จากพระไตรปิฎกภาษาไทย
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๒พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ หน้าที๓๓๕ข้อที่๑๔
ปุนนาคปุปผิยเถราปทาน
“...ข้าพเจ้าเป็นนายพราน เข้าไปอยู่ในป่า ได้พบต้นบุนนาคมีดอกบานสะพรั่ง จึงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าได้เลือกเก็บดอกบุนนาคคัดเฉพาะที่มีกลิ่นหอมสวยงามแล้วก่อสถูปบนเนินทราย ยกขึ้นบูชาพระพุทธเจ้า ในกัปที่ ๙๒ นับจากกัปป์ ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้ จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ในกัปที่ ๙๑ (นับจากกัปนี้ไป) ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่งนามว่าตโมนุทะคุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล ได้ทราบว่า ท่านพระปุนนาคปุปผิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้....”
กำเนิดของท่าน เป็นนายพรานผู้ใกล้ชิดกับการละเมิดศิลข้อที่หนึ่งบุญส่งผลให้ท่านได้มีโอกาสเจอดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม จึงได้ก่อพระเจดีย์ทราย จากนั้นได้รำลึกถึงพระคุณอันประมาณมิได้ขอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุที่ท่านก่อเป็นกุศลกรรม เป็นเหตุให้เกิดผลแห่งความดีหรือที่เรียกกันว่าอานิสงส์ ให้ท่านได้ไปเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าโคดม ท่านได้ลงมาสร้างบารมี บรรลุเป็นพระอรหันต์
อานิสงส์การบูชาเจดีย์ทรายนี้เป็นคติที่พ้องกับตำนานทางล้านนาประวัติของการก่อเจดีย์ทรายมีเรื่องเล่ามาว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้
ส่วนในอีกตำนานหนึ่งซึ่งอยู่ในคำภีร์ใบลานชื่อ " ธรรมอานิสงส์เจดีย์ทราย "ได้กล่าวไว้ว่า ในครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นชายเข็ญใจชื่อว่า "ติสสะ" มีอาชีพตัดฟืนขาย วันหนึ่งติสสะได้พบลำธารที่มีหาดทรายสะอาดงดงามนัก จึงได้ทำการก่อทรายเป็นรูปเจดีย์และเพื่อให้เจดีย์นั้นสวยงามจึงฉีกเสื้อผูกกับเรียวไม้แล้วปักไว้บนยอดกองทรายเป็นรูปธงสัญลักษณ์ แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เมื่อเขาเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้บำเพ็ญบารมีเต็มที่แล้ว ก็ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าชื่อสมณะโคดมองค์ปัจจุบัน
อาณาจักรล้านนาเคยเจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางการค้าขาย โดยที่อาณาจักรน่าน เป็นศูนย์กลางการค้าเกลือ(ซึ่งยังมีบ่อเกลือโบราณ ปรากฏในจังหวัดน่าน) เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม เป็นศูนย์กลางของการค้าขาย แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เมื่อได้รับพระพุทธศาสนา จึงมีการประยุกต์ความเชื่อดั้งเดิม เข้ากับพระพุทธศาสนา และการมีศรัทธา จึงทำให้เกิดประเพณีวัฒนธรรมการก่อเจดีย์ทรายในเทศกาลสงกรานต์ ความเหนียวแน่นของศรัทธาที่หล่อหลอมใจจากบรรพบุรุษที่สั่งสอนสืบสาน จึงทำให้ยังคงมีประเพณีการก่อพระเจดีย์ทรายยังคงดำรงอยู่ในปัจจุบัน แม้สังคมจะเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี แต่เมื่อเข้าเทศกาลสงกรานต์ ชาวเหนือ ชาวอีสาน ยังคงรักษาและร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิม ความเชื่อเรื่องอานิสงส์การก่อพระเจดีย์ทรายนี้ยังพบได้ในกลุ่มของชาวมอญ พม่า และ สิบสองปันนา
ในด้านสังคมที่อยู่ร่วมกันในสมัยก่อนเมื่อเป็นสังคมเกษตรกรรม ความเป็นอยู่ร่วมกันในสมัยนั้นเป็นครอบครัวใหญ่ การสร้างบ้านของครอบครัวเกษตรนั้น มักจะสร้างในที่ที่ไม่ห่างกันมากนัก ไม่มีการล้อมรั้วบ้าน ทั้งนี้ เป็นการสะดวก ในการทำงาน การร่วมกัน อบรมบุตรหลานและบริวาร โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางการอบรมประเพณีวัฒนธรรม มีพระภิกษุที่ทรงความรู้ทางธรรมเมตตาอบรมโดยมีคำสอนจากคัมภีร์อานิสงส์ต่างๆ
ปัจจุบันแม้สังคมจะเปลี่ยนแปลงไป ความทันสมัยของเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเช่นเมื่อเข้าสู่วันเข้าพรรษา มีการเข้าFacebook เล่าเรื่องราว ความสำคัญของวันเข้าพรรษา ผ่านลงในสื่อออนไลน์ หรือวันวิสาขบูชา มีการส่งพุทธพจน์ หรือรูปดอกบัว ลงสื่อออนไลน์ ให้กับบุคคลในครอบครัว เพื่อนๆ หมู่ญาติทั้งหลาย เป็นการสืบสานประเพณี และอนุรักษ์ วัฒนธรรม อย่างนึกไม่ถึงทีเดียว เป็นการเผยแผ่พระพทธศาสนาเชิงรุกทีดีทีเดียว
อนุโมทนาบุญค่ะ