า เชื่อเรื่องผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีและทำชั่ว ในชาติที่ ๗ ในอดีต หม่อมฉันเกิดเป็นบุตรนายช่างทอง ได้คบคนพาลเป็นสหาย ก่อกรรมทำบาปไว้มาก เที่ยวเป็นชู้กับภรรยาของชายอื่น แต่กรรมนั้นยังไม่ให้ผลในทันที เหมือนไฟที่ถูกเถ้ากลบไว้ ภพชาติถัดมา หม่อมฉันได้เกิดในวังสรัฐ เมืองโกสัมพี เป็นลูกชายคนเดียวในสกุลเศรษฐี ได้รับความเคารพนับถือจากคนทั้งเมือง ชาตินั้น หม่อมฉันได้คบมิตรสหายที่ยินดีในการสั่งสมบุญ เป็นบัณฑิต เขาได้แนะนำให้หม่อมฉันรักษาอุโบสถศีลในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และกรรมนี้ก็ยังไม่ได้ให้ผลเช่นกัน เหมือนขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ใต้น้ำ ยังไม่ได้นำออกมาใช้
เพราะกรรมเจ้าชู้ที่หม่อมฉันเคยทำไว้นั้นตามมาทัน คือ หลังจากหม่อมฉันจุติจากตระกูลเศรษฐีนั้นแล้ว ก็ไปหมกไหม้อยู่ในโรรุวมหานรกเป็นเวลายาวนาน ได้รับความทุกข์อันแสนสาหัส ไม่มีความสุขแม้เพียงครู่เดียว ครั้นพ้นจากมหานรกแล้ว ได้เกิดเป็นลาที่ต้องถูกตอน และถูกใช้งานตลอดชีวิต
เมื่อจุติจากชาติที่เป็นลา หม่อมฉันได้ถือปฏิสนธิในกำเนิดของสัตว์อีก เป็นลิงอยู่ในป่า วันที่เกิด พวกลิงได้นำหม่อมฉันไปให้จ่าฝูงดู เมื่อลิงจ่าฝูงเห็นเข้า ก็ไม่ชอบใจ จึงกัดลูกอัณฑะจนขาด หม่อนฉันต้องกลายเป็นลิงตอนตั้งแต่นั้นมา
ครั้นจุติจากชาติที่เป็นลิง ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ ต้องถูกตอนอีกเช่นเดิม เนื่องจากเป็นโคที่แข็งแรง จึงถูกเทียมเกวียนจนวันตาย นี้เป็นเพราะกรรมที่ทำให้ชายอื่นต้องชํ้าใจ เพราะไปเป็นชู้กับภรรยาเขา
เมื่อจุติจากชาติที่เป็นโค ได้มาบังเกิด เป็นกะเทยในครอบครัวของคนมีฐานะดี ในชาตินั้นพ่อแม่และหมู่ญาติของหม่อมฉัน ต้องได้รับความอับอาย เพราะความเป็นกะเทยของหม่อมฉัน และตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา หม่อมฉันไม่ประพฤติผิดในกามอีกต่อไป
เมื่อจุติจากชาติที่เป็นกะเทย ได้ไปบังเกิดเป็นนางเทพอัปสรในสวนนันทวันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ หลังจากจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว บุญที่เคยทำไว้ในครั้งที่เกิดเป็นลูกเศรษฐีในเมืองโกสัมพี ได้ตามมาให้ผล
ครั้นจุติจากดาวดึงส์พิภพ ได้เวียนว่ายตายเกิดใน ๒ ภพภูมิเท่านั้น คือ เป็นมนุษย์และเทวดาอยู่ ๗ ชาติ และต้องเกิดเป็นหญิงอยู่ถึง ๖ ชาติ เพราะกรรมเจ้าชู้ที่หม่อมฉันเคยทำไว้นั้น ในชาติที่ ๗ หม่อมฉันจึงได้เกิดเป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก
ทุกวันนี้ นางเทพอัปสรทั้งหลายได้ร้อยพวงมาลัย มอบให้กับเทพบุตรนามว่าชวะ ผู้เป็นว่าที่สามีของหม่อมฉันอยู่ที่สวนนันทวัน บัดนี้อายุของหม่อมฉันผ่านไปได้ ๑๖ ปีแล้ว แต่ ๑๖ ปีนี้เป็นเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นของเทวดาชั้นดาวดึงส์ เพราะ ๑๐๐ ปีในเมืองมนุษย์ เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฉะนั้นกรรมทั้งหลายย่อมติดตามไปทุกๆ ชาติ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว เมื่อยังไม่ให้ผลแล้ว ก็จะยังไม่พินาศไป”
ต่อจากนั้น พระราชธิดาได้แสดงธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปว่า “ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกชาติ ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย เหมือนบุคคลล้างเท้าจนสะอาดแล้ว เว้นจากเปือกตม ฉะนั้น หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆ ชาติ พึงยำเกรงสามี เหมือนนางเทพอัปสรผู้เป็นบาทบริจาริกายำเกรงพระอินทร์ ฉะนั้น ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์ อายุ ยศ และสุขอันเป็นทิพย์ พึงเว้นบาปทั้งหลาย ควรประพฤติแต่สุจริตธรรมด้วยกาย วาจา ใจ
บุรุษและสตรีไม่ควรประมาทด้วยกาย วาจา ใจ ควรมีปัญญารักษาตนให้พ้นจากทุกข์ในอบายภูมิ นรชนเป็นคนมียศ มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง แสดงว่านรชนนั้นได้สั่งสมกรรมดีไว้ในชาติปางก่อนโดยไม่ต้องสงสัย สัตว์ทั้งปวงล้วนมีกรรมเป็นของตัว ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์ทรงดำริด้วยพระองค์เองเถิด พระสนมผู้เลอโฉมงดงามดุจดังนางเทพอัปสร ประดับประดาคลุมกายด้วยตาข่ายทองเหล่านี้ พระองค์ทรงได้มาเพราะผลแห่งบุญที่ทำไว้ในภพชาติก่อน ทั้งสิ้น”
พระนางรุจาราชธิดาได้ทูลเล่าถึงชาติที่ตนเกิดมาแล้วในอดีต และทรงแสดงธรรมถวายแด่พระชนก ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเช้าวันใหม่
ในที่สุดได้ตรัสสรุปว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงเชื่อถ้อยคำของคนเปลือยกาย ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเลย โลกนี้มี โลกหน้ามี สมณะผู้หมดกิเลสมี ผลของความดีความชั่วก็มี ขอพระองค์ทรงเชื่อคำของหม่อมฉันเถิด”
พระเจ้าอังคติราชทรงสดับวาจาที่ไพเราะของพระราชธิดาแล้ว รู้สึกปลื้มพระทัย เหมือนมารดาบิดามีความเอ็นดูต่อถ้อยคำของบุตรรัก แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดของพระนางก็ยังไม่สามารถทำให้พระราชาปลดเปลื้องความเป็นมิจฉาทิฏฐิออกไปได้
เมื่อพระราชธิดาทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ยังไม่ทรงละความพยายาม พระนางประคองอัญชลีขึ้นเหนือพระเศียร ได้นมัสการทิศทั้งสิบ พลางอธิษฐานจิตว่า “ขอให้สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม รวมทั้งท้าวโลกบาลและท้าวมหาพรหม มาช่วยปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิของพระชนกด้วยเถิด” ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เรามารับฟังกันต่อ

เห็นไหมว่า การจะแก้ไขบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐินั้น ไม่ใช่ของง่าย บุคคลที่ใจถูกสนิม คือ กิเลสเกาะจนติดแน่นแล้ว เมื่อจะเคาะสนิมออก จำเป็นจะต้องใช้เวลา และต้องมียอดกัลยาณมิตรผู้มีบุญมาแนะนำ พูดง่ายๆ คือ ต้องมีคู่ทรมาน จึงจะยอมกันได้ ไม่เช่นนั้นก็ยากเหมือนกัน แต่ดีที่สุด เรายอมเชื่อภูมิปัญญาของผู้รู้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันดีกว่า เพราะท่านรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดหมดในทุกสิ่ง เชื่อท่านแล้ว ทำตามท่าน ชีวิตจะได้ปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองกันทุกคน

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  MO1_28__.jpg   136.67K   12 ดาวน์โหลด