ถ้าเราไม่สบาย เช่น เวียนหัวบ้านหมุนเราจะอธิษฐานจิตนำบุญมาช่วยอย่างไรได้คะ หรือ นั่งสมาธิไปเรื่อย ๆ จะหายมั้ยคะ ทานยาเเล้วก็ไม่หายค่ะ
เวลาเราไม่สบายเราจะอธิษฐานจิตอย่างไรดีคะ
#1
โพสต์เมื่อ 26 November 2014 - 07:38 PM
#2
โพสต์เมื่อ 27 November 2014 - 08:26 AM
ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ก่อนที่เราจะหาทางแก้ไขอะไร อย่างไร เราต้องหาสาเหตุให้เจอก่อนนะครับ
เพราะถ้าเราหาสาเหตุไม่เจอ ให้ทำยังไงก็ไม่หายขาด ให้ทำบุญมากกว่านี้เพื่อให้หาย ให้อธิษฐานจิตมากกว่านี้เพื่อให้หาย ก็แทบจะไม่มีประโยชน์ครับ
แต่ถ้าเราหาสาเหตุเจอแล้ว เราดูแลตัวเองไปด้วย ทำสมาธิเจริญภาวนาไปด้วย ทำบุญทุกๆ บุญไปด้วย แล้วอธิษฐานจิตไปด้วย ทุกอย่างพอเหมาะ พอดี อาการทุกขเวทนาต่างๆ ก็จะบรรเทาไปเองครับ
#3
โพสต์เมื่อ 27 November 2014 - 10:32 AM
เราต้องหาสาเหตุทางกายควบคู่กันไปด้วย เช่น อาจจะมีไข้ ความดันสูงเกิน หรือต่ำเกิน ก็อาจมีอาการบ้าหมุน
แบบนี้ให้ไปหาหมอเพื่อรักษาทางกาย
ส่วนทางใจก็อย่าเครียดในเรื่องต่างๆเกินไป จนอาการทางกายทรุดกว่าเดิม
#4
โพสต์เมื่อ 27 November 2014 - 10:43 AM
#5
โพสต์เมื่อ 28 November 2014 - 09:18 AM
เวียนหัวบ้านหมุนเราจะอธิษฐานจิตนำบุญมาช่วยอย่างไรได้คะ หรือ นั่งสมาธิไปเรื่อย ๆ จะหายมั้ยคะ ทานยาเเล้วก็ไม่หายค่ะ
ตามที่ท่านทัพพีฯกล่าว....โรคทางกาย ควรหาเหตุปัจจุบันก่อน...
เวียนศีรษะถ้าไม่มีโรคทางกาย มักจะมีพยาธิกำเนิดจาก ของเหลวใน หูชั้นในทั้ง 2ข้าง ไม่สมดุลย์ จึงต้องกลับมาทบทวนนาฬิกาชีวิตของเราใน 5ห้องชีวิต อาทิ
1. ห้องนอน...เราบริหารการพักผ่อนกายได้พอดีหรือไม่ เช่น อากาศถ่ายเท ความสะอาดเครื่องนอน ชุดที่สวม อุณหภูมิอากาศถ่ายเท อิริยาบถนอน นอนตกหมอน คอตึง ระยะเวลานอน การนอนหลับสนิท ไม่ควรมีตื่นกลางดึก เพื่อพักระบบต่างๆของร่างกาย ประหนึ่งว่าเป็นการชาร์จแบตให้เต็มที่ก่อนตื่นในวันพรุ่ง
2. ห้องน้ำ...ขับถ่ายหนักต้องใช้แรงเบ่ง หรือ สระผมแล้วน้ำเข้าหูข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่
3. ห้องอาหาร...ขาดน้ำ หรือ มีเครื่องดื่มคาเฟอีนหรือไม่ เช่น ดื่มประจำแล้วงด หรือ ดื่มเยอะเกิน ดื่มน้ำเย็นจัดหลังออกแดด? วาซาบิจามแรงๆแสบจมูก ฯลฯ
4. ห้องแต่งตัว...เครื่องแบบเหมาะที่จะปรับสภาพอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงกระทันหันหรือไม่? เช่น หนาวไปร้อน ออกจากที่ทำงานแอร์เย็นฉ่ำไปข้างนอกที่มีอุณหภูมิต่างกัน 10องศา C
5. ห้องทำงาน...งานออฟฟิสใช้สายตานานเกินความจำเป็น? สายตาผิดปกติ(เอียง) เห็นภาพซ้อน จ้องหน้าคอมนาน คอตึง อิริยาบถไม่เหมาะสมทำให้คอตึง เดินทางรถเหวี่ยงเมารถ กลิ่นควันสูดแล้วคลื่นเหียน ออกกำลังกายน้อยลง ร่างกายไม่ฟิตพอ เป็นต้น
http://health.dmc.tv...เวียนศีรษะ.html
ไฟล์แนบ
#6
โพสต์เมื่อ 28 November 2014 - 09:35 AM
แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก "เวียนศีรษะ" เป็นโรคลมกำเริบ ใช้การรักษา อาทิ
1. ดื่มน้ำมันหุงเจือด้วยน้ำเมา...ซึ่งในปัจจุบันเข้าได้กับ ยาธาตุน้ำแดง(M. Carminative)
2. เข้ากระโจม ปัจจุบันก็คือ ซาวน์น่า
3. รมใบไม้ หมายถึง สูดดมสมุนไพรนึ่ง
4. การนึ่งตัวในอ่างน้ำ หมายถึง สปา
5. การระบายโลหิตออก ซึ่งไม่นิยมในปัจจุบัน หากแต่ถ้าเป็นเรื่องของเลือดข้น ก็ดื่มน้ำมากๆ หรือไม่ก็บริจาคโลหิตแทน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยประชวรด้วยโรคลม ใช้ ข้าวยาคู งา เกลือ ถั่วเขียว ส่วนพระสารีบุตรักษาโดยใช้กระเทียม
ไฟล์แนบ
#7
โพสต์เมื่อ 28 November 2014 - 09:36 AM
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ครับ
ใครว่า 5 ห้องชีวิตไม่มีสาระ ดูซะก่อน ทุกขเวทนาแบบนี้ ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากการดูแลทั้ง 5 ห้องได้ไม่ดีแล้ว เรื่องใกล้ตัวทั้งนั้นเลย ลองพิจารณาดูนะครับ
แต่ที่เข้ามานี่ ก็เพื่อมากราบขออนุญาติพระอาจารย์อธิบายศัพท์ทางวิชาการแพทย์สมัยใหม่สักนิด กันการเข้าใจผิดของบุคคลทั่วไปครับ
เวียนศีรษะถ้าไม่มีโรคทางกาย มักจะมีพยาธิกำเนิดจาก ของเหลวใน หูชั้นในทั้ง 2ข้าง ไม่สมดุลย์ จึงต้องกลับมาทบทวนนาฬิกาชีวิตของเราใน 5ห้องชีวิต อาทิ
พยาธิกำเนิด ไม่ได้หมายความว่าเรามีตัวพยาธิยึ๊กยืออยู่ในหูนะครับ แต่เป็นคำศัพท์กลางๆ ทางการแพทย์ ซึ่งหมายถึง
คำว่า “พยาธิสภาพ” (อ่านว่า พะยาทิสะพาบ) มาจากคำว่า พยาธิ กับ สภาพ
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่า “พยาธิ” (พะยาทิ) ว่า เป็นความเจ็บไข้ เช่น โรคาพยาธิ ส่วนคำว่า “สภาพ” คือ ความเป็นเองตามธรรมดาหรือตามธรรมชาติ เช่น สภาพความเป็นอยู่ สภาพดินฟ้าอากาศ ลักษณะในตัวเอง ภาวะ และธรรมชาติ
คำว่า พยาธิสภาพ เป็นคำที่มักใช้ในทางการแพทย์ ที่บ่งบอกถึงลักษณะของการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของคนหรือสัตว์เมื่อเกิดโรค ซึ่งการศึกษาเรื่องราวของโรคที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องรู้ถึงสาเหตุและธรรมชาติของโรค รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดตามมาภายหลังการเกิดโรค ทั้งทาง กายวิภาคฯ ทางสรีรวิทยา และทางเคมี การศึกษาดังกล่าวนี้เป็นศาสตร์ที่เรียกว่า “พยาธิวิทยา” (pathology)
The word "Pathology" (pronounced PA-chartered entity taking PAP) comes from the word pathology with the condition,
according to the Royal Institute dictionary, meaning of the word "Pathology" (PA ya TI) as a fall, for example, "rokhapyathi" section: Such living conditions Weather Look at yourself. Causes and nature,
the term is often used as a pathology in the medical indication of a change in a person's body or animals when disease. As well as changes in the body that occur subsequent to all diseases. Wiphak chemical and physical medicine. These studies is a science called "Pathology" (pathology)
#8
โพสต์เมื่อ 28 November 2014 - 09:49 AM
สาธุกับท่านทัพพีฯนะ
ส่วนเมื่อหาเหตุปัจจุบันไม่ได้ จึงนำวิบากกรรมมาพินิจพิจารณา แล้วรักษาใจควบคู่กับรักษากายตามพุทธวิธี ด้วย ธรรมโอสถ
1. ธัมมัสสวนมัย คือ สดับธรรม ดังในพุทธกาลมีการใช้บทสวดโพชฌงค์7 รักษา
2. ประกอบเพียรในอธิจิต ตั้งใจมั่นในการทำความดีอย่างอุกฤษณ์
3. ทำสัจจกิริยา นึกถึงบุญ สิ่งที่เป็นความจริงของตนหรือบุคคลอันเป็นที่พึ่ง
4. ปัด กวาด เช็ด ถู นำความสะอาดมาก่อบรรยากาศ อารมณ์สบาย
ไฟล์แนบ
#9
โพสต์เมื่อ 28 November 2014 - 01:40 PM
สาธุ
#10
โพสต์เมื่อ 28 November 2014 - 06:17 PM
ขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่เข้ามาตอบกระทู้นะคะ อนุโมทนาสาธุค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 08 December 2014 - 07:21 AM
ขออนุโมทนากับผู้่ที่ให้ความรู้ค่ะ สาธุ
#12
โพสต์เมื่อ 11 December 2014 - 01:41 PM
Krap kob pra koon Pra Ajan and K. Tuppe for Dhammatan ka. If there is no translation and explanation of K. Tuppe,I totally think "Payati"= worms in the ears.lol. Anumotana sadhu ka.