ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * - - 1 คะแนน

ผมมีคำถามอยากจะถามอยู่ 2 ข้อครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 16 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 SHO

SHO
  • Members
  • 15 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 26 June 2014 - 07:40 PM

 1บูชาข้าวพระได้บุญมากกว่าทำบุญทั่วๆไปจริงหรือ 2 หลวงพ่อธัมมะแบ่งภาคมาจากต้นธาตุต้นธรรมท่าน

จริงใหมครับ ??? ช่วยตอบให้หายสงสัยที ...



#2 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 26 June 2014 - 10:28 PM

1. ไม่จริงเสมอไปครับ

 

เริ่มต้นศึกษาจากตรงนี้ครับ  http://www.dou.us/หล...s/หลักการทำบุญ/

 

http://www.dmc.tv/pa...ูชาข้าวพระ.html

 

2.  เข้าวัดพระธรรมกายมา 20 ปีไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#3 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2014 - 10:25 AM

ยังสงสัยคำถามอยู่ว่า

 

1. บูชาข้าวพระ คือ บูชาที่ไหน....หน้าหิ้งพระในบ้าน?

หลักวิชชาของทานมัย อานิสงส์ผลบุญขึ้นกับองค์ประกอบทั้ง3 คือ วัตถุทาน เจตนา บุคคล ว่าบริสุทธิ์มากน้อยเพียงใด

 

2. คำว่า"ต้นธาตุต้นธรรม"ผู้ตั้งกระทู้ถาม เข้าใจว่าอย่างไร?


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#4 skynoi

skynoi
  • Admin
  • 603 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 27 June 2014 - 10:40 AM

1. บูชาข้าวพระได้บุญมากกว่าทำบุญทั่วๆไปจริงหรือ

 

ขึ้นชื่อว่าบุญ อันใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย บุคคลถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นบุญว่าเล็กน้อย เพราะว่าบุคคลผู้ฉลาดในการทำบุญ ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยบุญโดยลำดับ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดฝา ย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น มงคลที่ 15

 

 

2 หลวงพ่อธัมมะแบ่งภาคมาจากต้นธาตุต้นธรรมท่าน

จริงใหมครับ ??? ช่วยตอบให้หายสงสัยที ...

 

ได้ความนี้มาจากที่ไหนหรอคะ :D 



#5 vividu

vividu
  • Members
  • 716 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Seattle, WA
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 27 June 2014 - 11:24 AM

1. ไม่จริงเสมอไปครับ

 

เริ่มต้นศึกษาจากตรงนี้ครับ  http://www.dou.us/หล...s/หลักการทำบุญ/

 

http://www.dmc.tv/pa...ูชาข้าวพระ.html

 

2.  เข้าวัดพระธรรมกายมา 20 ปีไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนครับ

Dear K. Tuppe,

Why "Bucha Kao Pra" on the first Sunday is not very meritful ka.


1. บูชาข้าวพระได้บุญมากกว่าทำบุญทั่วๆไปจริงหรือ

 

ขึ้นชื่อว่าบุญ อันใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่าเล็กน้อย บุคคลถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นบุญว่าเล็กน้อย เพราะว่าบุคคลผู้ฉลาดในการทำบุญ ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยบุญโดยลำดับ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดฝา ย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น มงคลที่ 15

 

 

2 หลวงพ่อธัมมะแบ่งภาคมาจากต้นธาตุต้นธรรมท่าน

จริงใหมครับ ??? ช่วยตอบให้หายสงสัยที ...

 

ได้ความนี้มาจากที่ไหนหรอคะ :D

Krap kob pra koon of this Dhammatan ka. Sadhu ka.


8-)


#6 SHO

SHO
  • Members
  • 15 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 27 June 2014 - 11:26 AM

พอดีอ่านเจอในเว็บบอร์ดวัดหลวงพ่อสดฯ ตอบโดยพระเทพญาณมงคล(หลวงป๋าเสริมชัย) นะครับ

เลยสงสัยว่าเกี่ยวกับหลวงพ่อธัมมะและวัดใหญ่หรือเปล่า ?

คำถามและคำตอบที่ผมอ่าน มีดังนี้ครับ ...

 

1)   การไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง เขาจะกลั่นเครื่องไทยทาน ดอกไม้ ธูป เทียน อาหาร หวานคาว ของสาธุชนทุกท่านขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้าบนนิพพาน แล้วสาธุชนก็จะได้บุญใหญ่มหาศาล กล่าวคือ เราทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียว ก็ยังไม่ได้บุญใหญ่เท่านั้นเลย จริงหรือไม่ครับ ? และวัดปากน้ำกับวัดสระเกศเคยทำไหมครับ ? กรุณาชี้แจงให้สว่างด้วยครับ ?

ตอบ:

 
 

เรื่องนี้อาตมาขอแยกตอบเป็น 3 ประเด็น ดังต่อไปนี้คือ

  1. ประเด็นที่ว่า  กลั่นเครื่องไทยทานแล้ว นำไปถวายพระพุทธเจ้าในนิพพานนั้น   จะถึงหรือไม่ ?
  2. แล้วสาธุชนผู้มาร่วมในการถวายเครื่องไทยทานนั้น จะได้บุญมหาศาล   กล่าวคือ แม้จะเคยได้ทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย  โดยไม่มีเว้นเลยสักวันเดียว  ก็ยังไม่ได้บุญใหญ่เท่านั้น  จริงหรือไม่ ?
  3. ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ   และที่วัดสระเกศ   เคยทำอย่างนี้บ้างหรือไม่ ?

อาตมาขอเจริญพรว่า เครื่องไทยทานนั้นไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริงแต่ประการใด  แม้จะมีผู้ติดตามดูและเห็นตามได้ก็ตาม    ทั้งนี้เพราะ

ธรรมชาติทุกอย่างในอายตนะนิพพานนั้น  เป็นแต่ธาตุล้วนธรรมล้วน ซึ่งไม่ประกอบด้วยปัจจัย (เช่น ธาตุน้ำ ดิน ไฟ ลม) ปรุงแต่ง   ที่พระท่านเรียกว่า อสังขตธาตุ อสังขตธรรม หรือเรียกว่า “สังขาร” ในภพ 3 นี้แต่ประการใดเลย    เพราะฉะนั้น ธรรมชาติใดๆ ที่ เป็นสังขารกล่าวคือที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานอย่างแน่นอน

ธรรมชาติในอายตนะนิพพานที่ว่าเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม  อันไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง แม้ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่มีในอายตนะนิพพานนั้น   มีหลักฐานในพระไตรปิฎก ในนิพพานสูตรที่ 3 ว่า  “ภิกษุทั้งหลาย   อายตนะ (นิพพาน) นั้น มีอยู่,  ที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีแล,  อากาสานัญจายตนะก็ไม่ใช่  วิญญานัญจายตนะก็ไม่ใช่  อากิญจัญญายตนะก็ไม่ใช่  เนวสัญญานาสัญญายตนะก็ไม่ใช่ ...”  และ  “ภิกษุทั้งหลาย   ธรรมชาติที่ไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้แล้ว   มีอยู่..”

แต่เครื่องไทยทาน (อันได้แก่ดอกไม้ ธูป เทียน อาหารหวานคาว) ซึ่งถ้าผู้ทรงวิชชานั้น ยังเป็นแค่โคตรภูบุคคล มิใช่พระอริยบุคคลวิชชานั้น ก็เป็นแต่เพียงโลกิยวิชชา แม้จะกลั่น (เครื่องไทยทานนั้น) ให้เห็นใสละเอียดยิ่งกว่าของหยาบที่มีผู้นำมาถวายก็เป็นได้เพียงแค่ของทิพย์ ซึ่งยังจัดเป็น “สังขาร” อันเป็นส่วนประกอบของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่

เพราะฉะนั้นเครื่องไทยทานนั้น แม้จะกลั่นให้ดูเป็นของทิพย์ ดูเห็นใสละเอียด ก็ตาม ย่อมจะเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงได้เลย

แม้กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมของผู้กลั่น  และผู้นำเครื่องไทยทานไปถวายพระพุทธเจ้านั้น ก็ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงไม่ได้   เพราะยังเป็นสังขารที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งอยู่อีกเช่นกัน

แต่มูลเหตุที่ทั้งผู้ทำวิชชาเช่นนั้น  และผู้ติดตามดู  สามารถเห็นสมจริงได้ว่า เห็นท่านผู้นั้นๆ นำเครื่องไทยทานที่กลั่นใสละเอียดแล้วไปถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานได้    ก็เพราะเหตุผล 2 ประการคือ

  1. จิตของผู้ทรงโลกิยวิชชา “ปรุงแต่ง” ขึ้น  เป็นมโนมยิทธิ คือ อิทธิฤทธิ์ทางใจ  ที่นึกจะ “ให้เห็น” อะไร หรือ “ให้มี” อะไร ที่ไหน ก็จะ “เห็น” หรือ “มี” สิ่งนั้น ด้วยใจที่กำลังทรงโลกิยวิชชานั้นอยู่ได้
    ท่านที่ปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว  ลองคิดให้เห็น “ด้วยใจ” เป็นอะไร  ณ ที่ใด  ก็จะสามารถเห็นได้    นี้เป็นข้อพิสูจน์เบื้องต้น   โลกิยวิชชานี้แหละที่ยังจัดเป็น“อภิสังขารมาร” กล่าวคือเป็นคุณธรรมที่ให้มีความสามารถเหนือผู้อื่นในหมู่ชาวโลกด้วยกัน   แต่ยังต้องตกอยู่ในอาณัติแห่งไตรลักษณ์ คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาอยู่   มีคุณค่าเหมือนโลกิยทรัพย์ที่มีคุณอนันต์หากรู้จักธรรมชาติของมันและรู้จักใช้ให้เกิดแต่ประโยชน์อันปราศจากโทษ   แต่มีโทษมหันต์ถ้าไปหลงติดด้วยตัณหาและทิฏฐิคือความหลงผิดเข้า
    โดยเหตุนี้  ผู้มีปัญญาเขาจึงอาศัยอภิสังขารมารนั้นแหละเป็นฐานของการบำเพ็ญบารมีเจริญภาวนา ทำนิโรธดับสมุทัยไปให้ใสละเอียดเป็นประจำ   เพื่อแยกพระแยกมาร   กล่าวคือ  ใช้ประโยชน์ของโลกิยวิชชานี้แหละเป็นพื้นฐานในการทำวิชชาไปสู่โลกุตตรวิชชาเพื่อความเข้าถึงและเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมที่บริสุทธิ์ที่สุด

    หลวงพ่อ พระภาวนาโกศลเถร ท่านจึงได้กล่าวกับศิษยานุศิษย์ของท่านเสมอๆ ว่า “เพียงแต่ปฏิบัติได้ธรรมกายในระดับโคตรภูบุคคลนั้น  ยังไม่อาจวางใจได้ว่าจะเอาตัวรอดได้” 

  2. อายตนะภายใน (กล่าวคือเครื่องรู้เห็นและสัมผัส) ของกายในกาย ณ ภายใน จากสุดหยาบของกายมนุษย์ ไปจนสุดละเอียดของกายธรรม ของท่านผู้กลั่นเครื่องไทยทานไปถวายพระพุทธเจ้าและของผู้ติดตามดูนั้น มีศูนย์กลางตรงกันหมดทุกกาย    แม้กายในกาย ณ ภายในในระดับโลกิยะ (กายมนุษย์ มนุษย์ ละเอียด, ทิพย์ ทิพย์ละเอียด, รูปพรหม รูปพรหม ละเอียด และอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด) จะเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงได้    แต่ก็อาศัยที่ว่าอายตนะภายในของกายเหล่านี้ไปตรงกับของ “ธรรมกาย” ที่สุดละเอียด ซึ่งสามารถเข้าไปถึงอายตนะนิพพาน และไปรู้เห็นและสัมผัสอายตนะนิพพานได้ โดยการให้ใจของธรรมกายเจริญภาวนาดับหยาบไปหาละเอียดจนสุดละเอียดเสมอกับอายตนะนิพพาน และอวิชชาทำอะไรไม่ได้ชั่วคราว  เรียกว่า “ตทังคนิโรธ” หรือ “วิกขัมภนนิโรธ”   กล่าวคือ หลุดพ้นด้วยการข่มกิเลส (ชั่วคราว)   ภาพที่เห็นด้วยอายตนะภายในของธรรมกายที่สุดละเอียด ซึ่งเข้าถึงและเห็นความเป็นไปในอายตนะนิพพานนั้น จึงเป็นภาพเชิงซ้อนกับเครื่องไทยทานและอาหารที่นำไปถวายที่เป็นทิพย์   จึงให้เห็นสมจริงว่า กลั่นเครื่องไทยทานนำไปถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานได้  
    อาตมายืนยันโดยหลักฐานในทางปริยัติและหลักปฏิบัติว่า   สิ่งที่เป็นสังขารไม่อาจจะเข้าถึงหรือไปสัมผัสถึงอายตนะนิพพานซึ่งเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนที่สุดละเอียดนั้นได้เลย เพียงแต่ว่าความรู้เห็นและสัมผัสของธรรมกายที่สุดละเอียดนั้น มีศูนย์กลางตรงกันกับของกายในภพ 3   อันให้สามารถเชื่อมต่อหรือสื่อถึงกันได้โดยอัตโนมัติเท่านั้น
    ผู้ปฏิบัติภาวนาที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน  จึงต้องพึงสังวรระวังไว้ให้เข้าใจทั้งหลักปริยัติและหลักปฏิบัติให้ถ่องแท้แน่นอน   มิฉะนั้นจะถูกอภิสังขารมารหลอกเอาให้เข้าใจไขว้เขวผิดไปได้   จงระลึกไว้เสมอว่าวิชชาในระดับโลกิยะของผู้ที่ไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ยังจัดเป็นอภิสังขารมาร ซึ่งเป็นความปรุงแต่งให้มีดีเหนือผู้อื่นในระดับโลก   แต่ยังมีสภาวะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ผู้ใดหลงยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิแล้วเป็นทุกข์

อานิสงส์ของผู้ไปร่วมถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้าเช่นนั้น   มีคล้ายๆ กับการถวายข้าวพระพุทธหรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา  ในฐานะของผู้ที่ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป    แต่มิใช่ว่าจะได้บุญใหญ่มหาศาลยิ่งกว่าการที่เราทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย  โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียวแต่ประการใด   เพราะ

  1. จากประเด็นแรก   เครื่องไทยทานที่กลั่นเป็นของทิพย์ (โดยผู้ทรงโลกิยวิชชา)  ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรมนั้น  ไม่ถึงพระนิพพาน คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพ ซึ่งเข้าอนุปาทิเสสนิพพานและไปปรากฏอยู่ในอายตนะนิพพานแล้วนั้น อย่างแน่นอน
  2. การทำบุญ (ทานกุศล) กับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ ฯลฯ กายเนื้อ เป็นมหากุศลหรือบุญกุศลตามส่วน   ก็เพราะท่านได้บริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์จากเครื่องไทยทานนั้นเพื่อยังชีวิต (กายเนื้อ) ของท่านให้เป็นไป หรือดำเนินไปได้
    ส่วนพระนิพพานนั้นมิได้ปรารถนาที่จะบริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์ จากเครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้น เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของพระองค์ท่านแต่ประการใดเลย เครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้นจึงมีค่าไม่แตกต่างอะไรจากเครื่องไทยทานธรรมดา ซึ่งมีผู้นำไปบูชาพระพุทธรูปโดยทั่วไป  แล้วจะไปเอาหรือได้บุญมหาศาลจากไหน ?    และหากหลงผิดคิดว่า ได้บุญมหาศาลเช่นนั้น   ก็ยังกลับจะได้ “โมหะ” บาปอกุศลติดตนเป็นของแถมเสียอีก
    จึงขอเจริญพรเพื่อทราบว่า สิ่งที่หล่อเลี้ยงธรรมกายจากสุดหยาบไปจนถึงพระนิพพานที่สุดละเอียดในอายตนะนิพพานถอดกายและอายตนะนิพพานเป็นนั้น  มิใช่เครื่องไทยทานอันเป็นอามิสทานของหยาบ  ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรม (สังขตธาตุ สังขตธรรม) แต่ประการใด    หากแต่เป็น “บุญ”  ซึ่งได้กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว เป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ (ในการปกครองธาตุธรรม) สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ฯลฯ ซึ่งเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือธาตุล้วนธรรมล้วนไปจนถึงธาตุธรรมที่สุดละเอียดของอายตนะนิพพานเป็น นั้นแล
    ผู้ทำนิโรธดับสมุทัยและเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงอยู่เสมอ   เขาทราบเรื่องนี้ดีว่า  การทำนิโรธให้แจ้ง และการทำมรรคให้เจริญเท่านั้นจึงเป็นธรรมปฏิบัติที่จะสามารถกำจัดอวิชชา อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของสังขาร-วิญญาณ-นามรูป-ตัณหา-อุปทาน-และภพ-ชาติ-ชรา-มรณะ-ทุกข์ ให้ถึงพระนิพพาน (อสังขตธาตุ อสังขตธรรม) ที่แท้จริงได้
  3. มีปรากฏหลักฐานเอกสารในที่มากแห่งในพระไตรปิฎกว่า บุคคลผู้ทำบุญด้วยใจศรัทธากับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่ท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ นั้น ได้รับผลบุญในปัจจุบันทันตาเห็นมากมาย...  นี่ว่าแต่เฉพาะที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว กับพระอรหันต์จำนวนหนึ่งเท่านั้น... แล้วถ้าทำบุญกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งประทับเข้านิโรธสมาบัติมาโดยตลอดเช่นนั้นได้ถึงจริงละก็   ป่านนี้ผู้ที่ไปร่วมพิธีถวายเครื่องไทยทานทั้งหลายจะมิได้รับผลบุญในปัจจุบัน และกลายเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีทันตาเห็นกันไปหมดหรือแทบจะหมดทุกคน   ยิ่งกว่าตัวอย่างของบุคคลผู้ทำบุญ (ทานมัย) กับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าในสมัยพุทธกาล ละหรือ ?
    ท่านลองถามตัวเองดูซิว่า   ตั้งแต่มีการทำบุญเช่นนั้นเป็นต้นมา   มีใครร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีขึ้นมาทันตาเห็นบ้าง ? (แม้ผู้ทำบุญไม่ปรารถนาผลบุญเช่นนั้นตอบแทน   บุญก็ทำหน้าที่ของเขา เป็นทั้งโลกิยสมบัติและโลกุตตรสมบัติเองอยู่ดีแหละ)

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ   ซึ่งเป็นสถานที่ต้นธาตุต้นธรรมของวิชชาธรรมกาย    เขาจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น   ที่วัดสระเกศ ซึ่งผู้ให้การอบรมพระกัมมัฏฐานผู้เป็นศิษย์ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายมา  ก็มิได้ทำเช่นนั้น เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งเป็นต้นวิชชาธรรมกายก็มิได้เคยสั่งสอน หรือแนะนำให้ศิษยานุศิษย์คนใดให้ทำเช่นนั้น   และท่านก็ไม่เคยรับรองหรืออนุมัติวิชชาถวายเครื่องไทยทาน โดยการถือว่ากลั่นเป็นของทิพย์นำขึ้นถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน  แล้วมีผลเป็นกุศล มหาศาลยิ่งใหญ่กว่าการทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียว แต่ประการใดเลย

แต่ถ้าใครอยากทำ  ก็ไม่มีใครเขาห้าม  และก็เป็นความดีส่วนหนึ่ง    เพียงแต่ความจริงมีอยู่ว่า

  1. ไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริง
  2. ไม่ใช่จะได้บุญใหญ่มหาศาลเช่นนั้น และ
  3. ถ้าทำไปเพราะหลงเข้าใจผิดจะได้ “โมหะ” เป็นบาปอกุศลแถมติดตัวติดใจไปด้วยตามส่วน
  4. ใจ “หยุด” ใจ “นิ่ง” ที่ตรงศูนย์กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกาย ทุกกาย สุดหยาบสุดละเอียด ซึ่งตรงกับศูนย์กลางของพระนิพพาน และอายตนะนิพพานนั้นแหละที่ เป็น บุญใหญ่ กุศลใหญ่ จริงๆ
  5. การทำมรรคให้เจริญ  และทำนิโรธให้แจ้งอยู่เสมอ (เท่าที่จะทำได้) นั้นแหละ ที่ดับ “สมุทัย”  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวิชชา ซึ่งเป็นเหตุแห่งสังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-ชรา-มรณะ-ทุกข์ได้จริง และจะสามารถเข้าถึงธาตุล้วน ธรรมล้วน (อสังขตธาตุ อสังขตธรรม)  ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดได้  และ ให้สามารถรู้ว่าอะไรคือของปลอม ของจริง ตามที่เป็นจริงได้แล

(ผู้ถาม: สมาชิกชมรมผู้ปฏิบัติธรรม "ลานโพธิ์" วัดบึงบวรสถิตย์ ชลบุรี ในการอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระสงฆ์ รุ่นที่ 10 พฤษภาคม 2529 ณ สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี)

2)   ถ้ามีพระภิกษุผู้สอนธรรม ได้แสดงแก่ผู้มาปฏิบัติธรรม ให้เป็นที่เข้าใจในหมู่ศิษยานุศิษย์ว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุด จะให้ธรรมหรือจะให้ธรรมกายแก่ผู้ใด หรือไม่ให้ก็ได้ แล้วแต่ท่าน จะเป็นไปได้หรือไม่เพียงใดครับ ? และถ้าไม่จริงอย่างนั้น พระภิกษุผู้ที่พูดหรือแสดงให้เป็นที่เข้าใจในหมู่ผู้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมเช่นนั้น จะถือว่าท่านมุสาหรือเปล่าครับ ?

ตอบ:

 
 

ปัญหานี้อาตมาจะขอแยกตอบเพียง 2 ประเด็นใหญ่ๆ   ก็คงจะพอเข้าใจได้ตลอด  คือ

  1. ถ้ามีพระภิกษุแสดงว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุด  จะให้ธรรมหรือจะให้ธรรมกาย หรือจะไม่ให้แก่ใครก็ได้แล้วแต่ท่าน

    ข้อนี้ตอบได้เลยว่า ไม่จริง  เป็นไปไม่ได้   แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ  เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐสูงสุด  เป็นที่ประจักษ์แก่พระสงฆ์สาวกผู้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์ท่าน ก็ยังไม่เคยแสดงพระองค์ว่าเป็นผู้ให้ธรรมหรือธรรมกายแก่ใคร    มีแต่ทรงแสดงว่า พระพุทธองค์เป็นแต่ผู้บอกหรือชี้ทางให้   ธรรมเป็นเรื่องที่แต่ละบุคคลจะพึงบรรลุและรู้เองเห็นเอง

    มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ชัดเจนว่า “... พราหมณ์  เราจะทำอย่างไรได้   ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกหนทางให้...” (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ คณกโมคคัลลานสูตร ว่าด้วยการศึกษาและการปฏิบัติเป็นขั้นตอน ข้อ 101-103)

    และโปรดดูในบทสรรเสริญพระธรรมคุณที่พุทธศาสนิกชนสวดกันเป็นประจำที่ว่า "สนฺทิฏฺฐิโก" อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง และ "ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ" อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)   ก็ไม่เคยปรากฏว่าท่านเคยแสดงไว้เช่นนั้น มีแต่ท่านแสดง (จากข้อความที่ถอดเทปไว้) ว่า  ท่านศึกษาและปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่บวชมิได้หยุดเลย   บัดนี้ (ขณะที่สอนและบันทึกเทปนี้) ทั้งเรียนและทั้งสอนด้วย   ไม่เห็นว่าท่านได้เคยแสดงว่าท่านบรรลุธรรมสูงสุดแต่ประการใด

    แล้วยิ่งถ้าเป็นพระภิกษุที่มาบวชในพระพุทธศาสนานี้ เพิ่งจะได้มาเรียนรู้ธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้าแต่เพียงครึ่งๆ กลางๆ บางส่วน  จากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้สั่งสอนถ่ายทอดไว้ดีแล้วทุกแง่ทุกมุม   จะไปวิเศษวิโสกว่าพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่กว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  ซึ่งท่านได้ถ่ายทอดวิชชานี้เอาไว้ก่อนแล้วได้อย่างไร

    ถ้าถึงขั้นจะให้ธรรมหรือให้ธรรมกาย หรือจะไม่ให้แก่ใครๆ ก็ได้   เช่นนั้นก็นับว่า พระภิกษุรูปนั้นทรงคุณวิเศษสูงกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก

    ถ้าเช่นนั้นลองขอให้ท่านเหาะเหินเดินอากาศให้ดูหน่อยปะไร   เอาแค่คุณธรรมเพียงเศษธุลีพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ หรือลองสังเกตภิกษุรูปนั้นดูว่า  กิเลสประเภทโลภ โกรธ หลง เพียงขั้นหยาบๆ นี้แหละ ว่ายังมีอยู่ หรือว่าหมดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานแล้ว    ถ้าเห็นว่ายังมีโลภ โกรธ หลงอยู่  ก็อย่าได้ไปหลงเชื่อ   ถ้ามีพระภิกษุประเภทนี้นะ โกหกทั้งเพ

  2. ถ้าเป็นพระภิกษุได้แสดงออกให้ใครก็ตามที่เป็นผู้ใหญ่รู้เดียงสาแล้ว ให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ และเข้าใจความ ตามที่พระภิกษุนั้นกล่าวแสดงเช่นนั้นออกไปแม้เพียงครั้งเดียว   ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกหรือการปฏิญญาโดยตรง  หรือว่าจะเป็นการใช้เล่ห์ กโลบาย และการแนะนำธรรมในเชิงชี้นำให้ศิษยานุศิษย์เห็นเป็นเช่นนั้น ด้วยเจตนาจะอวดอุตตริมนุษยธรรมอันไม่มีจริงในตน ตามพระวินัยพุทธบัญญัติ  ภิกษุรูปนั้นย่อมต้องอาบัติปาราชิก ในฐานอวดอุตตริมนุษยธรรมอันไม่มีจริงในตนไปทันที ณ บัดนั้น.

(ผู้ถาม: คุณโอภาส เครือวัลย์ 2530)

3)   (ข้อนี้เพิ่มเติมนะคับ)   มีครูอาจารย์บางสำนักปฏิบัติธรรม ได้ห้ามศิษยานุศิษย์ของตน มิให้อ่านหนังสือธรรมอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากเฉพาะที่มีในสำนักของตน อย่างนี้จะเป็นผลดีหรือผลเสียแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ?

ตอบ:

เป็นผลดีแก่ครูอาจารย์ในสำนักนั้นเอง ที่จะสามารถป้องกันมิให้ศิษยานุศิษย์ของตน มิให้ไปศึกษารู้เห็นธรรมที่กว้างขวางละเอียดลึกซึ้งกว่าภูมิธรรมภูมิปัญญาของตัวที่จะให้การแนะนำสั่งสอนได้     ให้หลงศรัทธาเลื่อมใสอยู่แต่ในตน

 

หรือแต่เฉพาะในสำนักของตน ว่าเป็นแหล่งภูมิธรรมภูมิปัญญาสูงที่สุดแล้ว     แล้วก็สามารถจะใช้เล่ห์เพทุบายเกลี้ยกล่อมให้หลงอยู่ในอำนาจปกครอง  และยอมตนเป็นเครื่องมือให้ใช้สอยทำประโยชน์ให้แก่ตนหรือให้แก่สำนักของตน อย่างสิโรราบได้โดยง่าย

เป็นผลเสียหายแก่ผู้มีจิตศรัทธาแต่ขาดสติปัญญาสอดส่อง  ให้หลงติดอยู่ในเล่ห์เพทุบายอันแยบยลนั้น   จึงมิได้มีโอกาสที่ศึกษาเรียนรู้ธรรมจากเอกสารหลักฐานที่เชื่อถือได้ หรือจากครูอาจารย์หรือผู้รู้อื่นทุกระดับภูมิธรรม ให้สามารถพัฒนาภูมิธรรมและภูมิปัญญาของตนเองให้สูงขึ้นจากที่เคยได้รับแต่เพียงจากสำนักปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการจำกัดสติปัญญาในธรรมของตนให้แคบเหมือนกบเกิดอยู่แต่ในกะลาครอบ ไม่มีโอกาสได้เห็นโลกกว้างอย่างน่าเสียดายโอกาสทองที่สุด

เป็นผลเสียแก่ผู้ปฏิบัติเช่นนั้นเองด้วยเป็นอย่างมาก   รวมทั้งผู้ให้ความร่วมมือสนับสนุนการกระทำเช่นนั้นด้วย ให้กลายเป็นคนมืดบอดในธรรม   ค่าที่ปิดทางบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดหูปิดตาผู้อื่น มิให้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ในธรรมที่สูงยิ่งไปกว่าที่ภูมิธรรมและภูมิปัญญาของตนหรือของสำนักตน จะพึงมีถ่ายทอดให้ได้   

การให้ธรรมเป็นทานเป็นมหานิสงส์สูงอเนกอนันต์เพียงใด    ในทางตรงข้าม การปิดหู ปิดตา  ปิดปัญญาผู้อื่น ด้วยกลอุบายอันแยบยล   เพื่อเห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว มิให้มีโอกาสเรียนรู้ในธรรมที่ควรรู้   ก็เป็นบาปอกุศลอย่างมหันต์เพียงนั้น   อกุศลกรรมด้วยเจตนาทุจริตเพราะมีกิเลสคือความโลภและความเห็นแก่ตัวจัดอย่างนี้ ย่อมให้ผลเป็นวิบากที่หนุนเนื่องทับทวีแก่ผู้กระทำและผู้ให้ความร่วมมือสนับสนุนทั้งหลาย   ตามส่วนและจำนวนแห่งผู้ที่หลงเชื่อและประพฤติตามอย่างอเนกอนันต์ที่สุด  น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

เปรียบเสมือนจ่าโคนำฝูงโคสู่ทะเลบาป  อันกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก คือทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ และภโวฆะ พัดพาฝูงโคให้เข้าสู่กระแสน้ำวนคือวัฏฏสงสารที่ไหลลึกลงไปลึกลงไปเรื่อยๆ  และจมหายลงไปในทะเลบาปนั้นในที่สุด

ข้อนี้คล้ายๆกับที่พระเด็จพระคุณหลวงพ่อธัมมะ ไม่ให้อ่านหนังสือปราบมารของอาจารย์การุญ บุญมานุชเลย

จริงหรือไม่อย่างไรครับ ?



#7 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 27 June 2014 - 12:38 PM

เรื่องของบทความของบอร์ดอื่น  เราจะไม่วิพากย์ วิจารณ์ใดๆ ครับ  เป็นการเสียมารยาท  ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง  ยกเว้นเรื่องที่กล่าวถึงเราโดยตรง

 

แนะนำให้ท่านเจ้าของกระทู้กลับไปถามทางต้นเรื่องให้เข้าใจก่อนนะครับ   ว่าเป็นมายังไง  และถ้ามีการเอ่ยถึงวัดพระธรรมกายโดยตรง  ค่อยกลับมาถามเราอีกครั้งครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#8 น้องวันใหม่

น้องวันใหม่
  • Members
  • 59 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 27 June 2014 - 12:40 PM

เคยอ่านเจอเหมือนกัน

แต่ไม่เคยสงสัยในหลวงพ่อและวัดใหญ่



#9 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 27 June 2014 - 12:46 PM

อย่าเพิ่งคิดนำครับ  อาจจะเป็นคำเทศนาที่ทรงคุณค่าแต่กล่าวถึงแบบกลางๆ ทั่วไป  ไม่ได้เจาะจงที่ใครก็ได้ครับ  

 

ถ้าเราคิดนำไปก่อนว่าต้องพูดถึงคนนั้น  พูดถึงวัดนี้  จะเป็นวิบากกรรมเสียเปล่าๆ

 

เราฟังธรรม  ไม่ว่าจากพระอาจารย์ท่านใดก็ตาม  มีคุณกับเราทั้งนั้น  เราสามารถใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้เห็นความจริงจากธรรมนั้นได้  

 

ผมไม่ได้แนะนำให้เชื่อโดยสนิทใจ    แต่แนะนำให้ฟัง(อ่าน)  แล้วนำมาพิจารณาหาความจริง  นั่นถึงจะเป็นประโยชน์ของการฟังธรรมครับ

 

ธรรมมีไว้ให้พิจารณา ไตร่ตรองแล้วปฏิบัตืตามครับ  ไม่ได้มีไว้ให้เชื่อ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#10 vividu

vividu
  • Members
  • 716 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Seattle, WA
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 28 June 2014 - 04:36 AM

เคยอ่านเจอเหมือนกัน

แต่ไม่เคยสงสัยในหลวงพ่อและวัดใหญ่

I also experienced those matter but I still be persistent to Lunag Pu, Lunag Pos, Khun Yais and the temple ka


พอดีอ่านเจอในเว็บบอร์ดวัดหลวงพ่อสดฯ ตอบโดยพระเทพญาณมงคล(หลวงป๋าเสริมชัย) นะครับ

เลยสงสัยว่าเกี่ยวกับหลวงพ่อธัมมะและวัดใหญ่หรือเปล่า ?

คำถามและคำตอบที่ผมอ่าน มีดังนี้ครับ ...

 

1)   การไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง เขาจะกลั่นเครื่องไทยทาน ดอกไม้ ธูป เทียน อาหาร หวานคาว ของสาธุชนทุกท่านขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้าบนนิพพาน แล้วสาธุชนก็จะได้บุญใหญ่มหาศาล กล่าวคือ เราทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียว ก็ยังไม่ได้บุญใหญ่เท่านั้นเลย จริงหรือไม่ครับ ? และวัดปากน้ำกับวัดสระเกศเคยทำไหมครับ ? กรุณาชี้แจงให้สว่างด้วยครับ ?

ตอบ:

 
 

เรื่องนี้อาตมาขอแยกตอบเป็น 3 ประเด็น ดังต่อไปนี้คือ

  1. ประเด็นที่ว่า  กลั่นเครื่องไทยทานแล้ว นำไปถวายพระพุทธเจ้าในนิพพานนั้น   จะถึงหรือไม่ ?
  2. แล้วสาธุชนผู้มาร่วมในการถวายเครื่องไทยทานนั้น จะได้บุญมหาศาล   กล่าวคือ แม้จะเคยได้ทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย  โดยไม่มีเว้นเลยสักวันเดียว  ก็ยังไม่ได้บุญใหญ่เท่านั้น  จริงหรือไม่ ?
  3. ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ   และที่วัดสระเกศ   เคยทำอย่างนี้บ้างหรือไม่ ?

อาตมาขอเจริญพรว่า เครื่องไทยทานนั้นไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริงแต่ประการใด  แม้จะมีผู้ติดตามดูและเห็นตามได้ก็ตาม    ทั้งนี้เพราะ

ธรรมชาติทุกอย่างในอายตนะนิพพานนั้น  เป็นแต่ธาตุล้วนธรรมล้วน ซึ่งไม่ประกอบด้วยปัจจัย (เช่น ธาตุน้ำ ดิน ไฟ ลม) ปรุงแต่ง   ที่พระท่านเรียกว่า อสังขตธาตุ อสังขตธรรม หรือเรียกว่า “สังขาร” ในภพ 3 นี้แต่ประการใดเลย    เพราะฉะนั้น ธรรมชาติใดๆ ที่ เป็นสังขารกล่าวคือที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานอย่างแน่นอน

ธรรมชาติในอายตนะนิพพานที่ว่าเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม  อันไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง แม้ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่มีในอายตนะนิพพานนั้น   มีหลักฐานในพระไตรปิฎก ในนิพพานสูตรที่ 3 ว่า  “ภิกษุทั้งหลาย   อายตนะ (นิพพาน) นั้น มีอยู่,  ที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีแล,  อากาสานัญจายตนะก็ไม่ใช่  วิญญานัญจายตนะก็ไม่ใช่  อากิญจัญญายตนะก็ไม่ใช่  เนวสัญญานาสัญญายตนะก็ไม่ใช่ ...”  และ  “ภิกษุทั้งหลาย   ธรรมชาติที่ไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้แล้ว   มีอยู่..”

แต่เครื่องไทยทาน (อันได้แก่ดอกไม้ ธูป เทียน อาหารหวานคาว) ซึ่งถ้าผู้ทรงวิชชานั้น ยังเป็นแค่โคตรภูบุคคล มิใช่พระอริยบุคคลวิชชานั้น ก็เป็นแต่เพียงโลกิยวิชชา แม้จะกลั่น (เครื่องไทยทานนั้น) ให้เห็นใสละเอียดยิ่งกว่าของหยาบที่มีผู้นำมาถวายก็เป็นได้เพียงแค่ของทิพย์ ซึ่งยังจัดเป็น “สังขาร” อันเป็นส่วนประกอบของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่

เพราะฉะนั้นเครื่องไทยทานนั้น แม้จะกลั่นให้ดูเป็นของทิพย์ ดูเห็นใสละเอียด ก็ตาม ย่อมจะเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงได้เลย

แม้กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมของผู้กลั่น  และผู้นำเครื่องไทยทานไปถวายพระพุทธเจ้านั้น ก็ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงไม่ได้   เพราะยังเป็นสังขารที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งอยู่อีกเช่นกัน

แต่มูลเหตุที่ทั้งผู้ทำวิชชาเช่นนั้น  และผู้ติดตามดู  สามารถเห็นสมจริงได้ว่า เห็นท่านผู้นั้นๆ นำเครื่องไทยทานที่กลั่นใสละเอียดแล้วไปถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานได้    ก็เพราะเหตุผล 2 ประการคือ

  1. จิตของผู้ทรงโลกิยวิชชา “ปรุงแต่ง” ขึ้น  เป็นมโนมยิทธิ คือ อิทธิฤทธิ์ทางใจ  ที่นึกจะ “ให้เห็น” อะไร หรือ “ให้มี” อะไร ที่ไหน ก็จะ “เห็น” หรือ “มี” สิ่งนั้น ด้วยใจที่กำลังทรงโลกิยวิชชานั้นอยู่ได้
    ท่านที่ปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว  ลองคิดให้เห็น “ด้วยใจ” เป็นอะไร  ณ ที่ใด  ก็จะสามารถเห็นได้    นี้เป็นข้อพิสูจน์เบื้องต้น   โลกิยวิชชานี้แหละที่ยังจัดเป็น“อภิสังขารมาร” กล่าวคือเป็นคุณธรรมที่ให้มีความสามารถเหนือผู้อื่นในหมู่ชาวโลกด้วยกัน   แต่ยังต้องตกอยู่ในอาณัติแห่งไตรลักษณ์ คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาอยู่   มีคุณค่าเหมือนโลกิยทรัพย์ที่มีคุณอนันต์หากรู้จักธรรมชาติของมันและรู้จักใช้ให้เกิดแต่ประโยชน์อันปราศจากโทษ   แต่มีโทษมหันต์ถ้าไปหลงติดด้วยตัณหาและทิฏฐิคือความหลงผิดเข้า
    โดยเหตุนี้  ผู้มีปัญญาเขาจึงอาศัยอภิสังขารมารนั้นแหละเป็นฐานของการบำเพ็ญบารมีเจริญภาวนา ทำนิโรธดับสมุทัยไปให้ใสละเอียดเป็นประจำ   เพื่อแยกพระแยกมาร   กล่าวคือ  ใช้ประโยชน์ของโลกิยวิชชานี้แหละเป็นพื้นฐานในการทำวิชชาไปสู่โลกุตตรวิชชาเพื่อความเข้าถึงและเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมที่บริสุทธิ์ที่สุด

    หลวงพ่อ พระภาวนาโกศลเถร ท่านจึงได้กล่าวกับศิษยานุศิษย์ของท่านเสมอๆ ว่า “เพียงแต่ปฏิบัติได้ธรรมกายในระดับโคตรภูบุคคลนั้น  ยังไม่อาจวางใจได้ว่าจะเอาตัวรอดได้” 

  2. อายตนะภายใน (กล่าวคือเครื่องรู้เห็นและสัมผัส) ของกายในกาย ณ ภายใน จากสุดหยาบของกายมนุษย์ ไปจนสุดละเอียดของกายธรรม ของท่านผู้กลั่นเครื่องไทยทานไปถวายพระพุทธเจ้าและของผู้ติดตามดูนั้น มีศูนย์กลางตรงกันหมดทุกกาย    แม้กายในกาย ณ ภายในในระดับโลกิยะ (กายมนุษย์ มนุษย์ ละเอียด, ทิพย์ ทิพย์ละเอียด, รูปพรหม รูปพรหม ละเอียด และอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด) จะเข้าไม่ถึงอายตนะนิพพานที่แท้จริงได้    แต่ก็อาศัยที่ว่าอายตนะภายในของกายเหล่านี้ไปตรงกับของ “ธรรมกาย” ที่สุดละเอียด ซึ่งสามารถเข้าไปถึงอายตนะนิพพาน และไปรู้เห็นและสัมผัสอายตนะนิพพานได้ โดยการให้ใจของธรรมกายเจริญภาวนาดับหยาบไปหาละเอียดจนสุดละเอียดเสมอกับอายตนะนิพพาน และอวิชชาทำอะไรไม่ได้ชั่วคราว  เรียกว่า “ตทังคนิโรธ” หรือ “วิกขัมภนนิโรธ”   กล่าวคือ หลุดพ้นด้วยการข่มกิเลส (ชั่วคราว)   ภาพที่เห็นด้วยอายตนะภายในของธรรมกายที่สุดละเอียด ซึ่งเข้าถึงและเห็นความเป็นไปในอายตนะนิพพานนั้น จึงเป็นภาพเชิงซ้อนกับเครื่องไทยทานและอาหารที่นำไปถวายที่เป็นทิพย์   จึงให้เห็นสมจริงว่า กลั่นเครื่องไทยทานนำไปถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานได้  
    อาตมายืนยันโดยหลักฐานในทางปริยัติและหลักปฏิบัติว่า   สิ่งที่เป็นสังขารไม่อาจจะเข้าถึงหรือไปสัมผัสถึงอายตนะนิพพานซึ่งเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนที่สุดละเอียดนั้นได้เลย เพียงแต่ว่าความรู้เห็นและสัมผัสของธรรมกายที่สุดละเอียดนั้น มีศูนย์กลางตรงกันกับของกายในภพ 3   อันให้สามารถเชื่อมต่อหรือสื่อถึงกันได้โดยอัตโนมัติเท่านั้น
    ผู้ปฏิบัติภาวนาที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน  จึงต้องพึงสังวรระวังไว้ให้เข้าใจทั้งหลักปริยัติและหลักปฏิบัติให้ถ่องแท้แน่นอน   มิฉะนั้นจะถูกอภิสังขารมารหลอกเอาให้เข้าใจไขว้เขวผิดไปได้   จงระลึกไว้เสมอว่าวิชชาในระดับโลกิยะของผู้ที่ไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ยังจัดเป็นอภิสังขารมาร ซึ่งเป็นความปรุงแต่งให้มีดีเหนือผู้อื่นในระดับโลก   แต่ยังมีสภาวะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ผู้ใดหลงยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิแล้วเป็นทุกข์

อานิสงส์ของผู้ไปร่วมถวายเครื่องไทยทานแด่พระพุทธเจ้าเช่นนั้น   มีคล้ายๆ กับการถวายข้าวพระพุทธหรือบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ธูปเทียนธรรมดา  ในฐานะของผู้ที่ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป    แต่มิใช่ว่าจะได้บุญใหญ่มหาศาลยิ่งกว่าการที่เราทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย  โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียวแต่ประการใด   เพราะ

  1. จากประเด็นแรก   เครื่องไทยทานที่กลั่นเป็นของทิพย์ (โดยผู้ทรงโลกิยวิชชา)  ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรมนั้น  ไม่ถึงพระนิพพาน คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้ว ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพ ซึ่งเข้าอนุปาทิเสสนิพพานและไปปรากฏอยู่ในอายตนะนิพพานแล้วนั้น อย่างแน่นอน
  2. การทำบุญ (ทานกุศล) กับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ ฯลฯ กายเนื้อ เป็นมหากุศลหรือบุญกุศลตามส่วน   ก็เพราะท่านได้บริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์จากเครื่องไทยทานนั้นเพื่อยังชีวิต (กายเนื้อ) ของท่านให้เป็นไป หรือดำเนินไปได้
    ส่วนพระนิพพานนั้นมิได้ปรารถนาที่จะบริโภคขบฉันใช้สอยหรือทำประโยชน์ จากเครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้น เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของพระองค์ท่านแต่ประการใดเลย เครื่องไทยทานทิพย์เช่นนั้นจึงมีค่าไม่แตกต่างอะไรจากเครื่องไทยทานธรรมดา ซึ่งมีผู้นำไปบูชาพระพุทธรูปโดยทั่วไป  แล้วจะไปเอาหรือได้บุญมหาศาลจากไหน ?    และหากหลงผิดคิดว่า ได้บุญมหาศาลเช่นนั้น   ก็ยังกลับจะได้ “โมหะ” บาปอกุศลติดตนเป็นของแถมเสียอีก
    จึงขอเจริญพรเพื่อทราบว่า สิ่งที่หล่อเลี้ยงธรรมกายจากสุดหยาบไปจนถึงพระนิพพานที่สุดละเอียดในอายตนะนิพพานถอดกายและอายตนะนิพพานเป็นนั้น  มิใช่เครื่องไทยทานอันเป็นอามิสทานของหยาบ  ซึ่งจัดเป็นสังขารธรรม (สังขตธาตุ สังขตธรรม) แต่ประการใด    หากแต่เป็น “บุญ”  ซึ่งได้กลั่นตัวจนแก่กล้าแล้ว เป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ (ในการปกครองธาตุธรรม) สิทธิ สิทธิเฉียบขาด ฯลฯ ซึ่งเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือธาตุล้วนธรรมล้วนไปจนถึงธาตุธรรมที่สุดละเอียดของอายตนะนิพพานเป็น นั้นแล
    ผู้ทำนิโรธดับสมุทัยและเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงอยู่เสมอ   เขาทราบเรื่องนี้ดีว่า  การทำนิโรธให้แจ้ง และการทำมรรคให้เจริญเท่านั้นจึงเป็นธรรมปฏิบัติที่จะสามารถกำจัดอวิชชา อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของสังขาร-วิญญาณ-นามรูป-ตัณหา-อุปทาน-และภพ-ชาติ-ชรา-มรณะ-ทุกข์ ให้ถึงพระนิพพาน (อสังขตธาตุ อสังขตธรรม) ที่แท้จริงได้
  3. มีปรากฏหลักฐานเอกสารในที่มากแห่งในพระไตรปิฎกว่า บุคคลผู้ทำบุญด้วยใจศรัทธากับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่ท่านเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ นั้น ได้รับผลบุญในปัจจุบันทันตาเห็นมากมาย...  นี่ว่าแต่เฉพาะที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว กับพระอรหันต์จำนวนหนึ่งเท่านั้น... แล้วถ้าทำบุญกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งประทับเข้านิโรธสมาบัติมาโดยตลอดเช่นนั้นได้ถึงจริงละก็   ป่านนี้ผู้ที่ไปร่วมพิธีถวายเครื่องไทยทานทั้งหลายจะมิได้รับผลบุญในปัจจุบัน และกลายเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีทันตาเห็นกันไปหมดหรือแทบจะหมดทุกคน   ยิ่งกว่าตัวอย่างของบุคคลผู้ทำบุญ (ทานมัย) กับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ขีณาสพเจ้าในสมัยพุทธกาล ละหรือ ?
    ท่านลองถามตัวเองดูซิว่า   ตั้งแต่มีการทำบุญเช่นนั้นเป็นต้นมา   มีใครร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีขึ้นมาทันตาเห็นบ้าง ? (แม้ผู้ทำบุญไม่ปรารถนาผลบุญเช่นนั้นตอบแทน   บุญก็ทำหน้าที่ของเขา เป็นทั้งโลกิยสมบัติและโลกุตตรสมบัติเองอยู่ดีแหละ)

วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ   ซึ่งเป็นสถานที่ต้นธาตุต้นธรรมของวิชชาธรรมกาย    เขาจึงไม่ได้ทำเช่นนั้น   ที่วัดสระเกศ ซึ่งผู้ให้การอบรมพระกัมมัฏฐานผู้เป็นศิษย์ผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายมา  ก็มิได้ทำเช่นนั้น เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งเป็นต้นวิชชาธรรมกายก็มิได้เคยสั่งสอน หรือแนะนำให้ศิษยานุศิษย์คนใดให้ทำเช่นนั้น   และท่านก็ไม่เคยรับรองหรืออนุมัติวิชชาถวายเครื่องไทยทาน โดยการถือว่ากลั่นเป็นของทิพย์นำขึ้นถวายพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพาน  แล้วมีผลเป็นกุศล มหาศาลยิ่งใหญ่กว่าการทำบุญตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยไม่เคยเว้นแม้เพียงวันเดียว แต่ประการใดเลย

แต่ถ้าใครอยากทำ  ก็ไม่มีใครเขาห้าม  และก็เป็นความดีส่วนหนึ่ง    เพียงแต่ความจริงมีอยู่ว่า

  1. ไม่ถึงพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานที่แท้จริง
  2. ไม่ใช่จะได้บุญใหญ่มหาศาลเช่นนั้น และ
  3. ถ้าทำไปเพราะหลงเข้าใจผิดจะได้ “โมหะ” เป็นบาปอกุศลแถมติดตัวติดใจไปด้วยตามส่วน
  4. ใจ “หยุด” ใจ “นิ่ง” ที่ตรงศูนย์กลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกาย ทุกกาย สุดหยาบสุดละเอียด ซึ่งตรงกับศูนย์กลางของพระนิพพาน และอายตนะนิพพานนั้นแหละที่ เป็น บุญใหญ่ กุศลใหญ่ จริงๆ
  5. การทำมรรคให้เจริญ  และทำนิโรธให้แจ้งอยู่เสมอ (เท่าที่จะทำได้) นั้นแหละ ที่ดับ “สมุทัย”  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวิชชา ซึ่งเป็นเหตุแห่งสังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-ชรา-มรณะ-ทุกข์ได้จริง และจะสามารถเข้าถึงธาตุล้วน ธรรมล้วน (อสังขตธาตุ อสังขตธรรม)  ของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดได้  และ ให้สามารถรู้ว่าอะไรคือของปลอม ของจริง ตามที่เป็นจริงได้แล

(ผู้ถาม: สมาชิกชมรมผู้ปฏิบัติธรรม "ลานโพธิ์" วัดบึงบวรสถิตย์ ชลบุรี ในการอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระสงฆ์ รุ่นที่ 10 พฤษภาคม 2529 ณ สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี)

2)   ถ้ามีพระภิกษุผู้สอนธรรม ได้แสดงแก่ผู้มาปฏิบัติธรรม ให้เป็นที่เข้าใจในหมู่ศิษยานุศิษย์ว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุด จะให้ธรรมหรือจะให้ธรรมกายแก่ผู้ใด หรือไม่ให้ก็ได้ แล้วแต่ท่าน จะเป็นไปได้หรือไม่เพียงใดครับ ? และถ้าไม่จริงอย่างนั้น พระภิกษุผู้ที่พูดหรือแสดงให้เป็นที่เข้าใจในหมู่ผู้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมเช่นนั้น จะถือว่าท่านมุสาหรือเปล่าครับ ?

ตอบ:

 
 

ปัญหานี้อาตมาจะขอแยกตอบเพียง 2 ประเด็นใหญ่ๆ   ก็คงจะพอเข้าใจได้ตลอด  คือ

  1. ถ้ามีพระภิกษุแสดงว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นธาตุต้นธรรมที่สุด  จะให้ธรรมหรือจะให้ธรรมกาย หรือจะไม่ให้แก่ใครก็ได้แล้วแต่ท่าน

    ข้อนี้ตอบได้เลยว่า ไม่จริง  เป็นไปไม่ได้   แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ  เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐสูงสุด  เป็นที่ประจักษ์แก่พระสงฆ์สาวกผู้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมของพระองค์ท่าน ก็ยังไม่เคยแสดงพระองค์ว่าเป็นผู้ให้ธรรมหรือธรรมกายแก่ใคร    มีแต่ทรงแสดงว่า พระพุทธองค์เป็นแต่ผู้บอกหรือชี้ทางให้   ธรรมเป็นเรื่องที่แต่ละบุคคลจะพึงบรรลุและรู้เองเห็นเอง

    มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ชัดเจนว่า “... พราหมณ์  เราจะทำอย่างไรได้   ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกหนทางให้...” (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ คณกโมคคัลลานสูตร ว่าด้วยการศึกษาและการปฏิบัติเป็นขั้นตอน ข้อ 101-103)

    และโปรดดูในบทสรรเสริญพระธรรมคุณที่พุทธศาสนิกชนสวดกันเป็นประจำที่ว่า "สนฺทิฏฺฐิโก" อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง และ "ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ" อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)   ก็ไม่เคยปรากฏว่าท่านเคยแสดงไว้เช่นนั้น มีแต่ท่านแสดง (จากข้อความที่ถอดเทปไว้) ว่า  ท่านศึกษาและปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่บวชมิได้หยุดเลย   บัดนี้ (ขณะที่สอนและบันทึกเทปนี้) ทั้งเรียนและทั้งสอนด้วย   ไม่เห็นว่าท่านได้เคยแสดงว่าท่านบรรลุธรรมสูงสุดแต่ประการใด

    แล้วยิ่งถ้าเป็นพระภิกษุที่มาบวชในพระพุทธศาสนานี้ เพิ่งจะได้มาเรียนรู้ธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้าแต่เพียงครึ่งๆ กลางๆ บางส่วน  จากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้สั่งสอนถ่ายทอดไว้ดีแล้วทุกแง่ทุกมุม   จะไปวิเศษวิโสกว่าพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่กว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ  ซึ่งท่านได้ถ่ายทอดวิชชานี้เอาไว้ก่อนแล้วได้อย่างไร

    ถ้าถึงขั้นจะให้ธรรมหรือให้ธรรมกาย หรือจะไม่ให้แก่ใครๆ ก็ได้   เช่นนั้นก็นับว่า พระภิกษุรูปนั้นทรงคุณวิเศษสูงกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก

    ถ้าเช่นนั้นลองขอให้ท่านเหาะเหินเดินอากาศให้ดูหน่อยปะไร   เอาแค่คุณธรรมเพียงเศษธุลีพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ หรือลองสังเกตภิกษุรูปนั้นดูว่า  กิเลสประเภทโลภ โกรธ หลง เพียงขั้นหยาบๆ นี้แหละ ว่ายังมีอยู่ หรือว่าหมดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานแล้ว    ถ้าเห็นว่ายังมีโลภ โกรธ หลงอยู่  ก็อย่าได้ไปหลงเชื่อ   ถ้ามีพระภิกษุประเภทนี้นะ โกหกทั้งเพ

  2. ถ้าเป็นพระภิกษุได้แสดงออกให้ใครก็ตามที่เป็นผู้ใหญ่รู้เดียงสาแล้ว ให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ และเข้าใจความ ตามที่พระภิกษุนั้นกล่าวแสดงเช่นนั้นออกไปแม้เพียงครั้งเดียว   ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกหรือการปฏิญญาโดยตรง  หรือว่าจะเป็นการใช้เล่ห์ กโลบาย และการแนะนำธรรมในเชิงชี้นำให้ศิษยานุศิษย์เห็นเป็นเช่นนั้น ด้วยเจตนาจะอวดอุตตริมนุษยธรรมอันไม่มีจริงในตน ตามพระวินัยพุทธบัญญัติ  ภิกษุรูปนั้นย่อมต้องอาบัติปาราชิก ในฐานอวดอุตตริมนุษยธรรมอันไม่มีจริงในตนไปทันที ณ บัดนั้น.

(ผู้ถาม: คุณโอภาส เครือวัลย์ 2530)

3)   (ข้อนี้เพิ่มเติมนะคับ)   มีครูอาจารย์บางสำนักปฏิบัติธรรม ได้ห้ามศิษยานุศิษย์ของตน มิให้อ่านหนังสือธรรมอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากเฉพาะที่มีในสำนักของตน อย่างนี้จะเป็นผลดีหรือผลเสียแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ?

ตอบ:

เป็นผลดีแก่ครูอาจารย์ในสำนักนั้นเอง ที่จะสามารถป้องกันมิให้ศิษยานุศิษย์ของตน มิให้ไปศึกษารู้เห็นธรรมที่กว้างขวางละเอียดลึกซึ้งกว่าภูมิธรรมภูมิปัญญาของตัวที่จะให้การแนะนำสั่งสอนได้     ให้หลงศรัทธาเลื่อมใสอยู่แต่ในตน

 

หรือแต่เฉพาะในสำนักของตน ว่าเป็นแหล่งภูมิธรรมภูมิปัญญาสูงที่สุดแล้ว     แล้วก็สามารถจะใช้เล่ห์เพทุบายเกลี้ยกล่อมให้หลงอยู่ในอำนาจปกครอง  และยอมตนเป็นเครื่องมือให้ใช้สอยทำประโยชน์ให้แก่ตนหรือให้แก่สำนักของตน อย่างสิโรราบได้โดยง่าย

เป็นผลเสียหายแก่ผู้มีจิตศรัทธาแต่ขาดสติปัญญาสอดส่อง  ให้หลงติดอยู่ในเล่ห์เพทุบายอันแยบยลนั้น   จึงมิได้มีโอกาสที่ศึกษาเรียนรู้ธรรมจากเอกสารหลักฐานที่เชื่อถือได้ หรือจากครูอาจารย์หรือผู้รู้อื่นทุกระดับภูมิธรรม ให้สามารถพัฒนาภูมิธรรมและภูมิปัญญาของตนเองให้สูงขึ้นจากที่เคยได้รับแต่เพียงจากสำนักปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการจำกัดสติปัญญาในธรรมของตนให้แคบเหมือนกบเกิดอยู่แต่ในกะลาครอบ ไม่มีโอกาสได้เห็นโลกกว้างอย่างน่าเสียดายโอกาสทองที่สุด

เป็นผลเสียแก่ผู้ปฏิบัติเช่นนั้นเองด้วยเป็นอย่างมาก   รวมทั้งผู้ให้ความร่วมมือสนับสนุนการกระทำเช่นนั้นด้วย ให้กลายเป็นคนมืดบอดในธรรม   ค่าที่ปิดทางบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดหูปิดตาผู้อื่น มิให้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ในธรรมที่สูงยิ่งไปกว่าที่ภูมิธรรมและภูมิปัญญาของตนหรือของสำนักตน จะพึงมีถ่ายทอดให้ได้   

การให้ธรรมเป็นทานเป็นมหานิสงส์สูงอเนกอนันต์เพียงใด    ในทางตรงข้าม การปิดหู ปิดตา  ปิดปัญญาผู้อื่น ด้วยกลอุบายอันแยบยล   เพื่อเห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว มิให้มีโอกาสเรียนรู้ในธรรมที่ควรรู้   ก็เป็นบาปอกุศลอย่างมหันต์เพียงนั้น   อกุศลกรรมด้วยเจตนาทุจริตเพราะมีกิเลสคือความโลภและความเห็นแก่ตัวจัดอย่างนี้ ย่อมให้ผลเป็นวิบากที่หนุนเนื่องทับทวีแก่ผู้กระทำและผู้ให้ความร่วมมือสนับสนุนทั้งหลาย   ตามส่วนและจำนวนแห่งผู้ที่หลงเชื่อและประพฤติตามอย่างอเนกอนันต์ที่สุด  น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

เปรียบเสมือนจ่าโคนำฝูงโคสู่ทะเลบาป  อันกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก คือทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ และภโวฆะ พัดพาฝูงโคให้เข้าสู่กระแสน้ำวนคือวัฏฏสงสารที่ไหลลึกลงไปลึกลงไปเรื่อยๆ  และจมหายลงไปในทะเลบาปนั้นในที่สุด

ข้อนี้คล้ายๆกับที่พระเด็จพระคุณหลวงพ่อธัมมะ ไม่ให้อ่านหนังสือปราบมารของอาจารย์การุญ บุญมานุชเลย

จริงหรือไม่อย่างไรครับ ?

I don't know how to answer those and remain neutral. But I was a Christian (Baptist) and I like to experiment everything by myself. I have studied Science. What don't you analyze that by yourself as The Lord Buddha said" Ahipassiko" =prove it with yourself then you should believe it( with reason and witness it with your eyes). Anumotana sadhu ka.


8-)


#11 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 28 June 2014 - 02:11 PM

I don't know how to answer those and remain neutral. But I was a Christian (Baptist) and I like to experiment everything by myself. I have studied Science. What don't you analyze that by yourself as The Lord Buddha said" Ahipassiko" =prove it with yourself then you should believe it( with reason and witness it with your eyes). Anumotana sadhu ka.

 

 

ขออนุญาติ แปลตามภาษาอังกฤษ แบบฟุตฟิตฟอไฟ นะครับ อิอิ ผู้ตอบในความเห็นที่ 10 บอกว่า

 

"ฉันไม่รู้จะตอบคำถามข้างต้น ด้วยใจเป็นกลางได้อย่างไร แต่ฉันเป็นชาวคริสต์ และฉันรักที่จะทดลองทุกๆ สิ่งด้วยตัวฉันเอง ฉันได้ศึกษาหลักของวิทยาศาสตร์แล้ว ทำไมคุณเจ้าของกระทู้ ไม่วิเคราะห์สิ่งนั้นๆ ด้วยตัวคุณเอง เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เอหิปัสสิโก" เชิญมาพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองเถิด แล้วท่านจะเชื่อสิ่งนั้น ด้วยเหตุผลและสายตาของท่านเอง อนุโมทนาบุญค่ะ"

ผม(หัดฝัน) อ่านแล้ว รู้สึกชอบมากๆ เธอเป็นชาวคริสต์แท้ๆ ยังคิดเช่นนี้ แล้วชาวพุทธอย่างเราๆ ท่านๆ ที่อยู่ศาสนาแห่งการพิสูจน์อยู่แล้ว ไม่นำหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ล่ะ


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#12 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 June 2014 - 08:09 AM

สาธุ คุณหัดฝัน

 

"เอหิปัสสิโก"

 

คำตอบสั้นๆง่าย ชัดเจน เมี้ยวววว


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#13 cheterkk

cheterkk
  • Members
  • 270 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 June 2014 - 03:56 PM

ถ้าข้อความที่หลายๆ ท่านนำอ้างอิง ก็อปมา แปะมา เขียนเอง โดยไม่ได้นำออกมาจากทุกอักษรของพระไตรปิฏก ผมไม่เชื่อครับ ผมเชื่อในพระไตรปิฏกเป็นพระธรรมอันสูงสุด เท่านั้น! 


อีกอย่างคำว่า ต้นธาตุต้นธรรม ไม่ทราบว่ามีหรือไม่มีก็ได้ แต่เมื่อพระไตรปิฏกไม่มีคำนี้บัญญัติว่า ก็ขออิงตามพระธรรม คือ ไม่น่าจะมีครับ 



#14 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 30 June 2014 - 06:36 PM

แต่พระธรรมในพระไตรปิฎก  เป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือ   เมื่อเทียบกับพระธรรม  คือ  ใบไม้ทั้งป่า   การที่เราพูดว่า  ใบไม้ทั้งหมดมีเพียงแค่ในมือเราเท่านั้น  สิ่งอื่นนอกเหนือจากในกำมือเราแล้ว  เราไม่ถือว่าเป็นใบไม้  คงไม่เป็นการถูกต้องนัก

 

อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบหลายๆ ครั้งแล้ว  ธรรมที่เกืดจากการปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีลึกซึ้งกว่าที่ปรากฏในพระไตรปิฎกมากมายนัก  เพียงแต่เราต้องปฏิบติตามพระไตรปิฎกไปตามขั้นตอนที่เหมาะสมเท่านั้น  ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏแก่เราเอง

 

พระพุทธองค์  ทรงเชื่อถืออยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น  คือ  ความจริงของชีวิต  และพระองค์ทรงสั่งสอนเราเพียงบางส่วนในหนทางแห่งการค้นหาความจริงของชีวิตนั้น  ถ้าเราสามารถปฏิบัตืตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางแนวทางไว้ให้  ไม่นานเราก็จะรู้เห็นในใบไม้ใบอื่นๆ ของป่าใหญ่นั้นเองครับ

 

อย่าเพิ่งเชื่อว่าอะไรจริง  อะไรไม่จริง  ลงมือปฏิบัติพิสูจน์ดูก่อนแล้วค่อยมาตัดสินใจก็ไม่สายเกินไปหรอกครับ

 

ส่วนเรื่องต้นธาตุ  ต้นธรรมนั้น  ท่านเจ้าของกระทู้เองก็ไม่ได้ให้ความชัดแจ้งว่าไปได้ยินมาจากไหน  อย่างไร  ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ  ก็คงจะขอให้จบลงที่เป็นเพียงความเข้าใจผิดของผู้ตั้งกระทู้เอง  ซึ่งทางเราก็ได้ตอบแก้ไปแล้ว  ว่าไม่มี  ไม่เคยได้ยิน  ใครจะเชื่อก็ดี  ไม่เชื่อก็ดี  ก็ขอให้พิจารณาไตร่ตรองเอาตามสมควรครับ 

 

ปฏิบัติธรรมให้มากๆ  ทำใจหยุด  ใจนิ่งให้ได้  เดี๋ยวธรรมก็จะเกิดแก่เราเองครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#15 vividu

vividu
  • Members
  • 716 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:Seattle, WA
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 01 July 2014 - 06:59 AM

อย่าเพิ่งคิดนำครับ  อาจจะเป็นคำเทศนาที่ทรงคุณค่าแต่กล่าวถึงแบบกลางๆ ทั่วไป  ไม่ได้เจาะจงที่ใครก็ได้ครับ  

 

ถ้าเราคิดนำไปก่อนว่าต้องพูดถึงคนนั้น  พูดถึงวัดนี้  จะเป็นวิบากกรรมเสียเปล่าๆ

 

เราฟังธรรม  ไม่ว่าจากพระอาจารย์ท่านใดก็ตาม  มีคุณกับเราทั้งนั้น  เราสามารถใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้เห็นความจริงจากธรรมนั้นได้  

 

ผมไม่ได้แนะนำให้เชื่อโดยสนิทใจ    แต่แนะนำให้ฟัง(อ่าน)  แล้วนำมาพิจารณาหาความจริง  นั่นถึงจะเป็นประโยชน์ของการฟังธรรมครับ

 

ธรรมมีไว้ให้พิจารณา ไตร่ตรองแล้วปฏิบัตืตามครับ  ไม่ได้มีไว้ให้เชื่อ

Sadhu of this Dhammatan ka K Tuppe. I remember that Khun Yai always teeaches us not to get misleading. Sadhu sadhu sadhu.


8-)


#16 Tung

Tung
  • Admin
  • 195 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 01 July 2014 - 10:38 AM

บุญมากบุญน้อยอยู่ที่จิตเลื่อมใส



#17 Marusama

Marusama
  • Members
  • 7 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 27 July 2014 - 07:57 PM

เรื่องนี้ผมเคยอ่านแล้วนะครับ เรื่องบูชาข้าวพระ ถือเป็นพุทธานุสติอย่างหนึ่งครับ ที่บอกไม่ถึงจริงคนทั่วๆไปที่ทำไม่ถึงจริงอยู่แล้วครับ เพราะพระพุทธเจ้าดับขันธ์ไปแล้วไม่ขบฉันของพวกนี้ครับ พระนิพพานไม่มีขบฉันท์ครับ แต่ถามว่าเป็นบุญไหมเป็นบุญตรงที่นึกพระพุทธเจ้าครับ ได้บุญจากตรงนี้ แต่ผมเคยอ่านข้อมูลในหนังสือประวัติวัดพระธรรมกายว่าการบูชาข้าวพระ คนที่ทำได้ต้องเข้าถึงธรรมกาย คือ การนำเครื่องไทยธรรม อันมีดอกไม้ ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ซึ่งเป็นของหยาบนำมากลั่นให้ละเอียดด้วยวิชชาธรรมกาย จนกระทั่งเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ละเอียดใสบริสุทธิ์เท่ากับพระธรรมกาย แล้วจึงน้อมนำไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน แต่ธรรมกายของพระพุทธเจ้านั้นท่านไม่ต้องฉันเหมือนมนุษย์ และมีสุขอยู่ด้วยธรรมธาตุอันบริสุทธิ์ อิ่มอยู่เสมอ ที่เราเอาไปถวายนี้เป็นพุทธบูชา เพื่อต้องการ บุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ ที่เกิดจากการบูชาข้าวพระให้ถึงแก่เราด้วยเหตุนี้ ผู้บูชาข้าวพระจึงต้องเข้าถึงธรรมกายให้ได้ ต้องรู้จักหนทางสายกลาง ทำวิชชาธรรมกายเป็น จนกระทั่งเข้าสู่อายตนนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญจนสามารถน้อมเครื่องไทยธรรมเหล่านี้ไปถวายเป็นพุทธบูชาได้ ซึ่งในเวลานั้นจะเห็นตัวเอง เห็นเครื่องไทยธรรม แล้วก็เห็นพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้น จะเห็นผลบุญ เห็นกระแสธารแห่งบุญที่บังเกิดขึ้นจากการนำเครื่องไทยธรรมไปถวายเป็นพุทธบูชานี้ด้วย การบูชาข้าวพระเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง