ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

คนพาล มิตรเทียม และมิตรแท้


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 18 August 2005 - 10:16 PM

อยากทราบว่า คนพาล (The Ruffians) มิตรเทียม (The Insincere) และมิตรแท้ (The True Companions) ในทัศนคติของท่านนั้น เป็นเช่นไร??? และหากท่านมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกคบเพื่อน ในสังคมที่มีเพียงแต่คนพาลและมิตรเทียมแล้ว ท่านจะเลือกคบมิตรประเภทไหน??? ด้วยเหตุผลใด???

คำเตือน : ขอความกรุณาเคารพสิทธิในการแสดงความคิดเห็น และใช้คำพูดที่สุภาพ

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 19 August 2005 - 04:33 PM

เผอิญไปเจอเนื้อความในตำรามาพอดีครับ
ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่ ในสิงคาโลวาทสูตร
ตรัสเรียกปาปมิตร ว่า มิตรปฏิรูป คือ มิตรเทียม
ตรัสเรียก กัลยาณมิตร ว่า สุหัส คือ คนใจดี จัดเป็นมิตรแท้
ทรงจำแนกลักษณะมิตรเทียม และมิตรแท้ฝ่ายละ ๔ พวก

มิตรเทียมนั้น คือ ผู้ปอกลอก เป็นผู้พูดไม่จริง เป็นประจบ เป็นผู้ชักพาในทางฉิบหาย

มิตรแท้นั้น คือ เป็นผู้อุปการะเกื้อหนุนกันจริง เป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์กันได้ เป็นผู้แนะนำในทางที่เป็นประโยชน์ เป็นผู้เอ็นดูรักใคร่จริง

ครั้นทรงแสดงลักษณะแห่งมิตรเทียมและมิตรแท้ดังนี้แล้ว ตรัสให้เว้นมิตรเทียมเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทางเว้นทางอันตราย พระองค์ตรัสให้เข้าหามิตรแท้เหมือนมารดาไม่ทิ้งบุตร
ฉะนั้นกัลยาณมิตรหรือมิตรแท้นั้นท่านพรรณนาว่า เป็นปัจจัยแห่งความเจริญทั้งที่เป็นส่วนโลกิยะและโลกุตระ เมื่อได้มิตรเช่นนั้นพึงผูกใจไว้ด้วยสังคหวิธีตามควร ดังพระบรมพุทโธวาท ตรัสสอนสิงคาลกมาณพคหบดีบุตรว่า
...
ดูก่อนคหบดีบุตร มิตรเปรียบด้วยทิศเบื้องซ้าย กุลบุตรพึงบำรุงมิตรด้วยมิตรฐานะ ๕ ประการ
... ด้วยการกล่าวถ้อยคำน่ายินดี
...ด้วยประพฤติการที่เป็นประโยชน์แก่มิตร
...ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอไม่ถือตัว ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน
...ด้วยคำพูดซื่อตรงไม่หลอกลวงกัน

ดูก่อนคหบดีบุตร มิตรอันเปรียบเทียบด้วยทิศเบื้องซ้าย อันกุลบุตรบำรุงด้วยฐานะ ๕ อย่างเหล่านี้แล้ว ...มิตรย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยฐานะ ๕ ประการ คือ
๑. กุลบุตรนั้นเลินเล่อเผลอสติ ย่อมเอาใจใส่ระวังรักษาเขา
๒. ย่อมป้องกันรักษาทรัพย์สมบัติเขา
๓. เมื่อมีทุกข์ร้อนย่อมเป็นที่พึ่ง
๔. ย่อมไม่ละทิ้งในยามวิบัติ
๕. ย่อมนับถือครอบครัววงศ์วานเขา

ผู้ที่ประกอบด้วยลักษณะแห่งมิตรพร้อมด้วยมิตรธรรมเช่นนี้ จัดว่าเป็นมิตรดี มีความซื่อตรงต่อมิตร
ย่อมเป็นที่นิยมนับถือของประชาชน พ้นจากภัยอันจะบังเกิดแต่ศัตรูหมู่อมิตร

ต้องด้วยภาษิตของพระโพธิสัตว์ ครั้งเสวยพระชาติเป็นเตมิยกุมาร ตรัสแก่นายสุนันทสารถี โดยนิพนธ์คาถาดังนี้ว่า

บุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายมิตรแท้ จากบ้านเรือนของตนไป ย่อมเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาหาร คือมีผู้คนต้อนรับสักการะด้วยอาหาร คือมีผู้คนตอบรับสักการะ ด้วยความนิยมนับถือ ได้เป็นที่พึ่งแห่งอุปชีวกชนเป็นอันมาก บุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ไปสู่ชนบทใดๆ ก็ดี ไปสู่นิคมราชธานีทั้งหลายก็ดี ย่อมเป็นผู้ที่เขาบูชา คือ ได้รับการต้อนรับในที่เหล่านั้นทุกตำบล
....
ผลของมิตรธรรมในคาถานี้
๑. สักการะเขาแล้วย่อมเป็นผู้ที่เขาสักการะตอบ
๒. เคารพเขาแล้ว เป็นผู้ที่เคารพของเขา
๓. บุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมได้รับการยกย่องและเกียรติคุณ
...
บุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร จำรูญพูนย่อมเกิดแก่เขา พืชพันธุ์ที่หว่านในนาของเขาย่อมงอกงามจำเริญ เขาย่อมได้บริโภคผลแห่งพืชพันธุ์ที่หว่านแล้ว...

ข้อนี้เปรียบได้ดังภาษิต บุคคลไม่ประทุษร้ายมิตร แม้ตกเหวหรือตกเขา หรืออับปาง ย่อมได้ที่พำนักไม่ตกอับ

บุคคลไม่ประทุษร้ายมิตร ศัตรูหมู่อมิตรไม่อาจย่ำยีได้ ดุจไม้ไทรมีรากและย่านอันงอกงาม พายุไม่อาจพัดพานให้ล้มไปได้ฉะนั้น
โดยนัยนี้ให้ความหมายว่า ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตรและเข้าใจในอุบายสงเคราะห์มิตร ย่อมเป็นที่รักของประชาชน มีพวกพ้องมาก ผู้น้อยเป็นที่รักของท่านผู้ใหญ่ ก็จะได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู คนที่เสมอกันต่างก็จะได้อาศัยกัน
ท่านผู้ใหญ่เล่าก็จะได้ผู้น้อยไว้เป็นกำลัง แม้กิจเกิดขึ้น ก็ตั้งใจทำให้สำเร็จด้วยความภักดี สามัคคี คือ ความพร้อมเพรียงด้วยกายและจิต ก็ย่อมเป็นไปเพราะความรักใคร่เป็นที่ตั้ง เมื่อเกิดขึ้นในหมู่ใดก็ยังความเจริญให้เป็นไปในหมู่นั้น สมด้วยภาษิตว่า
พวกที่หาพวกพ้องมิได้ ไม่สามารถทรงตนอยู่ได้ เหมือนต้นไม้ไร้ราก ไร้กิ่ง ทนพายุไม่ได้ฉันนั้น
คุณ คือ ความมีพรรคพวกมาก เป็นกำลังเครื่องตั้งมั่นของตน เหมือนต้นไม้ใหญ่มีรากหยั่งลึกลงมั่นในพสุธา ตั้งลำต้น แตกสาขางอกงามวัฒนา พายุพัดมาทั้ง ๘ ทิศ ก็ไม่อาจให้ล้มไปได้ฉะนั้น

ความซื่อตรงต่อมิตร เว้นประทุษจิต ไม่คิดทำลาย เป็นคุณอำนวยสุขสมบัติอัฐวิบูลผล
ตามภาษิตนิพนธ์ของพระเตมิยโพธิสัตว์ มีอรรถาธิบายดังที่ได้วิสัชนามา

คัดลอกจากเรื่อง มิตรธรรม-ธรรมครองใจมิตร
โดยพระเทพสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
จากหนังสือ กฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๘
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 19 August 2005 - 05:33 PM

คนพาลได้แก่ ทิศทั้งหก ที่เป็นพาลครับ
ส่วนมิตรเทียม ได้แก่ ทิศเบื้องซ้าย ที่เป็นพาลครับ
ถ้าไม่พบบัณฑิต พึงท่องไปคนเดียวดีกว่าครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 19 August 2005 - 11:30 PM

"หากเธอหาคนที่ดีกว่าเธอ
หรือดีเสมอเธอไม่ได้แล้วไซร้
เธอพึงท่องเที่ยวไปโดยลำพังแต่เพียงผู้เดียว...
ประเสริฐกว่า"

If you can not find any true companions,
who is equivalent to or better than you are;
It is better off on your own.

พุทโธวาท

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#5 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 August 2005 - 12:03 AM

ในกรณีที่ท่านต้องอยู่ในสถานการณ์จำยอม ซึ่งต้องคบกับมิตรเทียมและคนพาล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ท่านจะประพฤติและวางตัวอย่างไรต่อบุคคลเหล่านี้ครับ?
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#6 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 August 2005 - 03:27 AM

smile.gif
น้องก้องถามมาทั้งที ก็ขอแสดงความเห็นหน่อยนะคะ (พูดไม่ค่อยเก่งแต่ก็ขอหน่อยแล้วกัน)
อย่างที่น้องก้องถามว่าถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องข้องเกี่ยวกับคนที่ประเภทที่เรียกว่ามิตรเทียมหรือคนพาลจะทำอย่างไร
สำหรับดิฉันคิดว่าในความเป็นจริงแล้วน่ะมันเกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะถูกแวดล้อมด้วยบัณฑิตอย่างเดียว เพื่อนสนิท หรือญาติๆเรา แม้แต่บางคนพ่อแม่ของตัวเอง เอาเข้าจริงแล้วพอมาไล่ตามคุณสมบัติกันดูอาจจะจัดอยู่ในประเภทกัลยาณพาลก็ได้ แล้วจะวางตัวอย่างไรน่ะหรือ ในความคิด (ที่ไม่ค่อยมีเท่าไหร่)ของดิฉันเห็นว่า

อย่างแรก ระวังตัวอย่าให้คนเหล่านั้นทอดลักษณะพาลนั้นเค้ามาสู่ตัวเรา หรือเราไปดูดซับลักษณะเหล่านั้นเข้ามาหาตัวเอง โดยเราเองควรแสวงหาบัณฑิตมาเป็นมิตรของเราด้วยและพยายามน้อมนำคุณธรรมของท่านเหล่านั้นเข้ามาใส่ตัวเราอยู่เสมอๆ และตัวเราเองก็ต้องหมั่นฝึกฝนอบรมตัวเองให้เป็นบัณฑิต หรือกัลยาณมิตรแก่ผู้อื่นได้
ต่อมา อย่าไปคลุกคลีกับมิตรเทียมมากนัก หลีกห่างได้ให้หลีก แสดงให้เค้าเห็นขอบเขตของเรา อย่างเช่นแม้ใครจะชวนเล่นการพนันเราก็ไม่ยอมร่วมด้วยเด็ดขาด แต่อย่าไปสร้างศัตรูกับใครทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าญาติเราไปพูดส่อเสียดให้คนอื่นเข้าใจผิดครอบครัวของเรา พอเรารู้เลยประจานความไม่ดีของเค้าซะเลย

ที่สำคัญที่สุดคือตัวเรา ถ้าเราทำตัวของเราให้ดีพร้อมแล้ว คนที่อยู่รอบข้างเราอาจจะได้รับการถ่ายทอดคุณธรรมจากเราและทำให้เค้าเปลี่ยนแปลงในทางบวก หรืออย่างน้อยเค้าก็จะเกรงใจ ไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวด้วย อย่าลืมว่า หนอนกินคูดก็ย่อมอยู่กับกลุ่มพวกเดียวกันในกองคูด ส่วนฝูงโคย่อมอยู่รวมกับโคด้วยกัน

#7 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 23 August 2005 - 11:14 AM

ใช่แล้วครับ กระทำดังที่คุณแจ่มตอบมา ซึ่งหลวงพ่อทัตตะท่านสรุปเป็นสุภาษิตสั้นๆ ว่า ให้กระทำตัวให้เหมือน "หนังหน้าไฟ" คือ อยู่ใกล้ไฟ ก็ย่อมร้อน แต่ก็ไม่ยอมหลอมละลายไปกับไฟด้วยครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#8 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 25 August 2005 - 12:41 AM

และถ้าหากในกรณีของมิตรแท้บ้างล่ะครับ นอกจากความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ และความกตัญญูกตเวที อันเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงธาตุแท้ของความเป็นบัณฑิต/คนดีแล้ว ยังมีคุณธรรมอื่นใดอีกบ้างครับ??? ที่เราสามารถใช้ในการสังเกตได้อย่างง่ายๆ (scan) ว่าเขา/เธอนั้น คือ "มิตรแท้" (คำถามนี้ ขอความกรุณาตอบตามประสบการณ์ที่ท่านได้พบเห็นมาในชีวิตจริงนะครับ กราบขอบพระคุณครับ)
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#9 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 28 September 2005 - 04:04 AM

เนื่องจากคำถามสุดท้ายของกระผมยังไม่ได้รับการตอบ ถ้าเช่นนั้นกระผมขอเป็นผู้นำร่องก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ

โดยส่วนตัวของกระผมเองนั้น มีหลักในการคัดกรองมิตรที่จะคบอย่างง่ายๆ อยู่ ๒ ประการว่า

๑) เขาเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ อาทิ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น หรือไม่?
๒) เขาเป็นคนมีสัจจะหรือไม่?
๓) เขารักตัวเองหรือไม่?

ข้อ ๑) อธิบายว่า "ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี" หากมิตรผู้นั้น เข้ามาบอกกับเราว่า เขารักและปรารถนาดีต่อเรา แต่ตัวเขาเองไม่มีคุณธรรมในข้อนี้แล้วล่ะก็ เขาโกหกเราแล้วล่ะครับ ก็ลองคิดดูง่ายๆ สิครับว่า ขนาดพ่อแม่แท้ๆ ที่เป็นผู้ให้กายมนุษย์เขามา เขายังไม่รักเลย แล้วตัวเราเอง หากจะทำดีกับมิตรประเภทนี้ ขอรับรองว่า เราทำดีได้ไม่เกินพ่อ เกินแม่ของเขาหรอกครับ (ก็ขนาดพ่อแม่ของเขา ดีกับเขาสารพัดถึงปานนั้น เขายังไม่รู้คุณ (กตัญญู) และไม่ตอบแทนคุณ (กตเวที) ท่านนี่ครับ)

ข้อ ๒) อธิบายว่า สัจจะบารมีนั้น เป็นดั่งเสาเรือน เป็นดั่งแกนโครงสร้างของบ้านทั้งหลัง หากไม่มีเสาเรือนแล้ว บ้านทั้งหลังก็คงพังครืน เช่นเดียวกัน คนที่ไม่มีศีล ไม่มีสัตย์ ย่อมเปรียบได้กับ คนสันหลังหัก ที่ได้แต่นอนเพียงอย่างเดียว มิอาจที่จะลุกยืนขึ้นได้ ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า มิตรผู้ไม่มีสัจจะนั้น เป็นมิตรที่พร้อมจะทำความชั่วได้ทุกรูปแบบ และพร้อมที่จะประทุษร้ายมิตรที่ดีกับเขาได้ตลอดเวลา (จึงควรอยู่ให้ห่าง และเมื่อเวลาทำบุญพึงอธิษฐานกำกับเสียว่า "ขอให้ข้าพระพุทธเจ้า พึงอย่าได้พบเจอ อย่าได้รู้จัก อย่าได้นำพาตนเองเข้าไปเกลือกกลั้วด้วย และขอให้ละลายหายสูญไปจากแผนผังแห่งการสร้างบารมีของข้าพระพุทธเจ้า นับแต่บัดนี้ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม เป็นต้น)

โดยสรุปแล้วนั้น การที่เราจะคบใครสักคน เราจะต้องฟังด้วยหู ดูด้วยตา แล้วใช้สัมมาปัญญา เป็นเครื่องตัดสินนะครับ การรับฟังข้อมูลจากบุคคลท่านอื่นๆ ขอให้ฟังเพียงแค่ เป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณาในการตัดสินแต่เพียงเท่านั้น ท่านอย่าได้เชื่อไปเสียทั้งหมดล่ะ เพราะสิ่งที่ท่านได้ยินมา อาจไม่ใช่ แต่สิ่งที่ใช่ ท่านอาจจะไม่ได้เห็น ในตัวของบุคคลคนหนึ่ง แม้ที่สุด สิ่งที่เห็นจะจะกับตา (ในบางครั้ง) ก็ยังเป็นมายาเลย นี่จากประสบการณ์ตรงของตัวกระผมเองนะครับ
เพราะโดยส่วนตัวของกระผมนั้น จะเป็นคนที่ไม่เชื่อคำพูดของบุคคลที่สามอย่างง่ายๆ หากยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจริง/เท็จเป็นเช่นไร? เวลาที่มีใครมาบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้เนี่ย กระผมจะใช้หลักที่ว่า "ไม่เชื่อ ไม่ปฏิเสธ แต่ขอหยุดคิดก่อน" จากนั้น จึงพิจารณาเทียบเหตุเทียบผลดูว่า ไอ้ที่เขาพูดมานั่นน่ะ มันจริงหรือเปล่า? ถ้าจริงตามนั้นก็จบ (คือ เลิกคบกับบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างนั่นเสีย) แต่ถ้าไม่เป็นจริงตามนั้นแล้ว กระผมขอแนะนำว่า ท่านควรอยู่ให้ห่างไกลจากมิตรประเภทนี้นะครับ (ในที่นี้หมายเอามิตร ที่ชอบนำความข้างโน้น ไปบอกข้างนี้ เอาความข้างนี้ ไปบอกข้างโน้น ซึ่งผมมีศัพท์พิเศษในการเรียกมิตรประเภทนี้ว่า "ตัวปัญหาเคลื่อนที่") และอย่าได้หลงดีใจว่า ท่านได้มิตรแท้เสียล่ะ เพราะนี่มันคนพาลชัดๆ เลย เนื่องจากเข้าข่ายในลักษณะของการพูดส่อเสียดให้แตกแยก ให้โกรธและเกลียดกัน ซึ่งจัดเป็นคนพาลในประเภทชอบพูดชั่วต่ำเป็นปกตินั่นแหละครับ อีกเรื่องหนึ่ง ที่ท่านจะสามารถสังเกต/แยกแยะประเภทของมิตรที่ท่านกำลังคบหาอยู่ได้อย่างง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงสนทนาก็คือ "มิตรเทียม" ซึ่งเป็นประเภทที่เรียกว่า "ต่อหน้าสรรเสริญ แต่ลับหลังกลับนินทา" กล่าวคือ หากในวงสนทนานั้น ได้มีการกล่าวร้ายมิตรผู้ใด ผู้หนึ่ง ในที่นั้นว่า ไม่ดีในอย่างนั้น อย่างนี้แล้วล่ะก็ มิตรประเภทนี้ จะออกอาการหูผึ่งเป็นพิเศษ และจะเข้าร่วมผสมโรง อีกทั้งขยายความผิดของมิตรผู้นั้น ให้พิสดารยิ่งๆ ขึ้นไปโดยทันที (เข้าทำนอง "สนุกปากเรา แต่เขาลำบาก" ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่ทราบเช่นเดียวกันว่า เท็จจริงแล้วนั้น เป็นเช่นไร?) มาถึงตรงนี้ กระผมขอฝากคำพูดของ คุณป้าเกษมสุข ภมรสถิตย์ (ป้าใส) ไว้กับทุกๆ ท่าน ณ ที่นี้เลยนะครับว่า "เราอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่เราไม่มีโอกาสทราบได้ว่า เขา/เธอเหล่านั้น ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร? เพราะมันเป็นวจีกรรมที่รุนแรงและส่งผลเร็วมาก" ฉะนั้น ใครที่มีนิสัยอย่างนี้ ให้หักดิบเสียนะครับ จะได้ไม่มีวจีกรรมติดตัวไป


ข้อ ๓) อธิบายว่า หากเขาเป็นคนที่ไม่รักตัวเอง ยังให้ของขวัญกับตัวเอง ด้วยการตั้งตนไว้ในทางที่ชอบไม่ได้ แล้วเขาจะไปรักและให้อะไรกับใครได้

มีเพื่อนดี มีหนึ่ง ถึงจะน้อย
ดีกว่าร้อย เพื่อนคิด ริษยา
ดั่งเกลือดี ก้อนน้อย ด้อยราคา
ยังดีกว่า/ยังมีค่า กว่าน้ำเค็ม เต็มทะเล


สรุปว่า "คบมิตรเทียมนับพัน ประเสริฐกว่า คบคนพาลเพียงคนเดียว คบบัณฑิตเพียงคนเดียว ประเสริฐกว่า คบมิตรเทียมนับพัน" ครับ


#10 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 28 September 2005 - 03:53 PM

จากประสพการณ์ชีวิต ที่ได้เคยไปอยู่นอกบุญเขตมา กว่าจะกลับมาได้ก็สะบักสะบอมระหกระเหินไม่เป็นท่า ได้เคยสำผัสคนพาล และมิตรแท้มิตรเทียมมาไม่ใช่น้อยครับ
คนพาล นี่ อย่างที่หลวงพ่อทัตตะท่านกล่าวไว้ ว่า มีลักษณะ คิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว อยู่ในสถานที่ๆชั่วๆ แล้วก็มักจะอยู่กับคนชั่วๆด้วยกันครับ ซึ่งข้อนี้เป็นความจริงทีเดียว คนพวกนี้ มักจะรวมกลุ่มกันอยู่เป็นที่ๆ อย่างวัยรุ่นก็จะมั่วสุมกันตามบ้านเพื่อน หรือหอพักอพาร์ตเม้น วันๆคิดแต่จะหาเรื่องไม่ดีทำ คิดอะไรที่ดีๆไม่เป็นอย่างเช่น ดื่มเหล้า หรืออย่างน้อยก็บุหรี่ ถ้าไม่มีของพวกนี้มันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างครับ แล้วในกลุ่มด้วยกัน ถ้าบังเอิญเพื่อนคนไหน คิดที่จะทำดี เช่น คิดจะหยุดเหล้าบุหรี่ มักจะโดนเพื่อนในกลุ่ม ล้อเลียน หรือโดนพูดจาตัดรอนกำลังใจเอา ทำให้หมดอารมที่จะทำสิ่งดีๆ ข้อนี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครก็ตามเผลอไปคบคนพาลเข้า ก็จะกลายเป็นคนพาลเสียเองโดยไม่รู้ตัว
และถ้าใครเผลอไปคบคนพาลแรกๆก็มักจะ พูดว่าจริงใจรักเพื่อน อย่างนั้นอย่างนี้ แต่จริงๆแล้วเป็นความจริงใจแบบพาลๆครับ คือ จริงใจคือ มีเหล้าก็เรียกกันกิน มีบุหรี่ก็แบ่งกันสูบ มียาเสพก็แบ่งกัน มีเรื่องทะเลาะวิวาทก็ช่วยเหลือกัน ลักษณะทำนองนี้ ปรากฏขึ้นกับ กลุ่มเยาวชนไทยไม่น้อยเลย น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งครับ เรื่องของคนพาล ยังมีอีกมากครับ คนเหล่านี้ ถ้ารวมกลุ่มกันเมื่อไหร่ มีเรื่องพาลๆให้เขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ
สำหรับมิตรแท้นั้น ไม่ขอกล่างถึงมากครับ แต่ก็จะตรงกันข้ามกับคนพาลทุกอย่าง คือ คิดดี ทำดี พูดดี อยู่ในสถานที่ดีๆ รวมกลุ่มกันก็จะคิดแต่เรื่องดีๆมีเรื่องดีๆที่สร้างสรรค์ และมีความจริงใจต่อกันอย่างแท้จริงครับ




#11 *สมาชิกใหม่*

*สมาชิกใหม่*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 29 September 2005 - 01:46 PM

QUOTE(ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี @ 19/8/2005 0:16) ดูโพสต์
อยากทราบว่า คนพาล (The Ruffians) มิตรเทียม (The Insincere) และมิตรแท้ (The True Companions) ในทัศนคติของท่านนั้น เป็นเช่นไร??? และหากท่านมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกคบเพื่อน ในสังคมที่มีเพียงแต่คนพาลและมิตรเทียมแล้ว ท่านจะเลือกคบมิตรประเภทไหน??? ด้วยเหตุผลใด???

คำเตือน : ขอความกรุณาเคารพสิทธิในการแสดงความคิดเห็น และใช้คำพูดที่สุภาพ



อยากเรียนถามว่า เราจะเป็นผู้ตั้งกระทู้ถามบ้าง ต้องสมัครอย่างไรบ้าง

ขอแจมความคิดเห็นกับคำถามของคุณไชยานุภาพ ด้วยคนนะ แต่ขอออกตัวก่อนนะ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ อย่าว่ากันนะ แต่ถ้าทำให้ใครไม่ชอบใจ ก็ขออภัยด้วยนะ

คนพาล คือ คนที่ชอบขัดแย้งกับทุกคนทุกเรื่อง หากเหตุนั้น ๆ ไม่เป็นที่สบอารมณ์เขา

มิตรเทียม คือ คนที่ยังหาจุดยืน หรือความต้องการที่ถูกต้องที่แท้จริงของตัวเองไม่เจอ แต่จะโอนเอนไปกับทุกเรื่องทุกคนที่มีประโยชน์กับเขา

มิตรแท้ คือ คนที่เราต้องใชวิจารณญาณที่ประกอบด้วยคุณธรรม ศีลธรรม อันดีงามถูกต้องของเราเองในการค้นหา ซึ่งอาจต้องใช้ทั้งชีวิตในการคบหาก็ได้

ในสังคมปัจจุบันนี้ โดยทั่วไป (จะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยหรือไม่นั้นไม่ทราบนะ คงจะแล้วแต่ว่าขึ้นกับสังคมใด) ในคนเดียวกัน 1 คน มีทั้ง 3 ประเภทในตัวเองครบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ประโยชน์ และบุคคลที่เขาเกี่ยวข้องด้วย แต่ทั้ง 3 ประเภท ยังไม่น่ากลัวเท่ากับเจอเพื่อนประเภท friendly enemy

ส่วนคำถามที่ว่า หากมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกคบเพื่อน ในสังคมที่มีเพียงแต่คนพาลและมิตรเทียมแล้ว จะเลือกคบประเภทใด เพราะเหตุใด

ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ขอเลือกคบคนพาลดีกว่า เพราะคนพาล ถ้านำเขาในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง บ่อยๆ โดยพูดให้ถูกสถานการณ์และอารมณ์ที่เหมาะสมกับเขา ก็อาจจะทำให้เขาเลิกพาลได้ แต่เราเองก็ต้องไม่ใช่คนพาลที่มีทัศนคติที่พาล ๆ ด้วยนะ ส่วนมิตรเทียมนั้น เราดูไม่ออกว่าเขาจริงใจ หรือ จิงโจ้เมื่อไหร่ เพราะเวลาแสดงทัศนคติกับเขา เขาจะไม่แสดงอะไรออกมา เรียกว่าดื้อเงียบก็ได้

นี่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวนะ เพราะตัวเราเองอยู่ในสถานที่แบบนี้เปี๊ยบเลย ทุกคนในที่ทำงานผิดศีลทุกข้อ แล้วแต่ว่าวันไหนผิดข้อไหนเท่านั้น ก็คิดดูซิ ตกเย็น หลังเลิกงาน ก็ตั้งวงเหล้าหน้า office เลย กินเหล้า กินเบียร์ จนดึกดื่น เมาแล้วก็ขับคถกลับบ้าน แต่ก็แปลกบางคนเจออุบัติเหตุรถชนจนยับเยิน แต่ตัวคนขัยไม่เป็นไร

#12 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 12 October 2005 - 10:41 AM

แบบพัฒนาตนเอง

หากเรามีคุณสมบัติเป็นคนพาล
ชีวิตเราย่อมเต็มไปด้วยคนพาล
หากเรามีคุณสมบัติเป็นมิตรเทียม
ชีวิตเราย่อมพบแต่คนเทียมมิตร
หากเรามีคุณสมบัติเป็นมิตรแท้
ก็จะมีแต่มิตรแท้เคียงข้างคู่ชีวิต
ดังนั้น จงพัฒนาคุณสมบัติความเป็นมิตรแห่งตนอยู่เนืองๆ
ประเมินคุณสมบัติตัวเองแบบวันต่อวัน
แล้วปรับปรุงนิสัยตนเองเสมอให้สมบูรณ์


SELF DEVELOPMENT

If we are the ruffians, we will surround by the
ruffians.
If we are the insincere friends, we only find
similar friends.
If we are the true companions, we then easily
accompany all true ones.
Consequently, evaluate and evolve your own qualification.
Day by day evaluate yourself,
and try to become a true companion towith
selective ones you accompany.


(ดัดแปลงและเรียบเรียงโดย ขุนศึกผู้พิชิตหงสา)

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#13 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 17 October 2005 - 02:32 PM

4 วิธีปลอบใจคนสนิทให้หายเศร้า

๑) แสดงความชิดใกล้ ต้องแสดงให้เขารู้ว่า เราห่วงใยเขาจริงๆ ในกรณีที่เราไม่สามารถไปอยู่ใกล้ชิด อาจใช้วิธีโทรศัพท์ เขียนจดหมาย ส่งการ์ด หรือส่ง e-mail ไปก็ได้นะครับ เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่า คุณยังระลึกถึงอยู่เสมอ
๒) เป็นผู้ฟังที่ดี "ต้องเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด" หากเขายังไม่มีอารมณ์ที่จะพูดหรือกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น เราก็ควรรอคอยอย่างอดทน เมื่อเขาพร้อมที่จะพูด ก็ต้องฟังอย่างตั้งใจ และพร้อมให้ความช่วยเหลือเขาเสมอ
๓) ส่งต่อกำลังใจให้แก่กัน เพื่อช่วยให้เขาได้มองเห็นทางออกในเรื่องที่กำลังกลัดกลุ้มใจ เป็นการช่วยให้เขามีความหวังในชีวิต และพร้อมที่จะหยัดสู้ต่อไป
๔) อย่าไปตัดสินใจแทนเขา ข้อนี้ศิราณีหลายท่านพลาดกันเยอะนะครับ เพราะนิสัยเสียประการหนึ่งของคนไทยเราก็คือ "การไม่เคารพในความเห็นหรือการตัดสินใจของผู้อื่น" ซึ่งจุดนี้เราต่างจากประเทศที่เขาพัฒนาแล้วเป็นอย่างมากนะครับ เพราะเขาจะเคารพในความเห็นและสิทธิของกันและกัน โดยสรุปก็คือ เราต้องช่วยให้เขาสามารถแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้ด้วยตัวของเขาเอง ต้องให้เกียรติในการตัดสินใจของเขา อีกทั้งต้องแสดงความจริงใจในการที่จะช่วยเหลือเขาต่อไป


ด้วยวิธีดังกล่าวนี้ เขาเหล่านั้นก็จะคลายทุกข์และมีกำลังใจดีๆ ที่จะสู้ชีวิตต่อไปอย่างแน่นอนครับ