ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เ พื่ อ น แ ท้ แ ม้ ชี วิ ต ก็ แ ล ก ไ ด้


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
ไม่มีการตอบกลับในกระทู้นี้

#1 kuna

kuna
  • Members
  • 780 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 19 December 2005 - 08:32 PM

[attachmentid=763]

เ พื่ อ น แ ท้
แ ม้ ชี วิ ต ก็ แ ล ก ไ ด้


ผู้ใดเป็นมิตรสหายในยามเกิดเรื่อง
ที่ต้องการความช่วยเหลือ
ผู้ที่ช่วยเหลือนั้น นับว่าเป็นเพื่อนแท้
มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายจะเข้ากันได้โดยธาตุ คือจะคบหาสมาคมกันเพราะมีจริตอัธยาศัยตรงกัน มีรสนิยมเดียวกัน รวมทั้งมีคุณธรรม ความบริสุทธิ์ใกล้เคียงกัน เช่น ถ้าเราเป็นผู้รักในการฝึกตัว เมื่อเราไปพบกับนักปราชญ์ราชบัณฑิต ก็ทำให้เราอยากจะคบหาด้วย เมื่อคบกันไปนานๆ มิตรภาพนับวันจะเบ่งบานมั่นคงและยั่งยืน เป็นการคบกันโดยไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีแต่เรื่องคุณประโยชน์อย่างเดียว ที่เกิดจาก ใจบริสุทธิ์ มีความเคารพรัก ศรัทธา และปรารถนาดีต่อกัน
ส่วนการคบกับคนพาล จะมีแต่โทษ เพราะจะทำให้เราพลอยติดนิสัยที่ไม่ดีไปด้วย ชอบคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว อยู่เป็นนิตย์ และที่คบกันก็มักเป็นเพราะมีผลประโยชน์เป็นส่วนใหญ่ เราจะสังเกตได้ว่า ใครเป็นมิตรแท้หรือมิตรเทียม ก็รู้ได้ในคราวที่ตกทุกข์ได้ยาก ถ้าเป็นมิตรแท้ก็จะช่วยเหลือ เพราะมิตรแท้ แม้ชีวิตก็สละให้กันได้ เพื่อให้เพื่อนมีชีวิตรอดปลอดภัย และเป็นคนดีของสังคมต่อไป ดังนั้นความเป็นมิตรแท้จึงไม่มีในหมู่คนพาล แต่เราจะหามิตรแท้ได้เฉพาะในหมู่บัณฑิตเท่านั้น
ท่านพระอานนท์เถระนับเป็นบุคคลตัวอย่างที่ดี ที่คบหาสมาคมกับใครแล้ว ผู้นั้นก็จะได้รับการช่วยเหลือจากท่านเป็นอย่างดี ท่านสนิทสนมคุ้นเคยกับพระบรมโพธิสัตว์มาข้ามภพ ข้ามชาติ เป็นผู้เสียสละให้ได้แม้กระทั่งชีวิต
ในสมัยที่กำลังสร้างบารมีกันอยู่ ท่านได้ช่วยเหลือพระบรมโพธิสัตว์หลายภพ หลายชาติ มาในชาตินี้ ท่านยังได้สละชีวิตของตัวเอง ยืนบังพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อไม่ให้ช้างตกมันประทุษร้ายพระพุทธองค์ได้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ และตรัสเล่าเรื่องในอดีต ที่พระอานนท์ได้เคยช่วยเหลือพระองค์ว่า
*ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชาวนา ที่มีความขยันขันแข็งมาก ส่วนพระอานนท์ได้เกิดเป็นปูทอง วันหนึ่ง ท่านเดินไปในท้องนาตามปกติ เห็นปูทองอาศัยอยู่ในหนองน้ำ ในขณะที่ท่านกำลังล้างหน้า ปูก็ได้ไต่เข้ามาใกล้ท่าน ท่านเกิดความเอ็นดู จึงจับปูยกขึ้นมานอนในผ้าห่ม แล้วไปทำงานต่อ ก่อนจะกลับบ้านก็นำปูไปปล่อยไว้ในหนองน้ำตามเดิม ท่านทำอย่างนี้เรื่อยมา จนมีความคุ้นเคยกันมาก
ที่ปลายนาของท่าน มีกาสองผัวเมียอาศัยอยู่บนต้นตาล กาตัวเมียเห็นลูกนัยน์ตาของพระโพธิสัตว์มีความแวววาวสวยงาม ดูแล้วพิเศษกว่าตาของมนุษย์ทั่วไป ทำให้อยากจะกินลูกนัยน์ตาของท่าน จึงแสร้งทำเป็นแพ้ท้อง
กาตัวผู้จึงถามว่า “เจ้าเป็นอะไร”
กาตัวเมียตอบว่า “ฉันเกิดแพ้ท้องจ้ะ ฉันอยากจะกินนัยน์ตาของชาวนาคนนั้น”
กาตัวผู้ถอนหายใจว่า “น้องรัก เรื่องนี้รู้สึกจะเป็นเรื่องเหลือวิสัยที่พี่จะทำได้”
กาตัวเมียออกอุบายว่า “ที่จอมปลวกโน้น มีงูเห่าอยู่ตัวหนึ่ง พี่จงไปปรนนิบัติเอาใจงูเห่าตัวนั้น แล้วให้งูเห่าไปกัดชาวนาให้ตาย พี่ก็จะสามารถจิกเอาลูกนัยน์ตาของชาวนามาได้”
กาตัวผู้หลงใหลในนางกาและหวังจะเอาใจด้วย จึงตอบตกลงที่จะช่วยเหลือ ด้วยการไปหาอาหารมาปรนนิบัติงูเห่าเป็นอย่างดี
ต่อมางูเห่าได้ถามกาว่า “สหายเอ๋ย ท่านปรนนิบัติเราด้วยดีมาตลอด ท่านมีปัญหาอะไรจะให้เราช่วยรึ”
กาได้โอกาสจึงบอกว่า “นายท่าน ภรรยาของฉันมีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง นางอยากจะกินลูกนัยน์ตาของชาวนาคนหนึ่ง ผู้ที่จะสามารถเอาลูกนัยน์ตามาได้ ก็มีเพียงท่านเท่านั้น”
งูจึงบอกให้กาเบาใจว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาหรอก ท่านสบายใจได้” จากนั้นงูได้เลื้อยไปนอนอยู่ใต้กอหญ้าข้างคันนา รอการมาของพระโพธิสัตว์
เมื่อพระโพธิสัตว์มาถึงทุ่งนา ท่านรีบตรงไปที่หนองน้ำ ล้างหน้าล้างตา และจับปูทองให้นอนในผ้าห่ม แล้วอุ้มไปในนาด้วย
ฝ่ายงูเห่าเห็นพระโพธิสัตว์มาถึง ก็เลื้อยเข้าไปหาโดยเร็ว และกัดเข้าที่น่องอย่างเต็มแรง จนพระโพธิสัตว์ล้มลงทันที
จากนั้นงูรีบเลื้อยหนีกลับไปที่จอมปลวก กาตัวผู้ซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา ก็รีบบินมาเกาะที่อกพระโพธิสัตว์ ตั้งใจจะใช้จะงอยปากจิกลูกนัยน์ตา แต่ปูทองได้รีบออกมา แล้วใช้ความว่องไว อ้าก้ามหนีบคอกาไว้ทันที
กาเมื่อรู้ว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว ก็ส่งเสียงดังให้งูมาช่วยโดยด่วน งูรีบแผ่พังพานทำท่าจะพ่นพิษร้ายใส่ปูทอง แต่ปูทองกลับใช้ความว่องไว อ้าก้ามอีกข้างหนึ่งหนีบคองูไว้ เมื่องูตกอยู่ในอันตรายก็พิจารณาว่า
“ธรรมดาปูจะไม่กินเนื้อกาและเนื้องู แต่เพราะเหตุอะไรหนอ ปูตัวนี้จึงหนีบเราและกาไว้”
งูจึงถามปูว่า “ท่านไม่กินเนื้อกาและงู แต่ทำไมท่านจึงหนีบคอเราไว้”
ปูตอบว่า “ชายคนนี้เป็นผู้มีบุญคุณกับฉัน และเป็นมิตรที่ดีกับฉันตลอดมา ฉันจึงไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้”
งูรีบคิดหาอุบายเพื่อจะให้ปูปล่อยตนเองและกา จึงกล่าวว่า “ข้าจะช่วยดูดพิษออกจากร่างชายคนนี้ ท่านจงรีบปล่อยข้าทั้ง ๒ โดยเร็ว ก่อนที่พิษร้ายจะทำอันตรายเขาถึงแก่ชีวิต”
ปูรู้ทันว่า งูตัวนี้ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับตน จึงปล่อยงูไป แต่ยังหนีบคอกาไว้เป็นตัวประกัน จากนั้นงูก็ได้ช่วยดูดพิษออกจากร่างกายของพระโพธิสัตว์
เมื่อพิษออกหมดแล้ว ท่านก็สามารถลุกขึ้นยืนได้ตามปกติ ที่ท่านรอดตายในครั้งนี้ ก็เพราะได้ปูทองเป็นมิตรแท้ช่วยชีวิตไว้นั่นเอง
ตั้งแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์และปูทองยิ่งมีความรักความผูกพันกันมากยิ่งขึ้น และต่างก็ให้ความสงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ

เราจะเห็นว่า ความเป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกันนั้น มีแต่คุณประโยชน์ ความเป็นกัลยาณมิตรจะส่งผลดี มีความเกื้อกูลกันไปทุกภพทุกชาติ เมื่อเกิดมาพบกันอีก ก็จะเกิดความรัก ความเข้าใจกันอย่างดี อยากจะช่วยเหลือสนับสนุนกัน ช่วยทำกิจการงานทุกอย่างให้ โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอร้อง เมื่อถึงคราวบุญบันดาลก็จะมีผู้มีบุญมาช่วยเหลือ เราจะมีมิตรมีพวกพ้องบริวาร จะทำอะไรก็ได้รับความสะดวกสบาย ราบรื่นไม่มีอุปสรรคใดๆ
ส่วนการคบกับคนพาลนั้น ชีวิตจะตกต่ำและเป็นหนทางแห่งความเสื่อม นำไปสู่อบายภูมิ มิตรแท้ที่ประเสริฐสุดที่สามารถปิดประตูอบายได้ คือ พระธรรมกายที่อยู่ในตัวของเรา หากเราทำใจหยุดนิ่งจนเข้าถึงพระธรรมกายและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่าน ในยามที่เราประสบทุกข์ ท่านก็จะช่วยให้เรา พ้นทุกข์ สามารถขจัดทุกข์โศกโรคภัยให้หมดสิ้นไป เมื่อมีความสุขแล้ว ก็ช่วยเพิ่มพูนความสุขให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ดังนั้น สุดยอดของมิตรแท้ คือ “พระธรรมกาย” ท่านเป็นยอดกัลยาณมิตรที่ประเสริฐสุดของเรา เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ให้รีบหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ทำกันไปทุกๆ วันอย่าได้ขาด แล้วเราจะได้เข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเราทุกๆ คน

*มก. สุวรรณกักกฏชาดก เล่ม ๕๙ หน้า ๑๕๐

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  MO1_14__.jpg   54.87K   27 ดาวน์โหลด