ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

....... การถูกทำลาย ของจักรวาล และ โลกธาตุ .......


  • กระทู้นี้ถูกล็อค กระทู้นี้ถูกล็อค
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 foox

foox
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 10:52 AM




การถูกทำลาย ของจักรวาล และ โลกธาตุ


....... เหตุที่ทำให้โลกพินาศ

ในสมัยใดที่สัตว์ทั้งหลายมีสันดานหนาแน่นด้วย

ราคะ โลกพินาศด้วยไฟ (ราคะร้อนเหมือนไฟ)
ถ้าหนาแน่นด้วย โทสะ โลกพินาศด้วยน้ำ (โทสะร้ายเหมือนน้ำกรด)
ถ้าหนาแน่นด้วย โมหะ โลกจะพินาศด้วยลม (โมหะเหมือนลมกรด)


กำหนดเวลาแห่งการพินาศต้องประจวบกัน ๒ ประการ คือ


๑. อยู่ในเวลาวิวัฎฎฐายีอสงไขยกัป (จักรวาลที่ตั้งขึ้นใหม่เรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม)
ครบ ๖๔ อันตรกัป (คือ อายุมนุษย์ ไขยลงจากอสงไขยปีเหลือ ๑๐ ปี แล้วไขขึ้นจนถึง
อสงไขยปี เรียกว่า ๑ อันตรกัป)

๒. อายุของมนุษย์ลดจากอายุขัย อสงไขยปีลงมาถึงอายุขัย ๑,๐๐๐ ปี

.......เมื่อเวลาทั้งสองอย่างมาประจวบกันเข้าเมื่อใด เป็นเวลาพินาศของโลก คือ มหากัป
ที่ ๑ ถึงมหากัปที่ ๗ จะถูกทำลายด้วยไฟ พอมหากัปที่ ๘ จะถูกทำลายด้วยน้ำ แล้วนับ
ตั้งต้นใหม่เวียนอยู่ดังนี้รอบละ ๘ มหากัป พอถึงมหากัปที่ ๕๖ นับเป็นโลกถูกทำลาย
ด้วยน้ำครบ ๗ ครั้ง พอถึงมหากัปที่ ๖๔ จะไม่ถูกทำลายด้วยน้ำ แต่จะถูกทำลายด้วยลม

สรุปแล้วในเวลา ๖๔ มหากัป โลกพินาศด้วยไฟ ๕๖ ครั้ง ด้วยน้ำ ๗ ครั้ง ด้วยลม
๑ ครั้ง รวม ๖๔ ครั้ง และการที่อายุของมนุษย์มีกำหนด ๑,๐๐๐ ปี ย่อมเป็นเวลาที่มนุษย์
ทุกคนมีศีลห้าสมบูรณ์ ไม่มีใครตายแล้วไปอบายภูมิ

........เขตแดนในการพินาศของแต่ละครั้ง เมื่อกล่าวรวมๆ กันแล้ว กินอาณาเขตไปถึง
แสนโกฎิจักรวาล ซึ่งเป็นอาณาเขตของพระพุทธเจ้ารวมอยู่ด้วย



( พักสายตา ) cool.gif


เขตของพระพุทธเจ้า มี ๓ อย่าง คือ

๑. ชาติเขต เป็นเขตที่กำหนดด้วยหมื่นจักรวาล เพราะเป็นจำนวนจักรวาลที่หวั่นไหว
เมื่อพระโพธิสัตว์ลงสู่ปฎิสนธิในครรภ์พระมารดา เวลาปฎิสนธิ เวลาตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อเวลาดับขันธปรินิพพาน

๒. อาณาเขต เป็นเขตที่กำหนดด้วยแสนโกฎิจักรวาล เพราะอำนาจแห่งพระปริต
ทั้งหลาย มี ขันธปริต อาฎานาฎิยปริต ธชัคคปริต โมรปริต รัตนสูตร เหล่านี้เป็นต้น
เมื่อสาธยายแล้วมีอานุภาพแผ่ขยายกว้างไปได้ถึงแสนโกฎิจักรวาล

๓. วิสัยเขต เป็นเขตที่กำหนดนับด้วยอนันตโลกธาตุ ประกอบด้วยจักรวาลมีจำนวน
ไม่สิ้นสุด เป็นเขตที่พระญาณแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสามารถพิจารณา
รู้ทั่ว


.......ในบรรดาเขตทั้ง ๓ นี้ เมื่ออาณาเขตถูกทำลายลงครั้งใด ชาติเขตย่อมถูกทำลาย
พร้อมกันลงไปด้วย ยกเว้นวิสัยเขตจะถูกทำลายเพียงบางส่วน ส่วนเวลาเกิดขึ้น ชาติ
เขตและอาณาเขตคงเกิดขึ้นพร้อมกัน ส่วนวิสัยเขตไม่พร้อมกัน เป็นไปกันทีละคราว
ผลัดเปลี่ยนกันไป

ในจำนวนภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อถึงคราวโลกพินาศ มีภูมิที่พ้น
จากการถูกทำลาย คือ ในรูปพรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ ๑๐ เวหัปผลาภูมิ จนถึงชั้นที่ ๑๖
อกนิฎฐาภูมิ (เมื่อโลกถูกทำลายด้วยไฟ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิจนถึงปฐมฌานภูมิ ๓
เมื่อถูกทำลายด้วยน้ำ จะพินาศตั้งแต่อบายภูมิจนถึงทุติยฌานภูมิ ๓ เมื่อถูกทำลายด้วย
ลม จะพินาศถึง ตติยฌานภูมิ ๓)

ส่วนพรหมชั้นสูงกว่าตติยฌานภูมิ ๓ ขึ้นไป แม้มิถูกทำลาย แต่ก็มีเวลาจุติตาม
อายุขัย



cool.gif


.......ก่อนที่โลกจะถูกทำลายในแต่ละครั้ง จะเป็นสภาวะธรรมดาอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้เทวดาประเภทหนึ่งชื่อ โลกพยุหเทวดา ล่วงรู้ถึงภัยพิบัตินั้น (บางแห่งกล่าวว่า
เทวดารู้ได้ด้วยเกิดอกุศลนิมิตดลจิตให้ทราบบ้าง พรหมทั้งหลายที่ได้ฌานสมาบัติล่วง
รู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าบ้าง จึงบอกเทวดาดังกล่าว) เทวดาเหล่านี้เศร้าโศก
เสียใจ สลดสังเวช จึงพากันสัญจรลงมายังโลกมนุษย์ ประกาศป่าวร้องไปทั่วถึงภัย
อันตรายนั้นๆ เริ่มบอกตั้งแต่ก่อนโลกพินาศเป็นเวลา ๑๐๐,๐๐๐ ปี และจะลงมากล่าว
เตือนดังนี้ทุกระยะ ๑๐๐ ปี

.......เมื่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ทราบข่าวนี้แล้ว ย่อมเกิดความสังเวชสลดใจรัก
ใคร่ปรองดอง ชักชวนกันประกอบกุศลกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเจริญพรหมวิหารธรรม
เมื่อตายแล้วจึงพากันไปบังเกิดในเทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง ที่บังเกิดในสวรรค์ชั้น
กามาพจร หรือพรหมโลกชั้นต่ำก็ขวนขวายเจริญฌานจนตาย แล้วไปบังเกิดในพรหม
ภูมิชั้นสูงๆ อันพ้นจากความพินาศของโลกต่อไป

ส่วนสัตว์ในอบายภูมิทั้งที่มีอกุศลกรรมเบาบางหรือหนักก็ตาม จะมีญานชนิด
หนึ่ง ชื่อ ชาติสรญาณ คือ ระลึกชาติได้ว่า ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่า
นั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรมของตน เมื่อรู้สำนึกตนเช่นนี้แล้ว อำนาจของ
กุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์
บ้าง เทวดาบ้าง จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของเหล่าโลกพยุหเทวดา
ก็พากันเจริญฌานต่อๆ ไปจนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด

แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า อบายสัตว์ที่มีกรรมหนัก หนาแน่นมาก เมื่อโลกพินาศ
แล้วจุติไปบังเกิดเป็นอบายสัตว์อยู่ในจักรวาลอื่นที่ยังไม่มีการถูกทำลายให้พินาศ


cool.gif

.......ก่อนถูกทำลายด้วยสิ่งใดก็ตาม เสียงเอิกเกริกเซ็งแซ่โกลาหลจะบังเกิดขึ้น
ในโลก ๕ ประการ ที่ทำให้มนุษย์และเทวดาทราบข่าวล่วงหน้า และพากันเจริญกุศล
ธรรมต่างๆ เพื่อหนีความพินาศของโลก เสียงประกาศเหล่านั้น คือ

๑. กัปปะโกลาหล เสียงประกาศให้ทราบว่าต่อจากนี้ อีก ๑๐๐,๐๐๐ ปี โลกจะถึง
ความพินาศ

๒. พุทธะโกลาหล เสียงประกาศกึกก้องว่า ต่อจากนี้ อีก ๑,๐๐๐ ปี จะมีพระพุทธเจ้า
อุบัติขึ้นในโลกมนุษย์

๓. จักกวัตติโกลาหล เสียงประกาศว่า นับแต่นี้ อีก ๑๐๐ ปี จะมีพระเจ้าจักรพรรดิ
บังเกิดขึ้นในโลก

๔. มังคละโกลาหล เสียงประกาศว่าภายในเวลา อีก ๑๒ ปี พระพุทธเจ้าจะทรง
แสดงธรรมที่เป็นมงคล ๓๘ ประการ

๕. โมเนยยะโกลาหล เสียงประกาศว่าภายในระยะเวลา อีก ๗ ปี จะมีผู้ปฎิบัติโมเนยยะ
(ปราชญ์) มาเกิดในโลก



cool.gif


.......เมื่อโลกจะพินาศด้วยไฟ จะเริ่มต้นด้วยการมีมหาเมฆชนิดหนึ่ง ชื่อ
กัปปวินาสมหาเมฆ ตั้งขึ้น ครั้นแล้วฝนจะตกใหญ่ทั่วทั้งแสนโกฎิจักรวาล บรรดา
มนุษย์ทั้งหลายย่อมพากันดีใจปลูกข้าวกล้า เมื่อต้นข้าวโตพอขนาดโคกัดกินได้ กัปป
วินาสมหาเมฆจะส่งเสียงคำรามลั่นดุจเสียงลาร้อง ต่อแต่นั้นไม่มีฝนตกลงมาอีกเลย
นับเป็นร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยน้ำฝนเลี้ยงชีวิตจะพา
กันตายลง ไปบังเกิดในพรหมโลก รวมทั้งเหล่าบรรดาพวกที่อาศัยดอกไม้ ผลไม้ก็เช่น
เดียวกัน แม้แต่สัตว์ในอบายภูมิทั้งปวงก็จะพากันตายและไปบังเกิดในพรหมโลกทั้ง
หมด พร้อมกับดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฎขึ้น (สัตว์ในอบายภูมิ จะพากันมาเกิดเป็น
มนุษย์ก่อน แล้วเจริญฌานเข้าสู่เทวโลกหรือ พรหมโลก มิใช่จากอบายภูมิไปพรหม
ภูมิโดยตรงทีเดียว)

ครั้นไม่มีฝนตกลงมาเป็นเวลาช้านาน และสัตว์ทั้งหลายพากันอดยากทะยอย
ตายลงไป กลับปรากฎดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ บังเกิดขึ้นในเวลากลางคืน พอดวงแรก
ลับขอบฟ้า ดวงที่ ๒ จะส่องแสงแทน นับแต่นั้นโลกก็มีแต่เวลากลางวันอย่างเดียว
ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ไม่มีสุริยเทพบุตรอยู่ประจำ จึงส่องแสงร้อนแรงยิ่งกว่าธรรมดา
เมื่อถึงเวลานี้สุริยเทพบุตรที่อยู่ประจำในดวงอาทิตย์เดิม ก็จะเจริญกสิณทำฌานให้บัง
เกิดขึ้นไปอุบัติในพรหมโลก ดวงอาทิตย์ทั้งสองไม่มีสุริยเทพบุตรดูแลยิ่งมีแสงแผด
เผาแรงกล้า แม่น้ำน้อยใหญ่เหือดแห้งสิ้นไปทุกหนแห่ง ยกเว้นมหานทีทั้ง ๕

ล่วงเวลาต่อมาอีกช้านาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ จึงบังเกิดขึ้น มหานทีทั้ง ๕ คือ
คงคา ยมุนา อจิรวดี มหิมา สรภู ก็พากันเหือดแห้ง เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔ บังเกิด
สระใหญ่ ๗ สระ (สระอโนดาต กุณาละ รถกาละ มัณฑากินิ สีหปปาตะ กัณณมุณฑะ
และ สระฉัททันตะ) ก็แห้ง น้ำในมหาสมุทรซึ่งลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ค่อยงวดลงเป็นลำดับ

เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ เกิด น้ำในทะเลหลวง มหาสมุทรต่างแห้งจนหมดสิ้น
ไม่มีเหลือติดแม้สักองคุลี เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๖ เกิด โลกทั้งหลายก็มีอันกลายเป็นควัน
คลุ้งตลบไปหมดทั่วแสนโกฎิจักรวาล แผ่นดินและภูเขาทั้หลายสิ้นยาง คือความชุ่มเย็น
ที่ทำให้รวมเกาะตัวกันได้ แหลกเป็นควันกลุ้มไปด้วยกัน เป็นควันทั่วไปอยู่ดังนี้นับวัน
เดือนปีมิได้ จนเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ อุบัติขึ้น ในเวลานั้นโลกธาตุที่เป็นควันกลบอยู่
นั้น ก็ลุกเป็นไฟรุ่งโรจน์โชตการขึ้นพร้อมกัน มีเสียงระเบิดดังพิลึกกึกก้องน่าสะพรึง
กลัว ยอดเขาสิเนรุของจักรวาลต่างๆ ก็พินาศหลุดลุ่ยถอดถอนกระจัดกระจายหายไป
ในอากาศ เปลวไฟประลัยโลกเกิดขึ้นจากพื้นมนุษย์ภูมินี้ก่อน แล้วค่อยลามไปชั้น
จาตุมหาราชิกาเทวโลก ทำลายวิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วพินาศสิ้น และจึงลุก
ลามไปยังดาวดึงสา ยามา ดุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นลำดับไปจนถึงรูป
พรหมภูมิขั้นปฐมฌานภูมิ ๓ มี พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหม แล้วจึง
หยุดอยู่เพียงนั้น ไม่ลุกลามต่อไปอีก

........ในบรรดาสังขารโลกทั้งปวงที่ถูกไฟประลัยกัลป์ไหม้แล้วนี้ ไม่มีเหลือแม้แต่
เถ้าถ่านไหม้เป็นจุณวิจุณ เหมือนไฟไหม้น้ำมัน ไม่มีถ่านเถ้า ถ้ายังค้างอยู่แม้เพียง
อณูเดียว ไฟก็ไม่หยุดไหม้ ลุกโพลงอยู่ดังนั้นจนมิมีสิ่งใดเหลือ ว่างเปล่ากลายเป็นอา
กาศไปสิ้นจึงดับลง

ครั้งนั้นอากาศเบื้องต่ำและเบื้องบนก็ต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวโล่งตลอด
ถึงกัน มีแต่ความมืดมนอนธการ เป็นเวลาช้านานคำนวณประมาณเวลามิได้ จนถึงเวลา
ก่อตัวเกิดขึ้นใหม่ของจักรวาล


cool.gif


.......ส่วนโลกที่ถูกทำลายด้วยน้ำ เป็นไปในทำนองเดียวกันกับถูกทำลายด้วยไฟ
เมื่อกัปปวินาสมหาเมฆตั้งขึ้น และมีฝนตกลงมาพอให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารได้แล้ว
ต่อจากนั้นฝนก็หยุด ไม่ตกไปนานนับเวลาไม่ได้ ไม่มีพระอาทิตย์ดวงใหม่เกิดขึ้น แต่
กลับมีมหาเมฆน้ำกรด (ขารุทกมหาเมฆ ตกลงมาเป็นฝนแทน ครั้งแรกตกเป็นเม็ดเล็ก
ละเอียดก่อน แล้วจึงตกเป็นเม็ดใหญ่ขึ้นทุกทีๆ เป็นลำดับ เต็มไปทั่วแสนโกฎิจักรวาล
พื้นแผ่นดินและภูเขาทั้งปวงเมื่อต้องน้ำฝนกรดก็ทานทนมิได้ แหลกละลายเป็นจุณวิจุณ
ไปจนสิ้นเหมือนก้อนเกลือถูกทิ้งลงไปในน้ำ เมื่อน้ำกรดละลายสิ่งต่างๆ อยู่นั้น มีลม
ชนิดหนึ่งพัดห่อหุ้มอุ้มเอาน้ำเข้าไว้ มิให้ไหลล้นบ่าออกไปนอกแสนโกฎิจักรวาล น้ำ
ฝนกรดมีจำนวนมากขึ้นทุกทีท่วมกามาวจรเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น เลยขึ้นไปท่วมรูปพรหมอีก
๖ ชั้น คือถึงชั้นอาภัสสราภูมิ จนกระทั่งถึงทุติยฌานพรหมภูมิ บรรดาสังขารทั้งหลาย
แหลกละลายไปสิ้น

ถ้ายังมีเหลืออยู่น้ำกรดก็ยังคงมีอยู่ต่อไป เมื่อทุกสิ่งสูญสิ้นหมดแล้ว น้ำกรด
จะยุบแห้งอันตรธานหายไป กลายเป็นที่ว่างให้อากาศเบื้องบนและเบื้องล่างต่อเนื่อง
เป็นผืนเดียวกัน มือมนอนธการ เหมือนเมื่อครั้งถูกไฟประลัยกัลป์เผาเช่นเดียวกัน


cool.gif

.......ครั้นครบ ๖๔ มหากัป ซึ่งโลกจะต้องถูกทำลายด้วยลม มีความเป็นไปตอน
ต้นเช่นเดียวกับเมื่อถูกทำลายด้วยไฟและน้ำ ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ เกิดขึ้น แต่มีลม
ชนิดหนึ่งชื่อ วาโยสังวัฎฎะ เกิดขึ้นแทน ในชั้นแรกลมนี้พัดอ่อนๆ พอพัดธุลีละออง
ละเอียดฟุ้งขึ้นแล้ว ลมก็จะค่อยพัดแรงจัดขึ้นทุกที จนพัดเอาก้อนศิลาใหญ่น้อย ต้นไม้
เล็กใหญ่ ตลอดจนภูเขาต่างๆ ให้สิ่งเหล่านี้ลอยไปในอากาศ กระทบกระทั่งกระแทก
กันจนแหลกละเอียดเป็นจุณสูญหายไป

แล้วจึงมีลมอีกจำพวกหนึ่งเกิดจากใต้พื้นแผ่นดิน มีกำลังกล้าจัด พัดแผ่น
ดินพลิกขึ้นแล้วซัดให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ พื้นดินอันหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ก็แยก
ออกจากกันเป็นท่อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ๑๐๐ โยชน์บ้าง ๔๐๐ โยชน์บ้าง แต่ละก้อนก็
กระทบกันเป็นจุณวิจุณไปอีก

ต่อจากนั้นลมกรดนั้นก็พัดเอาภูเขาสัตตบรรพ์คีรี เขาสิเนรุราช เขาจักรวาล
และอากาศวิมานทั้งปวง ทั้งในกามาวจรเทวโลกในแสนโกฎิจักรวาล ตลอดจนรูปพรหม
ภูมิทั้งชั้นต้นจนถึงรูปาวจร ตติยฌานภูมิ ๓ จึงหยุดลง เมื่อพัดทำลายทุกอย่างแหลก
ละเอียดไม่เหลือแล้วจนกระทั่งน้ำที่รองรับแผ่นดินก็พินาศสาบสูญไปสิ้น ลมกรดนี้ก็
หายไปเอง อากาศเบื้องบนเบื้องล่างก็ตลอดโล่งถึงกัน บังเกิดความมืดมนอนธการอยู่
ทั่วไปตลอดเวลา นับประมาณมิได้ต่อไป

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  peak_124.jpg   37.19K   2 ดาวน์โหลด


#2 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 12:59 PM

อ่านกระทู้ท่าน foox แล้วให้ความรุ้ดีมาก
ยังไม่เคยได้รู้จากที่อื่นเลย

QUOTE
ส่วนสัตว์ในอบายภูมิทั้งที่มีอกุศลกรรมเบาบางหรือหนักก็ตาม จะมีญานชนิด
หนึ่ง ชื่อ ชาติสรญาณ คือ ระลึกชาติได้ว่า ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่า
นั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรมของตน เมื่อรู้สำนึกตนเช่นนี้แล้ว อำนาจของ
กุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์
บ้าง เทวดาบ้าง จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของเหล่าโลกพยุหเทวดา
ก็พากันเจริญฌานต่อๆ ไปจนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด

แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า อบายสัตว์ที่มีกรรมหนัก หนาแน่นมาก เมื่อโลกพินาศ
แล้วจุติไปบังเกิดเป็นอบายสัตว์อยู่ในจักรวาลอื่นที่ยังไม่มีการถูกทำลายให้พินาศ



ทุกคนมีบุญบารมีไม่เท่ากันจะสามารถได้ฌานทุกคนเลยหรือ ?
wacko.gif wacko.gif wacko.gif เมื่อไปอยู่จักรวาลอื่นแล้ว จะกลับมาอีกหรือเปล่าครับ

หยุดคือตัวสำเร็จ

#3 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 02:02 PM

QUOTE
ทุกคนมีบุญบารมีไม่เท่ากันจะสามารถได้ฌานทุกคนเลยหรือ ?
เมื่อไปอยู่จักรวาลอื่นแล้ว จะกลับมาอีกหรือเปล่าครับ


อันนี้ต้องแยกเป็น2หัวข้อนะครับคุณSmilingCat คือ

QUOTE
ส่วนสัตว์ในอบายภูมิทั้งที่มีอกุศลกรรมเบาบางหรือหนักก็ตาม จะมีญานชนิด
หนึ่ง ชื่อ ชาติสรญาณ คือ ระลึกชาติได้ว่า ที่ตนต้องเสวยความทุกข์ทรมานต่างๆ เหล่า
นั้น ด้วยเหตุจากการประกอบอกุศลกรรมของตน เมื่อรู้สำนึกตนเช่นนี้แล้ว อำนาจของ
กุศลที่เคยประกอบไว้ในชาติก่อนๆ จะส่งผลให้พ้นจากอบายภูมินั้นๆ ได้เกิดเป็นมนุษย์
บ้าง เทวดาบ้าง จึงทันได้รับทราบข่าวจากการป่าวประกาศของเหล่าโลกพยุหเทวดา
ก็พากันเจริญฌานต่อๆ ไปจนไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด


QUOTE
แต่ในที่บางแห่งกล่าวว่า อบายสัตว์ที่มีกรรมหนัก หนาแน่นมาก เมื่อโลกพินาศ
แล้วจุติไปบังเกิดเป็นอบายสัตว์อยู่ในจักรวาลอื่นที่ยังไม่มีการถูกทำลายให้พินาศ


สัตว์ในอบายภูมินี้ ในที่นี้หมายถึงมนุษย์หรือมนุษย์ภูมิครับ หลังจากที่เทวดาป่าวประกาศว่าอีก100000ปีโลกจะแตกดับ พวกที่เป็นมนุษย์บางพวกจะเร่งสร้างบุญสร้างกุศลเพื่อให้รอดพ้นจากการทำลายล้าง

อีกพวกคือมนุษย์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิและสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน พวกนี้จะลงไปสู่นรกภูมิ เมื่อโลกถึงกาลแตกดับนรกภูมินี่จะถูกย้ายไปจักรวาลอื่น พอโลกเย็นตัวลงนรกภูมิในจักรวาลที่เกิดการแตกดับก็จะย้ายมาที่จักรวาลนี้ วนเวียนเป็นวัฐจักรแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#4 เพียงพอ

เพียงพอ

    I |\|EE|) S()|\/|E |3()DY |_()\/E.

  • Members
  • 724 โพสต์
  • Location:ไม่มีข้อมูล
  • Interests:ไม่มีข้อมูล

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 03:54 PM

สาธุ ได้ความรุเยอะแยะเลยครับ
---------------
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.

เพียงพอ


#5 foox

foox
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 04:02 PM



nerd_smile.gif

สวัสดีครับ ท่าน SmilingCat

สำหรับคำถามของท่าน SmilingCat
ผมคิดว่าก็คงต้องทำสมาธิภาวนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
เช่นเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็เร่งทำความดี ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา
ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จนไปบังเกิดในเทวโลก แล้วก็ทำต่อเนื่องไปอีก
จนไปบังเกิดในเทวโลกชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้รูปฌาน
จึงไปบังเกิดเป็นพรหมในพรหมโลก

คือถ้ามีความเพียรมาก บุญเก่าสั่งสมมาดี ก็ทำแค่ชาติเดียว
ก็ไปพรหมโลกได้ แต่ถ้า มีความเพียรน้อย บุญเก่าสั่งสมมาไม่มาก
ก็ต้องทำต่อเนื่องเป็นชั้นๆ ไป อย่างนี้

คือตอนนี้บุญ - บาป รู้แล้วว่ามีจริง ทำดีได้ดีจริง ทำชั่วได้ชั่วจริง
เพราะฉะนั้นทุกคนจึงเร่งทำแต่ความดี ไม่ใช่ทำตามกำลัง เรียกว่า
ทำเต็มกำลังกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงเป็นได้ว่า พากัน
ไปบังเกิดในพรหมโลกจนหมด

สำหรับสัตว์ ที่ไปบังเกิดในจักรวาลอื่นๆ ก็คงเหมือนที่ ท่าน เคยเข้าวัด กล่าวไว้
นั่นแหละครับ คือ เมื่อจักรวาลตั้งขึ้นใหม่ จักรวาลอื่นถูกทำลาย สัตว์ก็ย้ายไปมา
หรือกลับไปกลับมา เป็นวัฏฏะอย่างนี้แหละครับ

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  A_133.gif   60.2K   1 ดาวน์โหลด


#6 Tanay007

Tanay007
  • Members
  • 616 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 04:05 PM

สำหรับสัตว์ที่เสวยทุกข์อยู่ ความทุกข์ในนรกนั้นๆ คงไม่ต่างจากความทุกข์เมื่อกัปทำลายหรอกครับ
เมื่อกัปทำลาย สัตว์นรกพวกนี้ที่ยังไม่พ้นกรรม ก็จะถูกกำลังอกุศลกรรมดึงดูดไปรับทุกข์ต่อในโลกธาตุอื่น
ในส่วนที่เป็นเทวดา ระยะเวลา 100000 ปี ก็ไม่ถือว่านาน พวกที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในเทวโลกก็จะเกิดความสลดใจ
ไม่มีอารมณ์ที่จะเสวยสุขในเทวโลก ตั้งหน้าตั้งตานั่งสมาธิกันอย่างเดียว จะกระทั่งได้ฌาน แล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่กัปป์ทำลายไปไม่ถึง
ให้หาข้อมูลเพิ่มเติมจาก...สัตตสูริยสูตร ครับ

#7 เราคือใคร

เราคือใคร
  • Members
  • 137 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 05:27 PM

แล้วพวกเราที่อยู่ดุสิตบุรีชั้นสี่ จะทำยังไงกันครับ
หนีไปจักรวาลอื่นก่อนหรือครับ ไปอยู่ชั้นสี่ของจักรวาลอื่น หรือไปเกิดสร้างบารมีเป็นมนุษย์ของจักรวาลอื่นเลย หรือยังไงครับ

สงสัยมานาแล้วครับ ถามใครก็ไม่มีใครตอบให้ ถ้าไม่เหมาะสมยังไง ก็ลบได้นะครับ ขอบคุณครับ

#8 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 08:49 PM

hmmm for more info. i suggest you listen to " Tatt 4 " by LP Tatta kah happy.gif
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#9 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 09:23 PM

เข้าใจแล้วครับ อนุโมทนาบุญครับ ท่านคนเคยเข้าวัด และ ท่าน foox

หยุดคือตัวสำเร็จ

#10 foox

foox
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 November 2006 - 08:20 AM

สวัสดีครับ ท่าน เราคือใคร


ทุกคำถาม ต้องมีคำตอบ
ในเรื่องของกฏแห่งกรรมมีแต่เรื่อง เหตุ และ ผล
อยู่แต่ว่าเราจะสาวไปถึงเหตุนั้นหรือไม่

สำหรับคำถามนี้ ถ้าผู้รู้อย่างแท้จริงตอบได้ทันที
แต่ถ้าผู้รู้ มีความรู้ไม่สมบูรณ์ ก็จะตอบไปตามคติของตัวเอง
ซึ่งอาจจะถูก หรือไม่ถูกต้องก็ได้

แต่ถ้าถามผม ผมจะมีหลักในการตอบหรือพูด ว่า
จะพูดในขอบเขตที่ครูบาอาจารย์ หรือคุณครูไม่ใหญ่
ท่านพูดไว้แล้วเท่านั้น จะไม่พูดเกินเลยไปจากนั้น
แม้จะเคยได้ยิน ได้ฟัง มีความรู้บ้างจากที่อื่นๆ หรือ ท่านอื่นๆ
ก็จะไม่นำมากล่าวในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นเรื่องละเอียด
เพราะผมก็ยังมีความรู้ไม่สมบูรณ์

ถ้ากล่าวผิดพลาดไปแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
เกิดความเข้าใจผิด เป็นบาปอกุศลต่อตนเอง และผู้ที่รับฟังแล้ว
นำไปกล่าวต่อๆ ไปอีก

แต่คำถามเช่นนี้ก็มีผู้ได้ตั้งคำถามไว้แล้วในกระทู้ก่อนๆ
ท่าน เราคือใคร ลองไปอ่านความคิดเห็นต่างๆ แล้วคิด
พิจารณาด้วยเหตุด้วยผลของตนนะครับ

ดังกระทู้นี้ครับ

http://www.dmc.tv/fo...howtopi...ตบุรี

หรือ

http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=5850

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  A_189.gif   49.55K   1 ดาวน์โหลด


#11 ลูกพระธัมฯ Merry Ma

ลูกพระธัมฯ Merry Ma

    The STRONGEST is the GENTLEST!!!

  • Members
  • 891 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Bangkok, Thailand

โพสต์เมื่อ 06 November 2006 - 06:53 PM

QUOTE
แต่ถ้าถามผม ผมจะมีหลักในการตอบหรือพูด ว่า
จะพูดในขอบเขตที่ครูบาอาจารย์ หรือคุณครูไม่ใหญ่
ท่านพูดไว้แล้วเท่านั้น จะไม่พูดเกินเลยไปจากนั้น
แม้จะเคยได้ยิน ได้ฟัง มีความรู้บ้างจากที่อื่นๆ หรือ ท่านอื่นๆ
ก็จะไม่นำมากล่าวในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นเรื่องละเอียด
เพราะผมก็ยังมีความรู้ไม่สมบูรณ์

ถ้ากล่าวผิดพลาดไปแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม
เกิดความเข้าใจผิด เป็นบาปอกุศลต่อตนเอง และผู้ที่รับฟังแล้ว
นำไปกล่าวต่อๆ ไปอีก


ใช่แล้วค่ะ ข้อสงสัยในสิ่งที่เป็นเรื่องเหนือปัญญาของเรา (อจินไตย)
จะต้องรู้จักหยุดความคิด ความสงสัย (วิจิกิจฉา) เอาไว้ก่อนค่ะ
เก็บไว้ลึกๆ เมื่อถึงเวลาก็จะได้คำตอบเอง

เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ยังไกลตัวเราอยู่ แม้นว่าจะน่ากลัวกับตัวตนของเราในอนาคตก็ตาม
แต่ว่าให้สร้างเหตุของผลที่ดีเตรียมไว้ก่อน อธิษฐานร่วมกับหมู่คณะอย่าได้ตกหล่นไปไหน
เมื่อถึงเวลาก็จะมีผลดีมาพยุงเราไว้เอง เพราะว่าพระมหาปูชนียาจารย์วิชชาธรรมกายมีมหาปํญญา
ท่านมีกำลังบุญบารมีเหนือกว่าเรา มีหน้าที่ที่สูงส่งกว่า แก้ไขปัญหาที่ใหญ่กว่าปัญญาของเราได้ค่ะ
The Strongest is The Gentlest!

ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด