ไปที่เนื้อหา


เนื้อหาจาก BOG-BOG

ค้นพบทั้งสิ้น 269 รายการโดย BOG-BOG (จำกัดการค้นหาจาก 30-March 23)



#30238 การสร้างทางพ้นทุกข์ โดย "หลวงพ่อเสือ"

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 11:10 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

การสร้างทางพ้นทุกข์



คนเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมมีจุดมุ่งหมายของตนเอง และทุกคนก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนค้นคว้าแสวงหาในสิ่งที่ตนมุ่งหวังไว้ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม แม้ว่าจะเหนื่อยยากลำบากเพียงไหน


แต่การที่ตนสร้างความหวังไว้โดยปราศจากความเพียรพยายามนั้น ก็มิอาจได้มาในสิ่งที่ตั้งความหวัง เพราะความมุ่งหวังกับความเพียรพยายามนั้น ต้องควบคู่กันไปเสมอ ถ้าหวังเฉยๆ โดยขาดความเพียรย่อมจะไม่ได้ ไม่ว่าหน้าที่การงานก็ดี ความเพียรเพื่อพ้นทุกข์ก็ดี ต้องมีความเพียรเป็นแรงผลักดันทั้งสิ้น


การสร้างความหวังนั้น ใครๆ ก็ย่อมตั้งความหวังกันได้ เช่น หวังอยากมีบ้านเรือน อยากมีเงินทอง หวังมีความเจริญในหน้าที่การงาน แต่ถ้าขาดความเพียรพยายามแล้วไซร้ ไฉนเลยจะมีบ้าน จะมีเงินทอง และจะมีความเจริญในหน้าที่การงานได้


บางท่านที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับมีช้อนเงินช้อนทองติดตัวมาด้วยก็เพราะได้อาศัยในชาติอดีตมีความเพียรจึงได้สั่งสมบุญเอาไว้ แต่ถ้าในชาตินี้ขาดความเพียรเสียแล้ว ช้อนเงินช้อนทองที่ติดตัวมาก็ย่อมจะสลายไปได้โดยง่าย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมิได้เป็นไปด้วยการดลบันดาลของผู้ใด


ซึ่งผิดกับคนที่มุ่งหวังและประกอบกับความเพียร ความอุตสาหะ ที่จะทำงานหรือทำในสิ่งที่ตนหวังไว้ให้สำเร็จ เขาเหล่านั้นก็สามารถทำความหวังให้เป็นความจริงได้ไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับความเพียรศึกษาเพื่อสร้างปัญญาและฝึกฝนตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากกิเลสเพื่อจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป เพราะมีเกิดก็ต้องมีทุกข์

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดังนั้น ความเพียรพยายามนั้น ก็คือ ต้องศึกษาเรื่องของชีวิตให้ลึกซึ้ง ต้องพยายามสร้างสมปัญญา เพื่อกำจัดกิเลสซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดนั่นเอง ต้องฝึกฝนจิตให้มีความเข้มแข็งต่อการยั่วยุของกิเลสเฉพาะอย่างิ่งคือ ตัณหา ซึ่งได้แก่ความยินดีติดใจในอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นหัวหน้า เพราะจิตนั้นเป็นตัวการสำคัญที่รับรู้อารมณ์ เพราะทุกข์-สุขจิตก็เป็นผู้รับรู้และเป็นบงการทั้งนั้น เช่น


เมื่อเรารู้จักคำว่าสวย ความน่าเกลียดก็เกิดขึ้น

เมื่อเรารู้จักคำว่าความดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น


เป็นเพราะจิตเก็บสะสมความรู้สึกสวย ความน่าเกลียด ความดี ความชั่ว เข้าไว้ จิตก็จะคอยสั่งงานและทำหน้าที่เปรียบเทียบความแตกต่างได้


แนวทางง่ายๆ ที่จะฝึกจิตให้มีสมาธิได้นั้น ก็ต้องมีขันติธรรม คือ ความอดทน เป็นตัวการสำคัญ(ยังฝึกไม่ได้เลยเจ้าค่ะ)เพราะขันตินั้นย่อมมีอยู่ในจิตใจของบุคคลน้อยมาก จึงทำให้ชีวิตแต่ละชีวิตวุ่นวายและหาที่สิ้นสุดมิได้ สาเหตุที่ต้องให้ฝึกฝนขันติก็เพราะชีวิตคนเรานั้นทุกวินาทีก็ว่าได้ ต้องเผชิญต่อสิ่งที่เข้ามากระทบกระเทือนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าขาดขันติ คือ ความอดกลั้น ก็จะพาชีวิตให้มีความทุกข์และหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้



#30234 มรณสติ

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 10:48 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เพลง มรณสติ

แรงบันดาลใจ : นึกถึง มรณสติ ( ตาย ก่อน ตาย ตามคำสอนของ ท่านพุทธทาส )

ดวงตะวัน แสงทองส่องพลันเริ่มวันกันใหม่
ใต้ดวงตะวันแสงทองส่องอำไพ ไม่มี สิ่งใด มีค่าเท่า เวลา
เธอเอย ขอจงได้ คิดชีวิตทุกวัน
ผู้คนมากมายหลายคนปะปนกัน ชีวิตเหล่านั้น มั่นหมายสิ่งใด
" จิต " ที่ฝึกฝน คิดค้นอุบาย ให้คลายสิ่งใดที่ยึดถือ
ก่อน ที่ จะตาย ให้มันตายไปเสียก่อน ก็คงไม่เป็นที่ทุกข์ร้อน
ก่อนที่จะนอน ให้ลองย้อนดูตน หลุดพ้น ถึงตอนสุดท้าย
ให้ตาย สบาย แสนเบา หมดตัวเรา ของเรา ทั้งมวล
" ความตาย" แม้ใครจะหมาย ได้คิดถึงมัน
ก็ทำให้ ความสำคัญ มั่นบันเทา ไม่มี ตัวเขา และ เราให้ งมงาย

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  morana.mp3   1.41MB   571 ดาวน์โหลด



#30232 เพลงแผ่เมตตา พร้อมคำแปล

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 10:44 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เพลงแผ่เมตตา พร้อมคำแปล

ไฟล์แนบ




#30230 รอยจูบบนฝ่าเท้า (บทเพลงเตือนใจตน)

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 10:37 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

(บทเพลงเตือนใจตน)

ไฟล์แนบ




#30228 ล้ำค่ากว่าดาว

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 10:21 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ล้ำค่ากว่าดาว ฟังสบาย ๆ

ไฟล์แนบ




#30223 มุมมองของชาวต่างชาติต่อคนไทย

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 10:03 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

นิสัยของคนไทย



#30221 จะเปลี่ยนจากเพชรเป็นกรวดทำไม

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 09:56 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

อนุโมทนาบุญ ค่ะ ฟังแล้วเตือนใจเตือนจิตดีค่ะ



#30220 Are you ready to face the sunset (death ) ?

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 09:54 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

QUOTE
Compassion , patience , truth and understanding.


ชอบบทความนี้ค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ



#30219 Power of the Quote

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 09:51 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

QUOTE
ราว 3 ปีก่อนนี้ เคยผ่านwebsite เกี่ยวกับ quote , chiness proverbs

ก่อนกี้ คิดเพียงเก็บไว้อ่าน ชี้ทางให้ตนเองและส่งให้เพื่อนบ้าง

ยินดีที่ทุกท่าน อ่านแล้วปรุงใจให้ใสดี ด้วยครับ



บทความนี้จะกี่ปีผ่านไปก็ทรงคุณค่าเหมือนเดิมค่ะ ขอบคุณพี่ dangdee มาก ๆ ค่ะ



#30218 เพื่อนที่เหลือแต่ชื่อ!

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 09:48 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

อนุโมทนาบุญกับบทความที่แฝงแง่คิดดี ๆ ค่ะ



#30186 ภาพในหลวงหายาก #2

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 07:31 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

เข้าไปดูอัลบั้มได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ มีเรื่องเล่าลือหลังวัง และอีกมากมายที่มีสาระและประโยชน์ค่ะ

http://www.thaimonarchy.com/story.php



#30181 เวลามองคน มองที่ไหน+++

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 28 June 2006 - 07:09 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE

"คนดี" จริงๆนั้นไม่มีหรอกครับ ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะ "คนดี" นั้น คือ คนที่คิดดี พูดดี และทำดี เป็นปกติตลอดเวลา ซึ่งหาไม่ได้แน่นอนในปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป เพราะตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ทุกคนยังมีจุดบกพร่อง จุดไม่ดี ที่ต้องแก้ไขกันทั้งนั้น ยังมีกิเลสกันอยู่ทุกคน


คนดี คือ คนที่ดำเนินชีวิตอย่างมี คุณภาพ มีจิตใจที่ดีงาม มีคุณธรรม จริยธรรม มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้งด้านจิตใจและพฤติกรรมที่แสดงออก เช่น มีวินัย มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีเหตุผล รู้หน้าที่ ซื่อสัตย์ ขยัน มีความเสียสละ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสันติสุข

มีค่ะ "ในหลวง" และอีกหลาย ๆ บุคคลไม่ว่าปัจจุบัน ทั้งแม่ดีเด่น ครูดีเด่น เยาวชนดีเด่น ครู - ทหาร - ตำรวจ ทางภาคใต้ที่เสียสละกายและใจเพื่อไปอุทิศเพื่อส่วนรวมเขาเหล่านั้นเป็นคนดีค่ะ (บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนดีในสังคมหรอค่ะคุณ Neung และกาลสมัยทางประวัติศาสตร์ ที่มีวีรชนที่คอยปกป้องประเทศชาติให้อยู่มาได้ทุกวันนี้ ถ้าไม่ใช่คนดีจะไม่มีใครพูดถึงเลยค่ะ บุคคลเหล่านั้นเป็นคนดีในสายตาดิฉันค่ะความคิดเห็นของคุณและฉันอาจแตกต่างกันอันนี้ก็ นานาจิตตัง เพราะคนทุกคนมีสิทธิที่จะคิดแตกต่างกันกัน เราก็เลยมาแชร์ความคิดกันว่าในสายตาของคนแต่ละคนคิดว่คนดีเป็นอย่างก็เท่านั้นเองซึ่งคำตอบกว้างมาก อาจมองมุมมองที่แตกต่างกันค่ะ


จากคำสอนของพระพุทธเจ้า
คนดี คือ คนที่คิดดี พูดดี และทำดี โดยมีสติกำกับใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ขอย้ำว่ามีสติกำกับใจตัวเองตลอดเวลา
คิดดี คือ (1) ไม่คิดร้าย (2) ไม่คิดละโมบ และ (3) มีความเห็นชอบ หรือมโนกรรม 3
พูดดี คือ (1) ไม่พูดเพ้อเจ้อ (2) ไม่พูดส่อเสียด (3) ไม่พูดคำเท็จ และ (4) ไม่พูดคำหยาบ เรียกว่า การกระทำทางวาจา หรือวจีกรรม 4
ทำดี คือ (1) ไม่ถือเอาของที่เขาไม่ได้ให้ (2) ไม่ล่วงประเวณี (3) ไม่ล่วงชีวิตผู้อื่น สัตว์อื่น เรียกว่า กายกรรม หรือการกระทำทางกาย 3 ประการ
ลองนึกดูว่า ตั้งแต่คนเราลืมตาตื่นนอนจนกระทั่งเขานอน เราแสดงออกทุกสิ่งทุกอย่างมาจาก 3 ทางนี้หรือไม่ นั่นคือ ไม่จากคำพูด ก็จากการกระทำ ไม่จากการกระทำก็มาจากความคิด
ทั้งนี้ 10 ประการที่ว่ามา (มโนกรรม 3 วจีกรรม 4 และกายกรรม 3) เราเรียกกันว่า กุศลกรรมบถ 10 หรือการกระทำที่เป็นกุศล 10 ประการ โดยมีเชื้อหรือรากเหง้ามาจาก 3 แหล่งสำคัญคือ อกุศลมูล 3 คือ
(1) อโลภะ คือ ความอยาก
(2) อโทสะ คือ ความโกรธ
(3) อโมหะ คือ ความหลง ไม่รู้ หรือ อวิชชา
รากเหง้า 3 อยากนี้เป็นเหตุทำให้เราแสดงออกมา 3 ทาง คือ คำพูด การกระทำ และความคิด หากว่าการดำเนินชีวิตประจำเรามีสติคุมคำพูด การกระทำ และความคิดที่แสดงออกมาได้ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดี หรือคนมีคุณธรรม
คนดีหรือคนที่มีคุณธรรมจึงเป็นเรื่องที่ง่ายแต่ไม่ง่ายหากขาดปัญญารู้ความจริงนี้
หากทุกคน คิดดี พูดดี และทำดีต่อกัน จาก 2 คน ก็กลายเป็นกลุ่มที่มีแต่คนที่คิดดี พูดดี และทำดีต่อกัน จากกลุ่มก็กลายเป็นสังคม จากสังคมก็กลายเป็นประเทศชาติ และจากประเทศชาติก็เป็นหลาย ๆ ประเทศชาติ จากหลาย ๆ ประเทศชาติก็เป็นทั้งโลก โลกที่เต็มไปด้วย คนที่คิดดี พูดดี และทำดีโดยมีสติกำกับใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ปรัชญาความรู้คู่คุณธรรมก็จะเป็นผลเห็นจริงได้



#30053 เวลามองคน มองที่ไหน+++

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 27 June 2006 - 03:41 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
เมื่อก่อน เทคโนโลยี่ไม่เจริญก้าวหน้า การฆ่ากันนี่จะให้ผลร้ายแรงที่สุด ถึงกับ ทำให้อีกฝ่ายถึงตาย
แต่เดี๋ยวนี้ เทคโนโลยีสื่อ เจริญก้าวหน้า ใส่ร้ายกันนิดเดียว ทำให้ผู้ถูกใส่ร้ายเสียภาพพจน์ในวงกว้างไปทั่วประเทศทีเดียว เรียกว่า ตายทั้งเป็นก็ว่าได้

ดังนั้นเรื่องการติ (แบบใส่ร้ายกัน โดยที่ไม่จริง) จึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากจริงๆ ในสมัยนี้ เพราะทำให้เกิดผลเสียแก่ผู้ถูกใส่ร้ายในวงกว้างแบบทั่วประเทศทีเดียว บางเรื่องแม้บางผ่าน 10 ปี ก็ยังมาใส่ร้ายกันใหม่ เช่น เรื่องข้อมูลการใส่ร้ายวัดพระธรรมกายสมัยปี 2541 ปัจจุบัน ก็ยังมีผู้นำมาตั้งเป็นกระทู้ใหม่ในเว็บต่างๆ อยู่เป็นระยะๆ ผมรู้สึกหนาวแทน คนที่เริ่มต้นสร้างข้อมูลใส่ร้ายนี้จริงๆ ว่าจะรับผลกันไปมากน้อยขนาดไหน ก็เกินจินตนาการ



แล้วคนดีในสายตาคุณหัดฝัน เป็นยังไงค่ะ (จะไปกลัวอะไรค่ะใครเค้าจะว่าร้ายอย่างไรถ้าเราไม่ทำจริงไม่ต้องกลัว เพราะเราบริสุทธ์ใจ ใครว่าอย่างไรก็ชั่งเค้าปะไร หูทวนลมไปซะ ไม่จำเป็นต้องแก้ต่าง เพราะความจริงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ ความดีชนะทุกอย่าง กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วนี่ค่ะ มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับมาขอขมา แต่ลงในคอลัมเล็กไปหน่อยซึ่งร้านพี่ก็จะตัดหนังสือพิมพ์เหล่านั้นติดไว้ที่ร้านขายต้นไม้เวลาลูกค้ามาเค้าก็เข้าใจวัดเองค่ะ)

กรรมมีจริงใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นค่ะ ดิฉันเกิดมาถือว่ามีบุญเพราะเกิดมาในครอบครัวที่ดี สิ่งแวดที่ดี กว่าคนอื่น บางครั้งความคิดคนเราก็ให้เหมือนกันเสมอไปไมได้ค่ะ จะให้ชอบเหมือนกันก็ไม่ได้ เพราะคุณไม่มีสิทธิ์ไปจำกัดความคิดของคนเหล่านั้น แต่ดิฉันอยากบอกว่าคนหนึ่งไม่ใช่คนดีเสมอไปเพราะยังมีกิเลสครอบงำค่ะ ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาเรียนรู้อ่านทัศนะคติของคนหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี การที่คนเราแสดงออกทางความคิดเห็นที่แตกต่างกันไม่เรื่องแปลกเลยค่ะ "จงมองมุมมองของคนแต่ละคนและให้อิสระแก่ความคิดของคนเหล่านั้น"



#30023 เวลามองคน มองที่ไหน+++

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 27 June 2006 - 01:22 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว
คนชั่วชอบทำลาย คนมักง่ายชอบทิ้ง
คนจริงชอบทำ คนระยำชอบติ


วันนี้ขอนำเอาหลักการณ์การที่จะมองคนว่าคนไหนเป็นอย่างไรเพื่ออย่างน้อยเราก็จะนำเอาไปเป็นคู่มือในการมองคนภาพลักษณ์ข้างนอก
เรามองไม่ออกหรอกว่าใครจะเป็นอย่างไร ถ้าหากเราจะมองคนไหนเป็นอย่างไรเราจะต้องมองให้ถึงภายในของเขา หรือมองให้ถึงแก่นแท้ของเขา ว่าเขาเป็นคนอย่างไรคนที่แขวนประคำ(พระ)เอาไว้ที่คอก็อย่านึกว่าเขาเป็นคนดี คนที่นุ่งขาวห่มขาวก็อย่าคิดว่าเขาเป็นคนดีคนพูดดีก็ใช่ว่าจะเป็นคนดี เสมอไปเพราะภายนอกเรามองเห็นได้เพียงเท่านี้แต่ภายในนั้นมันอาจจะมีอะไรแฝงอยู่อีก คนจะดีไม่ดีมันจะต้องแสดงออกมาทางพฤติกรรมเพราะมันไม่สามารถที่จะข่ม จะเก็บเอาไว้ได้ตลอดไปไม่วันใดก็วันหนึ่งมันจะต้องเผยออกมาจากการกระทำนั่นเอง

คนดีชอบแก้ไข แก้ไขในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงว่า แก้ไขในสิ่งที่ดีให้เป็นสิ่งไม่ดีแก้ไขในที่นี้หมายถึงการแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นสิ่งที่ดี แก้ไขสิ่งที่ไม่งามให้งามแก้ไขในสิ่งที่มันไม่ก้าวหน้าให้เจริญก้าวหน้าคนอย่างนี้เรียกว่าคนดี

คนจัญไร คนพวกนี้ถ้าหากเราว่ากันตามภาษาชาวบ้านก็เรียกว่า "เหลี่ยมจัด"คือไม่ค่อยที่จะยอมรับความจริงในสิ่งที่ตนกระทำลงไปชอบแก้ตัวอยู่ตลอดเวลาทำดีเข้าตัวแล้วโยนชั่วให้คนอื่นคนอย่างนี้คบไม่ได้

คนชั่วชอบทำลาย นี้ก็แปลกันได้ตามตรงสมัยนี้ก็เห็นได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่นตู้โทรศัพท์เขามีเอาไว้เพื่อให้คนที่ต้องการติดต่อกับคนนั้นคนนี้ คนพวกนี้ก็ไปทุบไปทำลายจนเกิดความเสียหายใช้การไม่ได้ กำแพงวัดกำแพงบ้านนำเอาสีไปเขียนไปพ่นให้เกิดความเลอะเทอะไม่สวยงามหลอดไฟฟ้าส่องสว่างก็เอาก้อนหินไปขว้างปาทำให้เกิดความเสียหายนี้คือพฤติกรรมกับคนชั่ว

คนมักง่ายชอบทิ้ง นี้ก็มองได้ไม่ง่ายยิ่งสังคมปัจจุบันก็มีอยู่เยอะคนประเภทนี้ขยะมีอยู่ในบ้านของตัวเองอยู่ดีๆเอาใส่ถุงดำไปวางเอาไว้ข้างทางเมื่อถุงมันแตกขยะก็กระจัดกระจายไปทั่วสร้างความสกปรกทั่วบ้านทั่วเมืองทั้งถนนสายต่างๆ ที่เราผ่านไปเราก็จะพบกับขยะเหล่านี้หรือไม่ก็นำเอาไปทิ้งในที่ๆของคนอื่นเขาอย่างนี้เป็นต้น

คนจริงชอบทำ ทำในที่นี้หมายถึงทำสิ่งอันเป็นคุณประโยชน์ต่อชุมชน ต่อส่วนรวมต่อครอบครัวและต่อตัวเองเป็นต้น ทำในสิ่งที่ไม่ดีให้ดี ทำในสิ่งที่ดีให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกอย่างนี้เรียกว่า คนชอบทำ

"คนระยำชอบติ" สมัยนี้มีมากคนประเภทนี้ ถ้าหากเราจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
"มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ"
คนประเภทนี้มักจะไม่ค่อยที่จะทำอะไรให้เป็นแก่นเป็นสารแต่พอใครเขาทำก็มักจะตินั่นตินี่ติอยู่ตลอดเวลาติในทางที่ดีก็ดีแต่ส่วนใหญ่คนประเภทนี้จะติไปในอีกทางหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางที่ไม่ค่อยสร้างสรรเท่าไรแต่เมื่อเขามอบภาระให้ตัวเองทำบ้างก็ทำไม่เป็นเรื่อง อย่างนี้เรียกว่าคนระยำที่นำเอามาเป็นตัวอย่างทั้งหมดนี้ก็หวังว่าศรัทธาสาธุชนทั้งหลายจะได้เอาไปเป็นแบบอย่างที่จะมองคนว่าคนไหนเป็นอย่างไร คนอย่างไหนคบได้หรือไม่ได้อย่างไรคนเราสมัยนี้ถ้าหากเราจะมองกันอย่างผิวเผินเราก็ไม่สามารถมองออกได้ว่าคนไหนเป็นอย่างไรการจะมองคนเขาให้มองให้ลึกๆ มองให้ชัดๆเพราะคนที่แกล้งทำดีนั้นเขาจะต้องข่มความไม่ดีเอาไว้แต่ไม่สามารถข่มเอาไว้ได้ตลอดไม่วันใดก็วันหนึ่งมันจะต้องโผล่ออกมาให้เราเห็น ขอให้สาธุชนทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในความดีตลอดไปเจริญพร..

------------------------------------------------------------------
พระอาจารย์ณัฐศักดิ์ วิสุทธาจาโร
เลขารองเจ้าคณะอำเภอแม่ริม
วัดลัฏฐิวัน (ขอนตาล)
อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

คำถาม

คนดีในความหมายเพื่อนกัลยาณมิตรเป็นแบบไหนค่ะ
คนดีในความรู้สึกของเพื่อนกัลยาณมิตรว่ามีนิสัยแบบไหนบ้าง

คนดีในความรู้สึกเราคือคนที่คอยเป็นห่วงเรา (พ่อแม่) คนที่จริงใจ ไม่เสแสร้ง พูดตรง ๆ ดีก็ว่าดีชั่วก็ว่าชั่ว คนรักหมารักแมว เมตตา ต่อสัตว์ คอยเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ฯลฯ



#29998 อยากทราบว่า!!!!!!!!!!!!

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 27 June 2006 - 11:14 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

คือสงสัยนะคะว่า ทำไมบ้างครอบครัวก็อยู่กันอบอุ่นพร้อมหน้าตากัน บ้างครอบครัวก็ต้องหย่าร้างแยกทางกันอยู่ เกิดจากวิบากกรรมอะไร
ถึงทำให้ครอบครัวเหล่านั้นต้องแยกทางกัน ชาติที่แล้วไปทำอะไรมา ถึงต้องเป็นนี้

ส่วนครอบครัวที่อบอุ่นอยู่กันอย่างมีความสุขเค้าสะสมบุญอธิฐานว่าชาติหน้าก็ขอให้เกิดมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้ คำอธิฐาน จะเป็นจริงหรือไม่ค่ะ



#29993 ความคืบหน้า ของพระไตรปิฎก Web Version ( เป็นของเว็ปอื่น )

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 27 June 2006 - 10:59 AM ใน ข่าวประชาสัมพันธ์

เว็บนี้เป็นเว็บที่ดีอีกเว็บหนึ่งเลยที่เดียวจ๊ะ

อนุโมทนาบุญ น้องตาลด้วยนะคะ



#29888 MV ต้นไม้ของพ่อ เวอร์ชั่นใหม่ค่ะ++++

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 26 June 2006 - 03:28 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
รูปเด็กร้องไห้หมายความว่าไงนะ


แล้วคุณทศพล คิดว่าหมายความว่าอย่างไรล่ะค่ะ



#29774 วิธีใช้หนี้พ่อแม่

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 26 June 2006 - 06:45 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



วิธีใช้หนี้พ่อแม่ไม่ยากเลย จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก

ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะ ทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุขส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ

ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ

บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล ( case นี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว : ผู้รวบรวม ) ฯ

เมื่อเร็วๆนี้ฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐาน พอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ

คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้…….. คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร ? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯ

ขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ

นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ



หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณนั้น คือหนี้บุญคุณของบิดามารดา ฯ

" หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง " เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบัน เป็นดอกเตอร์ อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วง สร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลยพ่อแม่ ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด ฯ

ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัว ไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไร ต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล ฯ

ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อ จรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา…….. พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้างฯ
ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว ฯ

ที่มา อนุสาสนีปาฏิหาริย์
โดย พระราชสุทธิญาณมงคล
http://www.jarun.org/v5/index.html



#29773 พระเทพฯทรงหนุนผลิตนักวิชาการพุทธศาสนา

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 26 June 2006 - 06:32 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



มมร.เผยสมเด็จพระเทพฯ ทรงมีพระราชประสงค์อยากจะสร้างนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาระดับโลก เพื่อช่วยจรรโลงศาสนาพุทธ
พระดร.อนิลมาน ธมมสากิโย รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี องค์อุปภัมภ์ศูนย์พุทธศาสน์ศึกษาแห่งออกซ์ฟอร์ด (The Oxford Centre for Buddhist Studies หรือ OCBS ) มีพระราชประสงค์อยากจะสร้างนักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนาระดับโลกเพื่อเข้ามาช่วยในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา
"ด้วยเหตุนี้จึงจัดโครงการพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทย-ออกซ์ฟอร์ด ขึ้น โดยประสานขอความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย 6 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.), มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยศิลปากร,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันการศึกษาอื่นๆ" พระดร.อนิลมาน กล่าว
พระดร.อนิลมาน กล่าวต่อว่า ทั้ง 6 สถาบันจะทำงานสร้างความเข้าใจด้านพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งกับโอซีบีเอสเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ ให้คณา จารย์และนักวิจัยด้านพุทธศาสน์ศึกษาทั้งในออกซ์ฟอร์ดและไทย
โดยพัฒนาการศึกษาพระพุทธศาสนาเชิงวิเคราะห์คัมภีร์และวัตถุทางสังคมที่เกี่ยวข้อง ทบทวนวิธีการสอนต่างๆ เช่น การสอนภาษาบาลี ซึ่งขณะนี้โอซีบีเอสพร้อมจะช่วยเหลือกับ 6 สถาบันเพียงตอบรับเข้าโครงการดังกล่าวเท่านั้น
นอกจากนี้จะก่อตั้งองค์กรในประเทศไทย โดยร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ ก่อตั้งเป็นกองทุนเรียกว่า สมาคมเพื่อความเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง (ประเทศไทย)
มีกรรมการ 5 คน แบ่งเป็นไทย 2 คน อังกฤษ 2 คน ได้แก่ ศ.ดร.ริชาร์ด กอมบริช และพระคำหมาย ธมมสามี และตัวแทนกลุ่มเถรวาทจากมาเลเชียหรืออินโดนีเชีย 1 คน
"อาตมาเชื่อว่าสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมจะได้รับการเพิ่มมาตรฐานของการสอนและวิจัยทั้งภายในสถาบันและโดยความร่วมมือกับเครือข่ายของพุทธศาสน์ศึกษา เพื่อความเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างแพร่หลายพร้อมๆ กับการพัฒนาการทางวิชาการ" พระดร.อนิลมาน กล่าว

ที่มา



#29772 พระอัจฉริยภาพในหลวง-ทรงใช้ 'ธรรมะ' แก้ปัญหา

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 26 June 2006 - 06:28 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก



“ดร.สุเมธ” ระบุพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมะ คือธรรมชาติแก้ปัญหาธรรมชาติ ช่วยแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เผยเป้าหมายพระราชกรณียกิจไปไกลกว่าประโยชน์สุขประชาชน คือต้องการพระราชทานประชาธิปไตยที่แท้จริง แนะคนไทยดำเนินชีวิตพอเพียง ใช้สติปัญญานำหน้า


เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 16 มิถุนายน นักศึกษาหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐและเอกชน รุ่นที่ 2 จัดการอภิปรายเรื่อง “พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพด้านการพัฒนาว่า ปรัชญาการทรงงานและพระราชกรณียกิจของพระองค์จะใช้ธรรมะ คือ ธรรมชาติมาแก้ไขปัญหาธรรมชาติ เพราะทุกสิ่งถูกออกแบบมาให้มีกลไกการแก้ปัญหาในตัวเอง

และยังทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ล้มเหลวหรือไม่สร้างปัญหาอื่นตามมา ยกตัวอย่างเช่น การแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียในบึงมักกะสัน ทรงแบ่งพื้นที่ให้มีส่วนที่น้ำสัมผัสอากาศ และใช้ผักตบชวาที่คนเห็นเป็นวัชพืชมาดูดซับโลหะหนัก จนน้ำเริ่มมีคุณภาพดีขึ้นมีสิ่งมีชีวิต มีปลามาอยู่อาศัย ชุมชนรอบบึงเก็บพืชผักไปจำหน่ายเลี้ยงตัวเองได้ ซึ่งทรงเรียกวิธีนี้ว่า ให้อธรรมสู้กับอธรรม เป็นต้น

ดร.สุเมธ ยังระบุว่า เป้าหมายของพระราชกรณียกิจต่างๆ ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่แค่เพียงประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม หรือความร่ำรวยที่มาพร้อมความสุขแท้จริงของประชาชนไทยเท่านั้น แต่พระองค์ทรงมุ่งหมายไปไกลมากกว่านั้น คือ ทรงเคยรับสั่งว่าสาเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินต้องเหนื่อยยากทำงานอย่างหนักจนทุกวันนี้ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ และเมื่อเขายากจนอยู่นั้น เขาจึงไม่มีอิสรภาพ เสรีภาพ แล้วเขาจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร



“จุดหมายปลายทางของพระองค์ไปไกลยิ่งกว่านั้น คือประชาธิปไตย ที่เราทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้ ประชาธิปไตยคงไม่ต้องเขียนเป็นมาตราใดออกมา แต่คือการที่ประชาชนจะอยู่กันอย่างเป็นสุขและท้องอิ่มอย่างไร วันนั้นคือวันที่ประชาชนจะรู้จักคำว่าประชาธิปไตยจริง ๆ ผมฟังแล้วผมขนลุก ทรงมองอะไรไปไกลกว่าพวกเราเยอะ”

ดร.สุเมธ กล่าวและว่า คำ “ประโยชน์สุข” เป็นคำเหนือชั้นที่ไม่มีต่างชาติที่ใดสอน จะมีสอนก็แต่เพียงหากำไรสูงสุด แต่ไม่ได้สอนให้หาความสุขที่แท้จริง
ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งที่ทรงยึดถือเป็นหลักแก้ปัญหาประเทศมาช้านาน แต่เมื่อเกิดวิกฤติจึงทรงนำมาสรุปพระราชทาน ซึ่งหลักนี้ไม่ใช่ไม่ต้องการให้ร่ำรวย แต่ต้องร่ำรวยอย่างยั่งยืนด้วย

ไม่ใช่ยืนบนทุนนิยมที่จะล้มไปกับวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตกเมื่อเศรษฐกิจทุนนิยมโตสูงสุด ดังนั้น การดำรงชีวิตจะต้องไม่ให้กิเลสจากการยั่วยวนหรือโฆษณาชักนำ แต่ใช้สติและปัญญานำหน้า และพิจารณาหลักพอประมาณ มีเหตุผล กล้าหาญ สร้างภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรมจริยธรรม ด้าน นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี อภิปรายว่า โครงการพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการที่เฉลี่ยแล้วเท่ากับตลอด 60 ปีที่ผ่านมาทรงพระราชทานให้ประชาชนสัปดาห์ละ 1 โครงการ รวมกับพระราชกรณียกิจอีกมากมาย ทำให้ต้องศึกษาถึงวิธีการทรงงาน ซึ่งควรจะมองให้ลึกซึ้งผ่านพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาและที่สำคัญจะต้องนำมายึดปฏิบัติด้วย นอกจากนี้ ไม่เพียงสิ่งที่ทรงทำจะสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากนำไปขยายผลทำประโยชน์ต่อชาติอีกนับไม่ถ้วน



ที่มา








#29771 MV ต้นไม้ของพ่อ เวอร์ชั่นใหม่ค่ะ++++

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 26 June 2006 - 06:08 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

ขอบคุณค่ะ คุณ light mint และคุณ อุ้มบุญ ที่แนะนำ

บ๊อก ๆ จบบัญชีและการตลาดมาแต่มีใจรักด้านการศึกษาโปรแกรมต่าง ๆ ทำได้แค่งู ๆ ปลา ๆ ใช้วิธีอาศัยถามเพื่อนและหัดทำ หัดเรียนรู้ค้นคว้าหาโปรแกรม บ๊อก ๆไม่ได้ร่ำเรียนด้านนี้โดยตรง เลยไม่เก่งหรือสามารถเรียบเรียงเนื้อหาให้สอดคล้องตามที่คุณ อุ้มบุญได้กล่าวไว้ จะเอาคำแนะนำไปพัฒนาฝึกฝนให้ดีขึ้นค่ะ และคุณ อุ้มบุญมีอะไรจะมาเสนอไหมค่ะว่าควรใช้โปรแกรมอะไร มีขั้นตอนยังงัยที่ให้เอฟเฟคน้อย แบบอยากเรียนรู้ ไม่อายที่ถามเพราะบ๊อก ๆ ก็อยากมีคววามรู้พัฒนาเพิ่มขึ้นถ้าเป็นไปได้ช่วยบอกกลวิธีขั้นตอนในการทำของคุณ อุ้มบุญหน่อยนะคะ การถามคนที่เรียนด้านนี้โดยตรงก็คงจะได้ความรู้ใหม่ ๆ มากขึ้น จะรอคำตอบบอกขั้นตอนการเสนอะแนะวิธีการทำจากคุณ อุ้มบุญ หรือผู้ที่รอบรู้ด้านนี้มาช่วยสอนนะคะ ขอเป็นลูกศิษย์ ช่วยขัดเกลา ให้บ๊อก ๆ ด้วยค่ะ (ดูผลงานบ๊อก ๆ ได้ที่เวบพลังจิตค่ะ เวบนั้นอิสระและให้โอกาสคนนำเสนอผลงานมาแบ่งปันให้เพื่อนได้ชมค่ะ) ถ้ามีโอกาสจะนำผลงานมาให้ติชมอีกค่ะ



#29688 MV เรารักในหลวง

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 25 June 2006 - 11:08 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
รัก นาย หลวง



ต้องเขียนแบบนี้นะจ๊ะ

" รักในหลวง " ไม่ใช่ นายหลวง นะจ๊ะ



#29687 MV ต้นไม้ของพ่อ เวอร์ชั่นใหม่ค่ะ++++

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 25 June 2006 - 11:05 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

บ๊อก ๆ ลองหัดทำเองยังงัยช่วยติชมด้วยค่ะ

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  daddy4.wmv   9.33MB   6011 ดาวน์โหลด



#29592 เรื่องเล่าหลังงานฉลอง++++

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 24 June 2006 - 09:08 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

Subject: FW: เรื่องเล่าหลังงานฉลอง
คณะของสวาซิแลนด์
ทำเอาชาวบ้านหัวใจเกือบวาย ด้วยการประกอบพิธีโดยคุณ "Spiritualist" ในคณะ เมื่อคราวเสด็จฯ พระที่นั่งอนันตฯ ตอนที่คณะจะเสด็จกลับ คุณ Spiritualist ซึ่งได้รับเชิญให้มากับกษัตริย์สวาซิแลนด์คนนี้ก็เดินกลับมาหาในหลวง แล้วก็ตะโกนเสียงดังมาก ท่าทางขึงขังราวกับจะเข้ามาทำร้าย แล้วก็เดินจากไป ขณะที่พระองค์ท่านพระพักตร์นิ่งมาก ๆ ส่วนทุกคนในที่นั้นหน้าซีดเผือด
คืนนั้น ทหารของวังก็มาที่โรงแรมทันที เล่นเอานายตำรวจเกียรติยศของเราที่เป็นราชองครักษ์ให้กับคณะถึงกับลมใส่
แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรค่ะ ในวังสั่งให้มาสอบถามฝ่ายสวาซิแลนด์ว่า คุณหมอผีแกพูดว่าอะไร และท่าทางในขณะนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
คำตอบน่ารักมาก เค้าบอกว่า นั่นคือพิธีถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว แต่เสียดายมากที่ไม่สามารถทำได้อย่าง "ครบเครื่อง" เพราะตามปกติต้องมีชุดประจำชาติ (ซึ่งจะมีหอก และไม้เท้า) แต่โดยที่เราไม่อนุญาตให้พกอาวุธ (ยกเว้นเป็นเครื่องแต่งกายปกติของกษัตริย์ อาทิ ชุดของ king คูเวต และมาเลเซียซึ่งเหน็บกริชด้วย) จึงไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง แล้วขอโทษมาด้วย
คนที่ได้ยินเลยอมยิ้มกันไปตาม ๆ กัน
..........................................................................................................
สมเด็จพระบรมนาถสีหมุนี
วันเสด็จฯ ไปกองทัพเรือนั้น ประชาชนมารอรับเสด็จเนืองแน่น พระองค์ท่านทรงโบกพระหัตถ์อยู่ในรถ จนคุณตำรวจเกียรติยศทูลถามว่าทรงประสงค์จะให้เอากระจกลงหรือไม่ ตอนแรก พระองค์ท่านทรงปฏิเสธ แต่ในที่สุด เมื่อทอดพระเนตรเห็นฝูงชนที่บีบเข้ามาเรื่อย ๆ รถก็เคลื่อนไปได้ช้า จึงรับสั่งให้เอากระจกลง พอชาวบ้านเห็นก็ตะโกนกันใหญ่ว่า ทรงพระเจริญ พระองค์ท่านแย้มสรวลให้ จนมีเสียงผู้หญิงคนนึงตะโกนฝ่ามาจากฝูงชนว่า "ทรงหล่อมาก ๆ"
คราวนี้พระองค์ท่านแย้มพระสรวลไม่หุบเลย
...........................................................................................
มีคนหลังไมค์มาถามเราว่า เราไปทำอะไรมาเหรอ ถึงรู้เรื่องที่เอามาเล่าเนี่ย
ก็ขอตอบละกันว่าไปเป็น "เลซอง" มาค่ะ
เลซอง (liaison) คือเจ้าหน้าที่ประสานงานให้กับคณะของพระราชอาคันตุกะ ทุกคณะจะมีเลซองประจำคณะละ 2 คนขึ้นไป หลัก ๆ คือเป็นเลซองตัวพระประมุข 1 คนและผู้ช่วยเลซอง 1 คน แต่หากมีพระชายา / พระสวามีโดยเสด็จด้วยก็จะเพิ่มเลซองอีก 1 คน (ของมาเลเซียกับญี่ปุ่น มีคณะละ 4 คน เนื่องจากคณะใหญ่มาก ญี่ปุ่นมีผู้ตามเสด็จประมาณ 200 คน)
พูดถึงเลซองแล้วก็คิดถึงสมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน และเจ้าหญิงแมรี่แห่งเดนมาร์ก
เกร็ดน่ารัก ๆ เรื่องนี้คือว่า ทั้งสองพระองค์เคยเป็นสามัญชนมาก่อน (ควีนซิลเวียเป็นชาวเยอรมัน ส่วนเจ้าหญิงแมรี่เป็นชาวออสเตรเลีย) และเคยเป็นเลซอง จึงได้พบกับกษัตริย์สวีเดน และเจ้าชายแห่งเดนมาร์ก เมื่อท่านเสด็จฯ ไปเยือนประเทศบ้านเกิดของทั้งสองพระองค์

เอ้อ ไม่อยากบอกเลยว่าข้อมูลนี้เลยเป็นแรงบันดาลใจให้สาว ๆ หลายคนอยากเป็นเลซองให้กับคณะ ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงรู้กันดีนะคะว่าเป็นคณะไหน
แต่.. เสียใจด้วยจ้า คณะนั้น เค้าจัดเลซองผู้ชายให้แล้ว (ฮือ เสียดาย)
...........................................................................................................

บรูไนกับมาเลเซีย
คืนวันที่ 12 ราว ๆ 2 ยาม เห็นจะได้ เจ้าหน้าที่สถานทูตบรูไน 3 คน มาที่โรงแรม Shangri-La และได้ขอพบเลซองมาเลเซีย แล้วก็บอกว่า ควีนบรูไนมีของมาถวายองค์รายา ประไหมสุหรี อากง (ควีนมาเลเซีย) ต้องถวายให้ได้ในคืนนั้น
ของนั้นเป็นถุงกระดาษสีน้ำตาลเล็ก ๆ มี scotch tape พัน ๆ อยู่ ดูแล้วไม่เรียบร้อยเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้าหน้าที่บรูไนมีเอกสารมาให้เซ็นรับอย่างดี และยืนยันต้องถวายให้ได้
โชคดีว่าขณะนั้น ทรงประทับเสวยพระกระยาหารมื้อดึกอยู่ ยังไม่เข้าบรรทม ราชเลขาธิการมาเลเซียจึงได้นำของดังกล่าวเข้าไปถวายโดยใส่พาน แต่มิได้แกะห่อออกดู จึงทรงรับสั่งให้แกะห่อ
เอ่อ ทายสิคะว่าของในห่อที่ดูไร้ค่ามาก ๆ คืออะไร

มันคือ เครื่องเพชรค่ะ เครื่องเพชรอันใหญ่เบ้ง ประกอบด้วยพัชราวลัย (สร้อยคอ) กุณฑล (ต่างหู) และกำไลข้อพระกรอีก 1 คู่
(ปาดเหงื่อ 1 ที) งานนี้ เลซองเกือบซวยค่ะ เธอสารภาพกับดิฉันว่า คิดว่าจะแอบเอาไปโยนทิ้งอยู่แล้ว เพราะสภาพของห่อดีกว่าห่อขนมไข่หงส์นิดเดียว !
.........................................................................................................................................................................................................................
speech ประวัติศาสตร์ที่จับใจคนทั้งโลกขององค์สุลต่านแห่งบรูไนค่ะ
ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว ท่านได้ทรงขอข้อมูลจากฝ่ายไทยเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเตรียมการยกร่าง และคำถามที่ถามกันมากมากเหลือกเกินว่าใครคือผู้ยกร่าง
ผู้ร่างก็คือ องค์สุลต่านนั่นเองค่ะ
ยืนยันจากเจ้าหน้าที่โต๊ะบรูไนของกระทรวงการต่างประเทศ ที่นั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ ดิฉันเนี่ยแหละเพราะเธอเป็นคนให้ข้อมูลท่านไปเองค่ะ และท่านทรงยกร่างเองและรัฐมนตรีต่างประเทศ เพียงเตรียมเป็นประเด็นสั้น ๆ (pointers) ให้ทราบว่าทรงปลาบปลื้มพระทัยยิ่งกับความเอาพระทัยใส่ของในหลวงของเรา ที่ทรงรับสั่งแสดงความยินดีกับองค์สุลต่านที่พระชายาชาวมาเลเซียมีประสูติกาลพระโอรสเพียง 1 สัปดาห์ก่อนเสด็จมาประเทศไทย

อยากจะบอกว่า ภาษาอังกฤษที่ใช้นั้น ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย เป็นภาษาที่แสนจะง่าย ธรรมดาสามัญ แต่เมื่อประกอบกันขึ้นเป็น speech แล้ว กลับซาบซึ้งกินใจอย่างยิ่ง

....................................................................................................................................................................................................................
พ.ต.ท.เชิดชาย ชมธวัช วัย 64 ปี นายตำรวจเกษียณ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับพระราชทานวโรกาสให้เข้าเฝ้าพระประมุขแห่งญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด
คุณลุงเชิดชาย เล่าย้อนเวลาเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งที่ยังรับราชการในตำแหน่ง รองผกก.หน.สภ.อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน
ได้พบว่าในพื้นที่ อ.ขุนยวม มีข้าวของเครื่องใช้ของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกหลงเหลืออยู่กระจัดกระจายเป็นจำนวนมาก เลยมีความคิดริเริ่มที่จะรวมรวมสิ่งที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์เหล่านี้รวมกันไว้ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้กับคนรุ่นหลัง จึงเริ่มสะสมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นนับแต่นั้นมา
คุณลุงก็ได้รับหนังสือเชิญจากสถานทูตญี่ปุ่น โดยมีข้อความเชิญตัวคุณลุงเองและภรรยาเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโก! ะ ในวันที่ 13 มิ.ย. โดยข้อความทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษและเขียนชื่อคุณลุงเป็นภาษาไทย และเจ้าหน้าที่ก็ได้มอบภาพถ่ายของทั้งสองพระองค์ให้กับคุณลุงด้วย
หน้าที่ได้จัดลำดับให้ผมเข้าเฝ้าเป็นลำดับที่ 3 จากผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ากว่า 40 คน เมื่อได้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิอากิฮิโตได้สัมผัสมือกับผมและตรัสผ่านล่ามว่ารู้สึกขอบคุณ และขออภัยที่ทำให้ผมต้องเดินทางมาไกลและตรัสว่าในนามของประชาชนชาวญี่ปุ่นและในนามของประมุขของประเทศญี่ปุ่น ขอขอบคุณที่ได้จัดสร้าง พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวขึ้นมาและฝากความระลึกถึงชาวบ้าน 3 คนที่ไม่มีโอกาสเดินทางมาด้วย ซึ่งในการพูดคุยพระองค์ทรงมีอัธยาศัยอย่างไมตรีและไม่ถือตัวสร้างความปีติให้กับผมและภรรยาอย่างที่สุด โดยการเข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา สมเด็จพระจัรพรรดิอากิฮิโตได้พระราชทานจอกเงิน ที่มีตราราชวงศ์ญี่ปุ่นประทับอยู่ให้กับผมและภรรยาด้วย"
คุณลุงเชิดชาย ยังบอกด้วยว่า พิพิธภัณฑ์สงครามโลกมีความสำคัญกับชาวญี่ปุ่นและคนไทยที่ผ่านพ้นประวัติศาสตร์ร่วมกันโดยเฉพาะเส้นทางเดินทัพที่พาดผ่าน อ.ขุนยวม เรียกกันว่าเป็น "เส้นทางโครงกระดูก" โดยขณะนั้นทหารฝ่ายพันธมิตรได้ปิดล้อมกองทหารญี่ปุ่น ตั้งแต่เมืองโอคิมาของอินเดียตอนใต้ ไล่ลงมาผ่านอิรวดีของพม่าและเข้าสู่ภาคเหนือของไทยที่ อ.ขุนยวม ซึ่งยุกธการปิดล้อมครั้งนั้นได้ทำให้ทหารญี่ปุ่นต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
และเนื่องในปีนี้เป็นปีมงคล คุณลุงจึงตั้งใจถวายพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระจักรพรรดิอากิฮิโตแห่งญี่ปุ่น และปฏิญาณว่า จะตั้งใจดำเนินการสะสมสิ่งของในอดีตรวมทั้งเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้สนใจศึกษาต่อไปด้วย
......................................................................................................................................................................

แม่ค้าผลไม้ที่เจ้าชายแห่งลักเซมเบิร์ก ได้เสด็จฯเยี่ยมชมตลาด และทรงลองเสวยทุเรียน ซึ่งคุณแม่ค้า สาว 2 พี่น้อง เจ้าของร้าน“นันท์-น้อย” เล่าถึงความประทับใจและระทึกใจต่อเจ้าชายหนุ่มว่า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังขายผลไม้อยู่หน้าร้าน ปรากฎว่าบริเวณหน้าตลาด อตก.มีผู้คนคึกคักผิดปกติ เลยรู้ว่ารอชมพระบารมีของเจ้าชาย คุณแม่ค้าและน้องสายก็ตื่นเต้นดีใจ ที่มีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาชมตลาด
(ขอแทรกค่ะ) แถมการเสด็จครั้งนี้ ท่านทรงพระดำเนินมาตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส มายังตลาด คิดดูว่าทั้งร้อนทั้งไกลขนาดไหน
คุณแม่ค้าเล่าอย่างเห็นภาพว่า “มาถึงพระองค์ท่านก็เลี้ยวมาที่ร้านของดิฉันทันที พระองค์ทรงหยุดมองทุเรียนที่วางขายอยู่หน้าร้าน ซึ่งดิฉันก็บอกกับล่ามของพระองศ์ว่า สามารถชิมได้ พระองค์มีท่าทีสนใจ และยิ้มแย้มที่ได้เห็นทุเรียน แต่ทางผู้ติดตามบอกว่าพระองค์ไม่สามารถชิมได้ เพราะเกรงว่าจะท้องเสีย แต่พอล่ามได้บอกกับพระองค์ว่า แม่ค้าอยากให้ชิม พระองค์จึงตรัสว่าจะลองชิม แล้วผู้ติดตามก็ได้ให้ดิฉันเช็ดมีดให้สะอาด แล้วเอาไม้มาให้พระองค์จิ้มเสวย แต่ปรากฎว่าพระองศ์ทรงใช้มือหยิบเสวย พร้อมชมว่า อร่อยมากๆ“
คุณแม่ค้าเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มปลื้ม ก่อนจะบอกว่า “เสวยทุเรียนเสร็จ ดิฉันก็ถวาย มังคุดให้เสวยต่อ ซึ่งพระองค์ก็ชอบมากอีกเช่นกัน ดิฉันเลยบอกผู้ติดตามว่าจะขอถวายผลไม้ให้ได้ไหม แต่ทางผู้ติดตามบอกว่า จะขอซื้อ เพราะถ้าถวาย ก็กลัวว่าแม่ค้าจะขาดทุน เพราะต้องซื้อเป็นจำนวนมาก”
เท่านั้นแหละ เธอถึงยอมใจอ่อน ตัดใจขายทุเรียนให้พระองค์ท่านไป 4 กิโล ราคา 1 พันบาท แล้วก็แถมผลไม้อย่างอื่นให้ด้วย
คุณพี่แม่ค้าเล่าตอนนี้อย่างปลื้มสุดๆ อีกว่า “พระองค์ท่านถามดิฉันว่าทำไมต้องให้ฟรี ดิฉันบอกว่าพระองค์เป็นแขกของในหลวง พระเจ้าแผ่นดินที่ดิฉันเคารพรักมาก เมื่อพระองค์มาเยือนประเทศไทย มาเป็นแขกของพระเจ้าแผ่นดิน ดิฉันก็ต้องต้อนรับให้ดีที่สุดเช่นกัน พอล่ามแปลให้ฟัง พระองค์ท่านก็ทรงยิ้มแย้ม “

หลังจากวันนี้ คุณพี่แม่ค้าก็มีเหตุระทึกใจเกิดขึ้น เพราะวันถัดมา จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ของบุคคลผู้ไม่คุ้นเคย โทรมาหา และบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ สน.บางซื่อ พอรู้เท่านั้นแหละ คุณพี่แม่ค้าต๊กกะใจ “นึกว่าพูดอะไรออกไป”
แต่ปรากฎว่า คุณพี่ตำรวจนายนั้น โทรมาบอกว่า “คืนนั้นเจ้าชายทรงนอนไม่หลับ เพราะยังคิด และประทับใจในคำพูดที่ดิฉันมีต่อพระเจ้าแผ่นดิน และปลื้มใจที่มีประชาชนชาวไทยรักในหลวงมากมายขนาดนี้”
...โอย ฟังแล้วปลื้มหัวใจเจ้าค่ะ
คุณพี่แม้ค้าเลย ตบท้ายว่า ที่เจ้าชายทรงเสด็จฯ มาเสวยทุเรียนที่ร้าน ดิฉันรู้สึกดีใจมาก และถือเป็นวาสนาว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เคยมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งเสด็จมา ดิฉันว่าประชาชนของประเทศลักเซมเบิร์กบางคน ยังไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านเหมือนดิฉัน ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากให้ท่านเสด็จมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง” คุณพี่แม่ค้าว่างั้น ...ฮึ โชคดีกว่าอิฉันอีกนะคุณพี่ หุหุ

.............................................






























#29522 คิดยังไงกับคำว่ากิ๊ก

โพสต์เมื่อ โดย BOG-BOG บน 23 June 2006 - 08:43 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ

คำย่ออื่นของ กิ๊ก เช่น กิกะไบต์ ที่เป็นจำนวนหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ ...

กิ๊ก (บางทีจะหมายถึง เดท หรือ คู่เดท เป็นคำเรียกของ ความสัมพันธ์ระยะสั้นระหว่างบุคคล (short-term relationship) โดยจะแตกต่างกับคำว่ากับความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เรียกว่า แฟน ที่โดยรวมจะหมายถึงความสัมพันธ์ระยะยาว ความสัมพันธ์ของกิ๊กหลายครั้งที่จะมีการเข้าใจผิดกัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีการกล่าวถึง โดยอาจจะมีความเข้าใจผิดระหว่าง ความสัมพันธ์ระยะสั้น หรือความสัมพันธ์ระยะยาว ในปัจจุบัน คำว่ากิ๊ก จะกล่าวถึงพฤติกรรมการหาเพื่อน ของกลุ่มวัยรุ่น โดยต้องการหาเพื่อนคุยหรือเพื่อนเที่ยว โดยใช้คำว่า กิ๊ก แทนคำว่าเพื่อน ซึ่งจะเป็นศัพท์แฟชั่นมากกว่า

ความหมายของคำว่ากิ๊ก แตกต่างกันไปตามกลุ่มอายุ และสังคม มีหลายหลาย ได้แก่

เพื่อนต่างเพศที่มีความสำคัญมากกว่าเพื่อนทั่วไป โดยมีความลึกซึ้งมากกว่า
เพื่อนคุยโทรศัพท์ หรือเพื่อนที่คุยได้ทุกเรื่อง
คำว่ากิ๊กบางทีกล่าวถึง คู่นอน (อังกฤษ: friend with benefit)
จริง ๆ แล้ว กิ๊ก คือ ชู้ แต่ผู้คนเลี่ยงคำว่า ชู้ จึงไปใช้คำว่า กิ๊ก

ที่มาของคำว่ากิ๊ก ไม่มีกล่าวถึงที่แน่นอน โดยอาจจะมาจาก

คำว่า กุ๊กกิ๊ก ที่กล่าวโดยวัยรุ่นที่หมายถึงการออกไปเที่ยว หรือไปใช้เวลาร่วมกัน
คำว่า คลิก (click) ที่เป็นแสลงในภาษาอังกฤษ หมายถึง การเข้ากันได้ของคนสองคน (โดยเปรีบเทียบจากเสียง คลิก ของวัตถุสองสิ่งที่ใส่เข้ากันได้พอดี)
คำว่า กิ๊ก (gig) ที่เป็นแสลงในภาษาอังกฤษ หมายถึง งานระยะสั้น (คำเดียวกันนี้ ยังมีความหมายอื่น ๆ อีก เช่น งานแสดงดนตรี)


ที่มา : http://th.wikipedia.org