มณีจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น
เริ่มโดย Dhamma Bot, Jul 01 2009 07:42 AM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 01 July 2009 - 07:42 AM
ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีราชวงศ์ปกครอง ซึ่งราชวงศ์นี้มีจักพรรดิเป็นผู้นำครับ
ความน่าสนใจนั้นอยู่ที่ว่า ราชวงศ์นี้มีประเพณีอันดีงามสืบทอดกันมาอยู่ประการหนึ่ง
นั่นก็คือการมอบดวงแก้วมณีประจำราชวงศ์ให้กับผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งผู้นำเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
ถ้าหากจักรพรรดิองค์ใหม่ยังไม่ได้รับมอบดวงแก้วมณีนี้ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นจักรพรรดิที่สมบูรณ์
ประเพณีการส่งต่อดวงแก้วจักรพรรดินี้มีความน่าสนใจมากจริง ๆ ครับ เพราะเป็นเสมือนการมอบสิทธิ์
รวมถึงภารกิจทั้งมวล เพื่อให้ผู้รับดวงแก้วนั้น ได้ทำหน้าที่แทนสืบต่อไป เพราะฉะนั้น หากเราอยากจะทราบ
ว่าท่านผู้นำนั้นได้รับสิทธิ์มาบริบูรณ์โดยชอบหรือเปล่า ก็ให้ดูว่าท่านได้รับมอบดวงแก้วมณีจากผู้นำคนก่อนหรือยังครับ
ท่านใดพอจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมอะไรบ้าง ช่วยบอกด้วยครับ
ความน่าสนใจนั้นอยู่ที่ว่า ราชวงศ์นี้มีประเพณีอันดีงามสืบทอดกันมาอยู่ประการหนึ่ง
นั่นก็คือการมอบดวงแก้วมณีประจำราชวงศ์ให้กับผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งผู้นำเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
ถ้าหากจักรพรรดิองค์ใหม่ยังไม่ได้รับมอบดวงแก้วมณีนี้ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นจักรพรรดิที่สมบูรณ์
ประเพณีการส่งต่อดวงแก้วจักรพรรดินี้มีความน่าสนใจมากจริง ๆ ครับ เพราะเป็นเสมือนการมอบสิทธิ์
รวมถึงภารกิจทั้งมวล เพื่อให้ผู้รับดวงแก้วนั้น ได้ทำหน้าที่แทนสืบต่อไป เพราะฉะนั้น หากเราอยากจะทราบ
ว่าท่านผู้นำนั้นได้รับสิทธิ์มาบริบูรณ์โดยชอบหรือเปล่า ก็ให้ดูว่าท่านได้รับมอบดวงแก้วมณีจากผู้นำคนก่อนหรือยังครับ
ท่านใดพอจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมอะไรบ้าง ช่วยบอกด้วยครับ
#2
โพสต์เมื่อ 01 July 2009 - 03:06 PM
คงต้องประกอบด้วยอานุภาพแห่งบุญในตัวด้วยล่ะครับ ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสได้เป็นพระจักรพรรดิ
#3
โพสต์เมื่อ 01 July 2009 - 06:36 PM
น่าสนใจมากค่ะ มีแหล่งที่มาของข้อมูลไหมคะ
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#4
โพสต์เมื่อ 01 July 2009 - 09:18 PM
ตั้งแต่โบราณกาลมา ญี่ปุ่นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3 ชิ้นที่ยึดถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความถูกต้องแห่งพระราชอำนาจของพระจักรพรรดิ และยังเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้า เรียกว่า "สามเทวภัณฑ์" อันได้แก่
- มณีทรงหยดน้ำยะซากะนิ
- กระจกยาตะ
- ดาบคุซะนางิ
ซึ่งทั้งหมดมีที่มาจากตำนานโคจิกิ อันเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของ ญี่ปุ่น
มณียะซากะนิ (YASAKANI NO MAGATAMA)
ลักษณะของมณีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่ามางะทามะนั้น เป็นมณีรูปทรงโค้งคล้ายหยดน้ำหรือเหมือนเครื่องหมายจุลภาค ( , ) ทำด้วยหยก หินโมรา หรือหินมีค่าชนิดอื่น ๆ เริ่มมีในสมัยยาโยย (ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ - ค.ศ 300)
คำ [ยะซากะนิ] สามารถแยกได้เป็น [ยะ] , [ซากะ] และ [นิ] คำว่า [ยะ] เป็นภาษาโบราณหมายถึง 'จำนวนนับไม่ถ้วน' , [ซากะ] แปลตามตัวอักษร หมายถึงหน่วยวัดความยาว "ชะคุ" ซึ่ง 1 ชะคุเทียบได้ประมาณ 30.03 เซ็นติเมตร [นิ] แปลว่า 'มณี' เมื่อทั้งสามคำมารวมกันก็จะหมายถึง มณีชิ้นใหญ่ที่ร้อยด้วยกันเป็นสายยาว มักใช้เป็นเครื่องประดับคอ ทำด้วยหินมีค่า ทอง หรือ ดินเหนียว
ตำนานโคจิกิและนิฮอนโชคิกล่าวว่า เทวีอามาเทราสุ ผู้ปกครองสูงสุดแห่งสวรรค์ทากะมางะฮาระได้มอบ มณียะซากะนิ กระจกยาตะ และดาบคุซะนางิ แก่เจ้าชายนินิงิซึ่งจะเสด็จจากสรวงสวรรค์ลงไปปกครองยามาโตะ(ญี่ปุ่น) เรียกกันว่า "การจุติแห่งพระราชนัดดา (หลาน)" เทวภัณฑ์ทั้งสามชิ้นนี้ถูกส่งมอบแก่พระจักรพรรดิต่อ ๆ กันมา จนถึงรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ที่ 10 คือ จักรพรรดิซุยนิน มีการทำดาบและกระจกจำลองให้เป็นของพระจักรพรรดิ ส่วนของจริงให้นำไปบูชาที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำอิซุซุในแคว้นอิเสะ (ปัจจุบันคือ ศาลเจ้าอิเสะในเทศบาลนครอิเสะ จังหวัดมิเอะ) ต่อมาดาบจริงก็ถูกย้ายไปบูชาที่ศาลเจ้าเน็ทสึดะที่แคว้นโอวาริ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอัทสึตะ เทศบาลนครนาโงยะ จังหวัดไอจิ สำหรับมณีของจริงนั้น ถูกเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวง เคียงคู่กับดาบและกระจกจำลอง
ในปีบุนจิที่หนี่ง (ค.ศ. 1185) ดาบจำลองได้หายสาบสูญไป กล่าวกันว่าได้จมลงก้นทะเลพร้อมกับจักรพรรดิอันโทคุ เมื่อพระองค์ทรงปลงพระชนม์ที่อ่าวดันโนะอุระ (ปัจจุบันคือตำบลโตโยอุระ จังหวัดยามางุจิ) ซึ่งเป็นสมรภูมิสงครามทางทะเลครั้งสุดท้ายของศึกเก็นเป ระหว่างตระกูลไทระและมินาโมโตะ และได้มีการทำดาบจำลองอันที่สองขึ้นในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน กระจกจำลองซึ่งถูกไฟไหม้มาถึง 3 ครั้ง ถูกนำไปตั้งไว้ที่ "สถานแห่งความเกรงขาม" (KA SHIKODOKORO) ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลเจ้าหลวง ส่วนมณีของจริงกับดาบจำลองอันที่สองได้ตั้งไว้ที่ห้องพิเศษ ของวัง เรียกว่า "ห้องแห่งพระมณีและพระแสงดาบ" (KENJI NO MA) นอกจากนี้ยังยึดถือกันว่า การเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิองค์ใหม่จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทรงเข้าร่วมพระราชพิธีสืบทอดพระมณีและ
พระแสงดาบจำลอง เรียกว่า "KENJI TOGYO NO GI" ซึ่งเป็นพระราชพิธีแบบชินโตที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีราชาภิเศก
- มณีทรงหยดน้ำยะซากะนิ
- กระจกยาตะ
- ดาบคุซะนางิ
ซึ่งทั้งหมดมีที่มาจากตำนานโคจิกิ อันเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของ ญี่ปุ่น
มณียะซากะนิ (YASAKANI NO MAGATAMA)
ลักษณะของมณีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่ามางะทามะนั้น เป็นมณีรูปทรงโค้งคล้ายหยดน้ำหรือเหมือนเครื่องหมายจุลภาค ( , ) ทำด้วยหยก หินโมรา หรือหินมีค่าชนิดอื่น ๆ เริ่มมีในสมัยยาโยย (ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ - ค.ศ 300)
คำ [ยะซากะนิ] สามารถแยกได้เป็น [ยะ] , [ซากะ] และ [นิ] คำว่า [ยะ] เป็นภาษาโบราณหมายถึง 'จำนวนนับไม่ถ้วน' , [ซากะ] แปลตามตัวอักษร หมายถึงหน่วยวัดความยาว "ชะคุ" ซึ่ง 1 ชะคุเทียบได้ประมาณ 30.03 เซ็นติเมตร [นิ] แปลว่า 'มณี' เมื่อทั้งสามคำมารวมกันก็จะหมายถึง มณีชิ้นใหญ่ที่ร้อยด้วยกันเป็นสายยาว มักใช้เป็นเครื่องประดับคอ ทำด้วยหินมีค่า ทอง หรือ ดินเหนียว
ตำนานโคจิกิและนิฮอนโชคิกล่าวว่า เทวีอามาเทราสุ ผู้ปกครองสูงสุดแห่งสวรรค์ทากะมางะฮาระได้มอบ มณียะซากะนิ กระจกยาตะ และดาบคุซะนางิ แก่เจ้าชายนินิงิซึ่งจะเสด็จจากสรวงสวรรค์ลงไปปกครองยามาโตะ(ญี่ปุ่น) เรียกกันว่า "การจุติแห่งพระราชนัดดา (หลาน)" เทวภัณฑ์ทั้งสามชิ้นนี้ถูกส่งมอบแก่พระจักรพรรดิต่อ ๆ กันมา จนถึงรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ที่ 10 คือ จักรพรรดิซุยนิน มีการทำดาบและกระจกจำลองให้เป็นของพระจักรพรรดิ ส่วนของจริงให้นำไปบูชาที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำอิซุซุในแคว้นอิเสะ (ปัจจุบันคือ ศาลเจ้าอิเสะในเทศบาลนครอิเสะ จังหวัดมิเอะ) ต่อมาดาบจริงก็ถูกย้ายไปบูชาที่ศาลเจ้าเน็ทสึดะที่แคว้นโอวาริ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตอัทสึตะ เทศบาลนครนาโงยะ จังหวัดไอจิ สำหรับมณีของจริงนั้น ถูกเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวง เคียงคู่กับดาบและกระจกจำลอง
ในปีบุนจิที่หนี่ง (ค.ศ. 1185) ดาบจำลองได้หายสาบสูญไป กล่าวกันว่าได้จมลงก้นทะเลพร้อมกับจักรพรรดิอันโทคุ เมื่อพระองค์ทรงปลงพระชนม์ที่อ่าวดันโนะอุระ (ปัจจุบันคือตำบลโตโยอุระ จังหวัดยามางุจิ) ซึ่งเป็นสมรภูมิสงครามทางทะเลครั้งสุดท้ายของศึกเก็นเป ระหว่างตระกูลไทระและมินาโมโตะ และได้มีการทำดาบจำลองอันที่สองขึ้นในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน กระจกจำลองซึ่งถูกไฟไหม้มาถึง 3 ครั้ง ถูกนำไปตั้งไว้ที่ "สถานแห่งความเกรงขาม" (KA SHIKODOKORO) ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลเจ้าหลวง ส่วนมณีของจริงกับดาบจำลองอันที่สองได้ตั้งไว้ที่ห้องพิเศษ ของวัง เรียกว่า "ห้องแห่งพระมณีและพระแสงดาบ" (KENJI NO MA) นอกจากนี้ยังยึดถือกันว่า การเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิองค์ใหม่จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อทรงเข้าร่วมพระราชพิธีสืบทอดพระมณีและ
พระแสงดาบจำลอง เรียกว่า "KENJI TOGYO NO GI" ซึ่งเป็นพระราชพิธีแบบชินโตที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีราชาภิเศก
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC
#5
โพสต์เมื่อ 02 July 2009 - 06:49 AM
ข้อมูลดีมากเลยครับ ขอบคุณมาก ขออนุญาตเอาไปให้เพื่อนอ่านหน่อยนะครับ
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย
#6
โพสต์เมื่อ 02 July 2009 - 10:02 AM
ข้อมูลดีมากเลยครับ
เราแก่แล้วนะ อย่านึกว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ให้คึดถึงความแก่ตลอดเวลา ถ้ายังทะนงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ก็จะทำให้หลงตกนรกได้ง่าย ๆ
#7
โพสต์เมื่อ 02 July 2009 - 10:15 AM
ข้อมูลดีมากๆๆๆ ขอบคุณมากค่ะ
#8
โพสต์เมื่อ 02 July 2009 - 12:17 PM
สิ่งล้ำค่าทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ผู้มีบุญ หากผู้มีบุญ ใช้สิ่งล้ำค่าเหล่านั้นกระทำแต่คุณความดีสั่งสมบุญไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะไปสู่เป้าหมายปลายทาง ที่พ้นแล้วจากทุกข์ทั้งปวง
แต่หากผู้่มีบุญ ประมาทพลาดพลั้ง ได้สิ่งล้ำค่ามาแล้ว ไม่นำไปใช้สร้างบุญ ตรงข้ามกลับใช้ไปสร้างบาปสร้างกรรมแทน สิ่งล้ำค่านั้น ก็จะกลับกลายเป็นมหันตภัยนำผู้นั้นไปสู่อบายในทีุ่สุด
พิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็เลยหวนระลึกนึกถึง คำพูดของพระอาจารย์ที่ท่านได้เคยอบรมธรรมทายาท ท่านบอกให้ฟังว่า คนทั้งหลายเข้าใจว่า อาหารที่เรากินนั้น หากเราเลือกกินอาหารดีๆ ที่มีคุณค่า อาหารนั้นย่อมไปบำรุงร่างกาย
แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เสมอไป อาหารที่เรากินเข้าไปนั้น สามารถเป็นได้ทั้งอาหารทิพย์ และยังสามารถเป็นยาพิษให้แก่เราได้เช่นกัน
อะไรกัน อาหารที่มีประโยชน์ จะกลายเป็นยาพิษได้อย่างไร คำตอบคือ เป็นได้ เพราะเมื่อร่างกายได้อาหาร ก็จะมีเรี่ยวแรงไปทำกิจการงานต่างๆ หากใช้เรี่ยวแรงที่ได้จากอาหารไปใช้ทำคุณความดี ผู้นั้นย่อมมีสุคติเป็นที่ไป ดังนั้น อาหารที่ผู้นั้นได้กิน ก็เปรียบเสมือน อาหารทิพย์ สุดยอดแห่งอาหารบำรุงใดๆ ในโลก
แต่ตรงข้าม หากผู้นั้น ใช้เรี่ยวแรงที่ได้จากอาหารนำใช้ไปสร้างบาปสร้างกรรม ย่อมมีอบายเป็นที่ไป ผู้นั้นย่อมทนทุกข์ทรมาณยาวนานแสนสาหัส อาหารนั้นก็ได้ชื่อว่า ยาพิษดีๆ นี่เอง
แต่หากผู้่มีบุญ ประมาทพลาดพลั้ง ได้สิ่งล้ำค่ามาแล้ว ไม่นำไปใช้สร้างบุญ ตรงข้ามกลับใช้ไปสร้างบาปสร้างกรรมแทน สิ่งล้ำค่านั้น ก็จะกลับกลายเป็นมหันตภัยนำผู้นั้นไปสู่อบายในทีุ่สุด
พิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็เลยหวนระลึกนึกถึง คำพูดของพระอาจารย์ที่ท่านได้เคยอบรมธรรมทายาท ท่านบอกให้ฟังว่า คนทั้งหลายเข้าใจว่า อาหารที่เรากินนั้น หากเราเลือกกินอาหารดีๆ ที่มีคุณค่า อาหารนั้นย่อมไปบำรุงร่างกาย
แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เสมอไป อาหารที่เรากินเข้าไปนั้น สามารถเป็นได้ทั้งอาหารทิพย์ และยังสามารถเป็นยาพิษให้แก่เราได้เช่นกัน
อะไรกัน อาหารที่มีประโยชน์ จะกลายเป็นยาพิษได้อย่างไร คำตอบคือ เป็นได้ เพราะเมื่อร่างกายได้อาหาร ก็จะมีเรี่ยวแรงไปทำกิจการงานต่างๆ หากใช้เรี่ยวแรงที่ได้จากอาหารไปใช้ทำคุณความดี ผู้นั้นย่อมมีสุคติเป็นที่ไป ดังนั้น อาหารที่ผู้นั้นได้กิน ก็เปรียบเสมือน อาหารทิพย์ สุดยอดแห่งอาหารบำรุงใดๆ ในโลก
แต่ตรงข้าม หากผู้นั้น ใช้เรี่ยวแรงที่ได้จากอาหารนำใช้ไปสร้างบาปสร้างกรรม ย่อมมีอบายเป็นที่ไป ผู้นั้นย่อมทนทุกข์ทรมาณยาวนานแสนสาหัส อาหารนั้นก็ได้ชื่อว่า ยาพิษดีๆ นี่เอง
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#9
โพสต์เมื่อ 02 July 2009 - 02:45 PM
ว้าววว สนุกจัง..
ขอบพระคุณมากค่ะ
เอ่อ..........
มีภาพไหมคะ อิ๊อิ๊
เจอแล้วค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
เอ่อ..........
มีภาพไหมคะ อิ๊อิ๊
เจอแล้วค่ะ
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#10
โพสต์เมื่อ 16 September 2014 - 05:17 PM
ได้ความรู้จากกระทู้เก่าๆครับ
#11
โพสต์เมื่อ 16 September 2014 - 05:37 PM