การปราบมาร ได้ยินว่าสงครามโลกเป็นเหมือนของเด็กเล่น
#1
โพสต์เมื่อ 18 May 2010 - 07:54 PM
#2
โพสต์เมื่อ 18 May 2010 - 08:24 PM
"ไปหยุดใจให้ได้เสียก่อน ถ้าหยุดใจได้แล้วเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน"
พอเข้าใจหรือไม่ครับ เราต้องหยุดใจให้ได้เสียก่อน เรื่องต่อจากนั้นเดี๋ยวค่อยว่ากัน
หากหยุดใจได้ ยังไม่ต้องถึงเรื่องนั้นหรอก แค่เรื่องที่ชาวโลกปวดหัว เรายังตอบได้เลย
เรื่องนั้นคือ คำถามที่ถามว่า "ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน"
หากหยุดใจได้ ก็สามารถตอบคำถามนี้ได้ครับ
#3
โพสต์เมื่อ 18 May 2010 - 08:35 PM
มีคำตอบว่าหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) ท่านปราบมารอย่างไร
http://www.kalyanami...k/pdf/69KAN.pdf
หากหยุดใจได้ ก็สามารถตอบคำถามนี้ได้ครับ
http://dou.us
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#4
โพสต์เมื่อ 18 May 2010 - 09:21 PM
... ปราบด้วยบุญกับบาป ดำกับขาว มืดกับสว่าง ปราบด้วยกายธรรม หรือกายมหาบุรุษ ใช้วิธีบังบ้าง เบียดบ้าง คลุมบ้าง ตีให้แตกบ้าง ฯลฯ ไม่ใช้อาวุธใดๆ อาวุธนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดเอง สร้างเอง อาวุธบนโลกมนุษย์ก็มีอานุภาพเหมือนที่เคยเห็น เป็นอาวุธหยาบ ส่วนอาวุธละเอียดนั้น ก็มีอย่างเช่นเทวดาก็มี แต่ไม่ได้ใช้ในการปราบมาร แต่ถ้าอยากเห็น ต้องละเอียดมากพอที่จะเห็น จะชวนใครมาเห็นไม่ได้ ถ้าไม่มีพื้นแห่งความเข้าใจเรื่องการเห็น แม้เอาภาพละเอียดมาให้ดูยังเป็นข่าวครึกโครมเลย หุหุ
#5
โพสต์เมื่อ 18 May 2010 - 09:55 PM
#6
โพสต์เมื่อ 18 May 2010 - 10:55 PM
เมื่อนั้นเราจะรู้ว่า เพราะอะไร คนทั่วไปเขาถึงไม่รู้กัน แล้วมันยากแค่ไหนที่คนทั่วๆไปเขาจะรู้กัน
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง
#7
โพสต์เมื่อ 19 May 2010 - 02:06 AM
แต่อย่าเพิ่งสงสัยไปเสียจนมากมายเป็นกิเลศนิวรณ์ บ้างก็สงสัยจนหลุโลกไปเลย แบบนี้ไม่ดี
ตั้งใจปฏิบัติให้มากๆนะครับ
............................................
มาร ที่คุณได้ยินท่านใดเล่ามา อันนั้นเป็นมารในความหมายวิชชาธรรมกายเบื้องสูงครับ
เป็นมารตามพุทธพจน์ได้ว่าคือ กิเลศมาร ที่ละเอียดๆ ที่ครอบคลุมไปถึงมารทั้งห้าด้วย
เป็นธาตุธรรมภาคมาร หรือ ต้นธาตุอกุสลาธรรมา ที่ละเอียดลึกซึ้งมากมายนัก ที่คอยสร้างและสอดส่งกิเลศ อวิชชา ภพ ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ มายังธาตุธรรมของใจในสรรพสัตว์ และสรรพสิ่ง นั่นเองครับ
และก็ยังมี ต้นธาตุกุสลาธรรมา และต้นธาตุอัพยากตาธรรมา อันเป็นธาตุธรรมทั้งสามฝ่ายตามพระพุทธพจน์แท้ๆ แต่ลึกซึ้งมากตามแนววิชชาธรรมกายได้ค้นพบและเข้าถึง
ขอย้ำว่าเป็นพุทธพจน์แท้ๆ มีตำรับตำรารับรอง หลวงปู่สดสอนไว้ว่า "ตาดีก็เห็น ญาณดีก็รู้ มีตำรับตำรารับรอง" ดังนั้นสบายใจและมั่นใจได้ว่า เราเดินทาง และเรียนรู้ปฏิบัติมาถูกต้อง ไม่ได้ปฏิรูป หรือนอกพระธรรมวินัยใดๆทั้งสิ้น
สนใจได้ แต่อย่าพึ่งเก็บมาคิดจนสับสน นั่งธรรมะให้เห็นธรรมกายก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที
.......................................
ไม่ใช่มาร แบบเทพนิยายปรัมปรา หรือเทพเทวดาที่เป็นมารนะครับ และไม่ใช่มารซาตาน แบบศาสนาเทวนิยม ปรัมปราอันใดด้วย นะครับ
ไม่ได้เหมือนแบบในนิยาย หรือในเทพเทวดาชั้นจาตุมฯ ที่ใช้อาวุธเทวดามาสู้รบกัน
ผมว่าคุณคิดไปถึงไหนกันเนี่ย ขออนุญาติหัวเราะนิดนึง มันขำครับ 5555555 ไม่ว่ากันนะครับ อิอิ ตามประสาคนกันเองๆ
.......................................
ต่อไปนี้เป็น มาร ตามพุทธพจน์นะครับ
[234] มาร 5 (สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุ ผลสำเร็จอันดีงาม — the Evil One; the Tempter; the Destroyer)
1. กิเลสมาร (มารคือกิเลส, กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวางความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต — the Mara of defilement)
2. ขันธมาร (มารคือเบญจขันธ์, ขันธ์ 5 เป็นมาร เพราะเป็นสภาพอันปัจจัยปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระในการบริหาร ทั้งแปรปรวนเสื่อมโทรมไปเพราะชราพยาธิเป็นต้น ล้วนรอนโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่ หรือบำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา อย่างแรง อาจถึงกับพรากโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง — the Mara of the aggregates)
3. อภิสังขารมาร (มารคืออภิสังขาร, อภิสังขารเป็นมาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิดชาติ ชรา เป็นต้น ขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังขารทุกข์ — the Mara of Karma-formations)
4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรตนหนึ่งชื่อว่ามาร เพราะเป็นนิมิตแห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงในกามสุขไม่หาญ เสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดียิ่งใหญ่ได้ — the Mara as deity)
5. มัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย — the Mara as death)
Vism.211;
Thag A.II.16.46 วิสุทฺธิ.1/270;
เถร.อ. 2/24,383,441;
วินย.ฎีกา. 1/481
........................
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#8
โพสต์เมื่อ 19 May 2010 - 10:25 AM
#9
โพสต์เมื่อ 19 May 2010 - 09:21 PM
5555