...ผมเป็นอาสาสมัครน่ะครับ จากอดีตคนเกลียดวันคนนึงที่ฟังเขามา แต่ก็พอมีบุญอยู่บ้างที่ยังอยากรู้ว่า มีอะไรดีบ้างในวัด ก็เลยได้เข้ามาค้นหาศึกษาดูแบบสุภาพ ก็เลยเข้าใจและสำนึกผิด.. หุหุ เลยมาขอเป็นอาสาสมัครช่วยงานวัดฯ จนถึงทุกวันนี้แหละครับ ..
..เส้นทางของผม ตระกูลผมทั้งตระกูลไม่มีใครเห็นด้วยกับการมาช่วยงานที่นี่ของผมเลย แต่ผมก็คิดเพียงว่า .. สักวัน คงจะเข้าใจเหมือนที่ผมเข้าใจ ไม่มากก็น้อย ...
..เรื่องนิพพานนั้น ..จริงๆ ผมไม่เคยคิดแต่แรกๆอยู่แล้วน่ะครับ ยิ่งพอมาเข้าใจครูบาอาจารย์และหมู่คณะว่าทำเพื่ออะไร ก็เลยอธิษฐานตลอดว่า จะยังไม่เข้าถ้าครูบาอาจารย์ยังไม่บอกให้ผมเข้าน่ะครับ .. ผมอธิษฐานแบบนี้เลย .. ผมรู้อยู่ว่ามันเจ็บปวด ทรมาน และจำเจ ทรหด และต้องอดทนมาก กับการที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด เจอแต่สิ่งที่ไม่ชอบ เจอแต่ปัญหา แต่ผมก็คิดแบบนี้ครับ ..ว่า
..ถ้าวันนี้ หากเราต้องเดินทางไปที่หนึ่ง และมันช่างไกลแสนไกล เรามากันหลายคนมาเป็นหมู่ เคยบอกกันไว้ว่าจะไปให้ถึงจุดหมาย แน่นอนหนทางมันทั้งมืด ทุรกันดาร ทรมานร่างกายและจิตใจ ทั้งต้องทะเลาะกันเองระหว่างทาง รำคาญ เกลียดชัง หรือด่าทอกันเองก็มีระหว่างทาง และมีบางคนก็ค่อยๆ หายออกไป หรือบางคนเจอที่พักใหม่ที่สบายแล้ว ก็แยกออกไปจากหมู่คณะเพื่อหยุดการเดินทางนั้น...
...ในการพักนั้น หากจะเปรียบว่า เขาแยกไปเพื่อนิพพานกันแล้ว .. หากหมู่คณะแยกไป แล้วงานที่เราตั้งใจแต่แรก ที่จะติดตามครูบาอาจารย์ไปถึงที่สุดแห่งธรรมมันจะสำเร็จได้อย่างไร? ถ้าคนน้อย งานก็ย่อมยากและสำเร็จช้า แต่ถ้าคนมากและมีจิตใจที่ตั้งมั่นว่าจะเหนื่อยไปด้วยกัน มันก็จะสำเร็จเร็ว ...
...แม้นเราจะเร่งเดินไม่ได้ แต่เราก็ยังมีเพื่อนที่มีหัวใจพระโพธิสัตว์เหมือนกันร่วมทางอยู่ จิตใจผมคิดแบบนี้ เลยคิดว่า.. ก็ในเมื่อใครจะพัก ก็พักไป แต่หากผู้นำยังไม่หยุด ผมก็จะขอติดตาม ตามที่ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ แม้จะทำได้ไม่มาก ช่วยอะไรได้ไม่มาก ก็ขอไปด้วย ขอร่วมด้วย จะต้องเกิดอีกกี่ชาติ ทรมานอีกกี่ชาติ แต่ทุกชาติยังได้เจอหมู่คณะ ก็เหมือนสายตาที่มองเห็นเพื่อนเก่า มองเห็นความหวัง มองว่ามีเราก็ยังมีเขาที่จะเดินไปด้วยกันอยู่...
...และผมก็คิดว่า หากเราจะทิ้งผู้นำ ทิ้งครูบาอาจารย์ให้เดินไปเองตามลำพังแล้ว โดยท่านยังเหนื่อยอยู่ ลำบากอยู่นั้น.. การพักผ่อนของเราจะมีความสุขได้อย่างไร? เราจะหมดกังวลได้อย่างไร? ในเมื่อเราเคยตั้งสัจจะว่าจะไปกับท่าน เมื่อตั้งแล้วเปลี่ยนใจ แล้วจะสู้หน้าท่านได้อย่างไร?...
...ผมเคยเดินทางโดยที่ไม่รู้ทิศทาง หลงทาง และหาทางออกไม่ได้มาก่อน จนผมเข้าใจเรื่องของการเวียนว่ายตายเกินนี้ชัดเจนทีเดียว มันเหมือนเรายังไม่รู้จุดสิ้นสุด และหยุดพักไม่ได้ ..แต่ทว่า ในระหว่างที่เราไร้แสงสว่างแห่งทางออกนั้น ยังมีคนช่วยเราอยู่ นำเราอยู่ ให้เราเรียนรู้วิธีเดินที่ถูกทางอยู่.. เรื่องอะไร ผมจะต้องหนีไปพักคนเดียว? ก็ในเมื่อเขาพาผมออกมาจากสิ่งที่ผมผิดพลาด หรือไร้แสงสว่างจมดิ่งในความไม่ถูกต้อง ทางไปอบายต่างๆได้.. ผมจะทิ้งท่านนั้นไปได้อย่างไร? ..นี้คือตัวผมที่ติดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่ว่า " ผมไม่เคยทิ้งเพื่อน หรือผู้มีพระคุณ "... คือ ถ้าจะลำบาก ก็ต้องลำบากไปด้วยกัน ถ้าจะสบายก็สบายไปด้วยกัน และถ้าจะพัก ก็จะพักพร้อมกัน...
...ดังนั้น คำตอบส่วนตัวของผมที่ว่า จะนิพพานก่อนไหม จึงชัดเจนว่า ไม่นิพพานก่อน .. ขอให้งานสำเร็จก่อน ทำมันให้จบสิ้นก่อนและจะหัวเราะยินดีทีหลังพร้อมกับบุคคลที่เหลือสุดท้ายของวันที่สำเร็จ .. จะกี่ชาติ ผมจะไม่นับ จะไม่สน ขอสนแค่วัน วันไหนสำเร็จ ... วันไหนถึงที่สุดแห่งธรรม .. วันนั้น..ต้องมีผมอยู่ด้วยในหมู่คณะนั้น..
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....