ใบอนุโมทนา
#1
โพสต์เมื่อ 21 February 2008 - 09:29 AM
#2
โพสต์เมื่อ 21 February 2008 - 11:15 AM
และหลวงพ่อทัตตะก็เคยอบรมเรื่องการรับใบอนุโมทนาไปหักภาษีว่าเป็นเรื่องที่ทำได้แต่ไม่ควรไปซีเรียสอะไรเพราะส่วนต่างที่ได้มาเหล่านั้นเราทำบุญกันมากกว่านั้นมากมายนัก สู้ทำบุญด้วยความเต็มใจ ทำใจใสๆนึกถึงแต่บุญแล้วเราจะได้บุญเต็มที่จะดีกว่า
ส่วนตัวเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ถาม คือไปทำบุญถวายภัตราหารที่จุดตู้คอนเทนเนอร์ คือกองทุน บำรุงพระและวัดประจำเดือน(กองทุนเศรษฐีถาวร) ปกติใส่ชื่อพ่อและแม่เป็นผู้บริจาคอยู่ประจำอยู่แล้ว เจาหน้านี่ถามว่า เอาไปหักภาษีด้วยหรือป่าว ถ้าหักต้องใส่ได้แค่ชื่อคนๆเดียว คือว่าพ่อและแม่เสียชีวิตแล้วเลยใส่ชื่อทั้งสองท่านและบอกเจ้าหน้าทีที่รับไปว่า ไม่เคยเอาไปหักภาษีน่ะคับ เอาตามที่เขียนไปน่ะคับ เวลาดูใบโมทนาเห็นชื่อสองท่านก็จะชื่นใจ
ความจริงแล้ววันนี้เป็นวันบุญใหญ่(มาฆะบูชา)ของที่วัด มีงานภาคเช้าเย็นและค่ำ ไม่เคยพลาดสักปี แต่วันนี้ร่างกายไม่ค่อยจะสมบูรณ์(ป่วยอย่างแรงเพิ่งหายแต่ไม่ค่อยสมบูรณ์ขอพักผ่อนเต็มที่นิดหนอ่ยก่อน)ขับรถไปวัดแต่เช้าเกรงจะไม่ไหวเลยว่าจะไปภาคบ่ายกับพี่อีกคนที่มีธุระเช้าพอดี อาศัยรถเค้าจะไปบ่ายๆพอดีก็เลยว่าจะไปตอนสัก3-4โมงและจุดโคมภาคค่ำ เลยนั่งเปิดดาวธรรมเอาตอนภาคเช้า คุณเจ้าของกระทู้สงสัยมานานก็เข้าวัดมานานแล้วป่าวคับ แต่วันนี้ไม่ไปวัดวันบุญใหญ่หรือคับ ตั้งกระทู้เรื่องใบโมทนาซะงั้น ดูดาวธรรมทำใจใสดีกว่านะคับ เรื่องการหักหรือไม่หักอยู่ที่ความประสงค์ของเจ้าของบุญว่าจะรับหรือไม่รับมากกว่านะคับ
ขอไปเตรียมตัวอาบน้ำไปวัดช่วงพักกลางวันก่อนนะคับ ขอบคุณคับ
เลือกเอา ใจใสๆ
#3
โพสต์เมื่อ 21 February 2008 - 03:41 PM
#4
โพสต์เมื่อ 21 February 2008 - 03:57 PM
#5
โพสต์เมื่อ 21 February 2008 - 10:36 PM
2. mpl เป็นแบบไม่หักภาษี เป็นการถวายเงินให้แก่หลวงพ่อเพื่อนำไปใช้ในบุญต่างๆ ที่ได้ระบุ หลวงพ่อจะสามารถนำเงินส่วนนี้ไปช่วยในบุญได้เต็มที่ทุกบุญ รวมถึงบุญในส่วนของ donate ถ้าบุญใดขาด หลวงพ่อก็จะเงินที่สาธุชนร่วมบุญถวายให้หลวงพ่อ มาช่วยอีกที นั่นคือ หลวงพ่อเอาเงินตัวเองช่วยวัด ถ้ามีการหักภาษีตรงนี้ หลวงพ่อจะถูกเพ่งเล็ง ตามที่คุณ Tanay007 กล่าวนั่นล่ะครับ
ถ้าต้องการนำไปหักภาษีให้เลือกทำบุญในแบบแรก โดยถามเจ้าหน้าที่ที่ห้องรับบริจาค
หยุดสงสัย และ ตั้งใจปฏิบัติ
#6
โพสต์เมื่อ 22 February 2008 - 11:35 AM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 22 February 2008 - 11:48 AM
แต่ด้วยอะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในอดีต ส่งผลให้มีคนมากำหนดว่า เมื่อวัดบางวัด บอกบุญด้านนี้มาแล้ว ต้องใช้เงินเฉพาะด้านนี้เท่านั้น เอาไปใช้ด้านอื่นไม่ได้
ดังนั้น จึงเกิดมีเจ้าภาพอย่างผม และอีกหลายๆ คนขึ้นมา คือ ตั้งใจจะบริจาคร่วมบุญกับหลวงพ่อตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นบุญอะไรก็ตาม เพราะเราอยากเห็นงานพระพุทธศาสนากว้างไกลเป็นประโยชน์กับชาวโลก และมวลมนุษยชาติในวงกว้าง
#8
โพสต์เมื่อ 22 February 2008 - 11:56 AM
เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#9
โพสต์เมื่อ 23 February 2008 - 01:25 PM
#10
โพสต์เมื่อ 23 February 2008 - 04:33 PM
- พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะ เคยตอบผ่าน AM1521 ไปแล้วว่าการเสียภาษีจัดเป็นราชพลี
ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยชอบธรรม ทำพลี คือบูชา หรือบำรุงในที่ ๕ สถาน คือ ญาติพลี บำรุง
ญาติ อติถิพลี ต้อนรับแขก ปุพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ราชพลี บำรุงราชการมีการเสียภาษีอากรเป็นต้น และเทวตาพลี ทำบุญแล้วอุทิศให้แก่เทวดา เพราะว่าเทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้นด้วยคิดว่า "คนเหล่านี้แม้ไม่ได้เป็นญาติของเราเขาก็ยังมีน้ำใจให้ส่วนบุญแก่เรา เราควรอนุเคราะห์เขาตามสมควร"
บุญคือส่วนของบุญ ส่วนการลดหย่อนภาษีจากการบริจาคถือเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย