ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * - - - 2 คะแนน

...ทำไมชาวพุทธจึงมีความเครียดหนัก ?...


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ดอกอุบล

ดอกอุบล
  • Members
  • 926 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 July 2008 - 07:34 PM

เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐ สื่อมวลชนฉบับหนึ่ง
ได้เสนอข่าวชวนให้คิด เชิงจริยธรรม ความว่า
บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมือง และเศรษฐกิจ
ที่ใช้อักษรย่อว่า เพิร์ด แห่งประเทศฮ่องกง
ได้จัดอันดับความเครียดของพลเมืองประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเซีย
ด้วยมาตราวัดความเครียดได้สถิติความเครียด ๖ อันดับดังนี้ : -

มีความเครียดระดับ ๑ ได้แก่ พลเมืองประเทศเวียดนาม สถิติ ๘.๕

มีความเครียดอันดับ ๒ ได้แก่ พลเมืองประเทศเกาหลี สถิติ ๘.๒

มีความเครียดสูงอันดับ ๓ ได้แก่ พลเมืองประเทศไทย สถิติ ๗.๘

มีความเครียดสูงอันดับ ๔ ได้แก่ พลเมืองประเทศจีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น,

สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สถิติ ๖.๗

มีความเครียดสูงอันดับ ๕ ได้แก่ พลเมืองประเทศมาเลเซีย สถิติ ๕.๖

มีความเครียดสูงอันดับ ๖ ได้แก่ พลเมืองประเทศไต้หวัน สถิติ ๕.๕

นอกจากสถิติดังกล่าว เพิร์ดยังได้สถิติในด้านที่มีความเครียดน้อยที่สุดไว้
ด้วยว่า ชาวอินเดียมีความเครียดน้อยที่สุด

หลายคนสงสัยว่า ทำไมชาวอินเดียจึงมีอารมณ์ดี เครียดน้อยที่สุด

ในปัญหานี้ น่าจะชี้แนะให้เห็นความจริงว่า ชาวอินเดียโดยทั่วไปนั้น
เขาเป็นคนทะเยอทะยานน้อยที่สุด
คนวรรณะต่ำสุดของอินเดีย เป็นคนที่ลำบากยากจนมากที่สุด
คุ้นเคยชินชาอยู่กับความลำบากยากไร้มากที่สุด
มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารการกินน้อยที่สุด
อาศัยอยู่ที่อาศัยที่เป็นกระท่อมน้อย ๆ
หาความสะดวกสบายได้น้อยที่สุด
ได้รับอันตรายจากภัยธรรมชาติมากที่สุด
สรุปว่า ย่อมรับรู้ทุกข์ความเจ็บไข้ ความผิดหวัง
ความร้อน ความหนาว และการเหยียดหยามก้าวร้าวมาบ่อยทุกรูปแบบ
โดยเห็นว่าทุกข์เหล่านั้นคือ เพื่อนสนิทในชีวิตของเขา

ด้วยเหตุนั้น น่าจะเป็นผลทำให้เขาเครียดน้อยที่สุด
ส่วนชาวไทยเรา มีความเครียดมากติดอันดับ ๓ ของเอเซีย
อย่างไม่น่าเชื่อ

ไม่น่าเชื่อเพราะอะไร เพราะชาวไทยมีพระพุทธศาสนาประจำชาติ
มีพุทธธรรม เป็นโอสถยาวิเศษที่ป้องกันบรรเทาและแก้ทุกข์ได้ร้อยแปด
มีพระสงฆ์เป็นครูชั้นยอดคือ แนะนำให้ทำดี ให้หมดทุกข์ได้สิ้นเชิง

แต่เหตุไรชาวไทย จึงมีความเครียดหนักหนาเช่นนั้น
คนโดยทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า เพราะปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า
ทำให้คนไทยอยู่สบาย ๆ หรือสุขสำราญอีกต่อไปไม่ได้

แต่ถ้าจะลงลึกไปอีก เราจะเห็นสาเหตุสำคัญยิ่งไปกว่านั้น
ก็เราไม่ได้ใช้พระพุทธศาสนา เป็นเครื่องจรรโลงใจกันเลย
ทั้ง ๆ ที่รู้กันดีว่า ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ

ที่พึ่งทางกาย เรามีกันพอสมควรแล้ว คือ เรามีอาหารพอกิน
เรามีเครื่องนุ่งห่มพอใช้ เรามีบ้านเรือนพออยู่
เรามียาแก้โรคทางกาย หลายต่อหลายอย่าง

แต่ที่พึ่งทางใจ เราขาดแคลนอยู่เป็นประจำ
ทำไมจึงขาดแคลน ก็เพราะเราไม่ค่อยอยากใช้ธรรมะ
ไม่อยากสนใจ ทางพ้นทุกข์หรือทางระงับดับความเร่าร้อนใจในชีวิต
โดยเราเห็นว่า ไม่จำเป็น และไร้สาระ ช่วยอะไรไม่ได้
โดยปล่อยธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นของไร้ค่าไปเสียเฉย ๆ

ถ้าเราจะมาสนใจกันหน่อย ศึกษา และอบรมตามหลักธรรมสำคัญ ๆ
ของพระพุทธศาสนา

ให้รู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์
อะไรคือความดับทุกข์ และอะไรคือวิธีทำให้สิ้นสุดความทุกข์

และหลักธรรมประกอบอื่น ๆ อีกไม่กี่ข้อ เช่น เรื่องโลกธรรม ๘
เรื่องสันโดษ เรื่องกฏแห่งกรรม เรื่องการแผ่เมตตา
และเรื่องไตรลักษณ์ เป็นต้น เราก็จะไม่ต้องพ่ายแพ้แก่ความเครียด
ซึ่งมันเป็นเรื่องทางกายมากกว่า

บางที เพียงเรื่องโลกธรรมเรื่องเดียว
ถ้าเรารู้ซึ้งจนยอมรับไปคิดพิจารณาอยู่บ่อย ๆ
เราก็สามารถระงับยับยั้งทุกข์ระทมที่โหมโรมรันเราได้สำเร็จง่าย ๆ

ในโลกธรรม ๘ นั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้ความจริง
หรือธรรมชาติที่ทุกชีวิตจะต้องได้รับเสมอเหมือนกัน
ไม่มีผู้วิเศษอยู่เหนืออำนาจโลกธรรม ๘ กล่าวคือ

๑. มีลาภ แล้วก็ ต้องเสื่อมลาภ

๒. มียศศักดิ์ แล้วก็ ต้องเสื่อมยศศักดิ์

๓. มีสรรเสริญ แล้วก็ ถูกนินทา

๔. มีสุข แล้วก็ ต้องมีทุกข์


* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่ลาภร่ำรวยล้นไม่หยุด

* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่ยศศักดิ์อัครฐาน ไม่เสื่อม

* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่คำยกย่องสดุดี ไม่ถูกด่าว่า

* เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่สุขสนุกสนาน ไม่ทุกข์

อยู่ว่าง ๆ ณ ที่สงบสงัด ทำใจให้เป็นสมาธิ คิดพิจารณาตามที่ว่ามา
จิตที่ผิดหวัง มีทุกข์ จะค่อย ๆ มั่นคงมีเหตุผล คลายความทุกข์ได้

พระพุทธองค์ทรงสอนชาวโลกไว้แจ่มแจ้งแล้ว
แต่ผู้เครียดทั้งหลาย มิได้ใส่ใจสนใจ มิได้นำมาพินิจพิจารณา
จึงต้องเครียดหนัก

ผู้ที่จะอยู่ในโลกได้อย่างสุขสบายไม่เครียด จะต้องเป็นผู้ยอมรับรู้
ยอมรับทราบ ยอมให้ตนได้รับทุกข์ โดยไม่มีการปฏิเสธ
(กายจะทุกข์ก็ให้เขาทุกข์)

คล้าย ๆ ว่า แสวงหาสุขบนกองทุกข์ของตน
คือ เห็นทุกข์เป็นเพื่อนคู่ชีวิต
เห็นความลำบากเป็นทางแห่งเกียรติยศ
เห็นความโศกสลดเป็นรสชาติของชีวิต ชีวิตที่เกรียงไกรเลิศล้ำ
ต้องมีสีสัน ต้องสามารถแสดงบทบาทโลดโผนได้อย่างดี

มิใช่ชีวิตที่ล่องลอยมาสบาย ๆ ดังพระราชนิพนธ์
ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ว่า

-หนทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้หอมหวลยวนจิตไซร้ บ่ มี-

อาจมีคนค้านว่า,พูดหรือสอนเขานะ มันแสนยาก
แต่พอจะทำเอง มันยากนักยากหนา คนสอนนะยังไม่เคย
เป็นหนี้สินใครเป็นร้อย ๆ ล้าน
ยังไม่เคยถูกพิษร้ายถึงขนาดบริษัทพัง ธุระกิจล่มจม
ตกงาน เงินขาดมือ จึงนึกว่าจะแก้ทุกข์ได้ง่าย

ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ควรเครียด ไม่ควรตายอยู่ดีนั่นเอง
เหตุผลก็คือ เรายังมีร่างกาย ยังมีความรู้ ยังมีความสามารถ
และยังมีคุณค่าต่อสังคมมากต่อมาก

* ไม่ตายเสีย ก็คงมีโอกาสปลอดโปร่งสว่างไสวในชีวิต

* ไม่ตายเสีย ก็ยังมีโอกาสทำงานอื่น ๆ กอบกู้ฐานะได้

* ไม่ตายเสีย ก็คงจะมีเพื่อนผู้สามารถมาชี้แนะอุ้มชู

* ไม่ตายเสีย ก็คงมีโอกาสทำงานขอทุเลาหนี้ หรือใช้หนี้ได้

ถึงไม่อาจใช้หนี้หมดได้จริง เราก็ยังมีโอกาสพบผู้เห็นอกเห็นใจ
ผู้เห็นคุณค่าของเราบ้างจนได้

ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ความสุขไม่เที่ยงแท้ เป็นจริง
เราก็ต้องเข้าใจต่อไปว่า ความทุกข์ ก็ไม่อยู่กับเราตลอดไปดอก
(ทุกข์ก็หมดไปได้) มีทางสว่างไสวอยู่ในความมืดแน่นอน
ถ้าเราไม่ด่วนดับอนาคตของตัวเองง่าย ๆ

#2 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 25 July 2008 - 08:53 PM

อนุโมทนา การแบ่งปันสาระธรรมในหลายกระทู้ของคุณ โก้(Laos) ด้วยครับ

ไฟล์แนบ


ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#3 tasawun

tasawun
  • Members
  • 58 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 09:36 AM

ก็จริงดังคุณโก้ กล่าวไว้ นะครับ คนไทยเริ่มห่างเหินพุทธรรม มากขึ้นทุกวันและต่างก็เรียก สันติภาพโลก
อันที่จริง สันติภาพจะต้องเกิดขึ้นภายในใจทุกคนก่อน โลกจึงจะพบกับสันติภาพได้
เราควรหันมาฟื้นฟูศีลธรรม ของโลกให้เกิดขึ้นดีกว่านะครับ ตามที่หลวงพ่อท่านสอนนะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
สาธุ

สนับสนุนการทำความดีทุกรูปแบบนะครับ ไม่ว่าการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา
การตักบาตร เข้าวัด ฟังธรรม และที่สำคัญ อย่าลืมดู DMC กันทุกคนนะครับ

สาธุ นะ ขอบอก ขอบอก

#4 Poti

Poti
  • Members
  • 254 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 04:23 PM

นั่งสมาธิเถอะครับ จะได้ไม่เครียด

#5 usr24188

usr24188
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 August 2008 - 02:17 PM

สุขไม่ได้มีตลอด ทุกข์ก็มีทางหมดได้เหมือนกัน อืมม์ ชอบคำนี้จังค่ะ

#6 กาแฟเย็น

กาแฟเย็น
  • Members
  • 121 โพสต์
  • Location:milan
  • Interests:วาดการ์ตูน เล่นคอมกับโปรแกรมแต่งรูปต่างๆ ชอบถ่ายรูปอยู่เหมือนกัน

โพสต์เมื่อ 01 August 2008 - 04:27 PM

นั่นน่ะสินะ

#7 usr20663

usr20663
  • Members
  • 65 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 August 2008 - 01:43 PM

ผมว่าคนไทยรู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่.....ไม่ปฏิบัติ ปัญหาน่าจะอยู่ตรงนี้ครับ

#8 Wiboon Joong (wbj)

Wiboon Joong (wbj)
  • Members
  • 43 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 August 2008 - 12:17 PM

เรายังไม่สามารถ ละอบาย ยังโลภ ยังหลง ยังโกรธ อยู่ ถึงแม้นจะรู้ แต่บางครั้งก็เผลอ สิ่งต่างๆมันยั่วใจให้คิดไปคนละแนวกับพุทธศาสนา เลยมีปัญหาเรื่องเหล่านี้ขึ้น...

#9 กุ้งรพ.หัวหิน

กุ้งรพ.หัวหิน
  • Members
  • 201 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 August 2008 - 08:30 AM

เท่าที่เห็นคิดว่าบางคน(อาจเป็นส่วนใหญ่)ท่านไม่ได้เครียดเรื่องตัวเอง แต่อาจเป็นเหตุการณ์ (สยอง)ของบ้านเมือง ความรำคาญ เหตุการณ์ที่ไม่ยอมจบ หรือเห็นใครๆทำอะไรไม่ดีที่น่ากลัว เช่นในหนังสือพิมพ์(หลวงพ่อบอกแล้วว่าอย่าดู อย่าอ่าน) หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงาน ทำอะไรที่ผิดศีลธรรมมากๆ ต่อหน้าเรา หรือบีบให้เราทำด้วย
สรุปแล้วชาวพุทธบางท่าน อาจเครียดเกินไปเพราะท่านเป็นคนดี แต่ท่านยังตัด หรือปลงกับเรื่องแย่ๆที่เห็นตลอดเวลาไม่ได้ ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่บางท่านอาจรู้สึกว่าชั่งสิ ไม่เกี่ยว หรือเปล่า เช่นมีคนฆ่ากัน โขมยของ ทำร้ายกันต่อหน้า อย่างรูปในข่าวบางประเทศเห็นทิ้งศพไว้คนก็เดินผ่านไปมาเฉยๆ เค้าไม่สนใจ มั้ย
ไม่รู้ดิ

#10 Suk072

Suk072
  • Members
  • 430 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 07 August 2008 - 11:20 AM

นั่นเพราะเราไม่ดูแลใจ เหมือนกับดูแลกาย ให้สม่ำเสมอ นั่งสมาธิทุกวันสิค่ะ แล้วช่วยกันเป็นยอดกัลยาณมิตร ช่วยคนที่ไม่รู้อีกมากมาย ให้รู้และมีความสุขเช่นเรากันค่ะ สาธุ ......

#11 usr25160

usr25160
  • Members
  • 49 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 04:31 PM

Why so stressful? Because it's the emptiness deep down inside each and everyone of us, like a big hole inside our hearts. The question is what you fill it up with. If you fill it up with the right thing, you will find eternal peace and joy. It's like you thirst for water, and if you drink ordinary water you will thirst again. But if you drink the living water, you will thirst no more. The question is how to find the fountain of life where living water flows from.

#12 กุ้งรพ.หัวหิน

กุ้งรพ.หัวหิน
  • Members
  • 201 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 04:01 PM

แปลม่ายออก