ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ทำไมนั่งสมาธิแล้วเหนื่อยมาก?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 14 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 11:34 AM

ขอทราบว่ามีท่านใดเคยมีประสบการณ์อย่างนี้บ้าง ดิฉันนั่งสมาธิเหมือนไม่ก้าวหน้าทั้งๆที่นั่งสมาธิมาก่อนนานกว่า 10 ปีมากๆๆ เข้าวัดเมื่อปี 2541 แต่พึ่งมาหัดเดินตามรอยหลวงปู่จริงๆสัก 5 ปี(มีอุปสรรคของชีวิตขัดจังหวะทำให้ว่างเว้นจากการทำสมาธิ) หลายๆครั้งที่นั่งสมาธิจะรู้สึกเหนื่อยมากและต้องนอนลงแล้วก็หลับไปทุกครั้ง เคยมีประสบการณ์การนั่งมาหลายวิธี เช่น พุทโธ และพลังจักรวาล มีประสบการณ์ที่ดีพอสมควร คือมีความนิ่งสงบมากดีกว่าที่นั่งตามวิธีของหลวงปู่
ทุกวันนี้เข้ามาที่ web DMC เสมอเป็นประจำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และเกิดความซาบซึ้งกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมกันสร้างบารมี และบางท่านก็มีประสบการณ์ภายในที่ดี น่าอนุโมทนาร่วมด้วย
อยากทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับดิฉันน่ะ

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 11:57 AM

วิธีการของหลวงปู่ที่คุณว่าไว้นั้น คุณทำอย่างไรล่ะครับ พอเล่ารายละเอียดให้ฟังได้ไหมครับ
และวิธีการพุทโธ และพลังจักรวาล ที่คุณบอกว่า ฝึกแล้วนิ่งสงบดีนั้น คุณฝึกอย่างไรครับ
ที่ถามนี่ก็เำพื่อจะได้รับทราบข้อมูลให้ละเีอียดขึ้น และตอบได้ตรงน่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 เศรษฐีหน้าใส

เศรษฐีหน้าใส
  • Members
  • 177 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 01:05 PM

ผมเคยเป็นครับ แรกๆเมื่อ๒๐กว่าปีที่แล้ว นั่งแล้วเหนื่อยมาก เอาหละ เริ่มแรก ผมขออนุญาติแนะนำตามประสบการณ์นะครับ ทำกายทำใจให้สบายๆก่อน เช่นเลือกสถานที่ที่สงบๆหน่อย ทำกายให้สบายเช่นอาบน้ำเย็นๆ ตัดความกังวลต่างๆเป็นต้น ต่อไปอย่ารีบบังคับใจให้มาอยู่ศูนย์กลางกายทันที ให้ค่อยๆตะล่อม เช่นหายใจลึกๆ ค่อยๆวางใจอยู่ในท้องก่อน ยังไม่ต้องเจาะจงว่าจะต้องอยู่ที่ฐาน๗ วางใจไปก่อนเถอะแถวๆท้อง จะหยุดอยู่ที่ไหนอย่าเพิ่งไปกังวล ค่อยๆประคองใจให้อยู่นิ่งๆ อย่าบังคับใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใจชินต่อศูนย์กลางกายแล้วจะง่ายเอง ส่วนที่บอกว่านั่งสมาธิแล้วเหนื่อย ผมสันนิษฐานว่า คุณอาจไปบังคับใจมากเกินไปอยากให้ใจอยู่ฐาน๗ตลอดเวลา มันก็เลยเหนื่อยง่าย ขอให้นั่งสมาธิอย่างมีความสุขนะครับ สบายๆ ปล่อยใจให้สบาย แล้วจะสบายจริงๆครับ

#4 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 01:13 PM

ผมขออนุญาติถามสักนิด ที่ว่านั่งมาหลายวิธีแล้วนั่น มีวิธีไหนที่ไปหัดนั่งแล้วมีการยกครูหรือขึ้นของบ้างไหมครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#5 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 01:28 PM

การนั่งสมาธิแล้วไม่ก้าวหน้านั้น พระเดชพระคุณคุณครูไม่ใหญ่กล่าวไว้ว่ามีสาเหตุ ๒ ประการ คือ ๑. นั่งน้อย และ ๒. นั่งไม่ถูกวิธี ครับ ดังนั้น จขกท. ต้องลองไปทบทวนดูว่าการนั่งสมาธิของตนเองเป็นอย่างไรครับ และขอเป็นกำลังใจให้นั่งสมาธิต่อไปนะครับ...สาธุ
แม้มึดตื่อมืดมิดก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม

#6 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 01:35 PM

อย่าลืม"Relax & Alert"
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#7 homer324

homer324
  • Members
  • 522 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 01:44 PM

ก่อนที่ใจจะหยุดนิ่งได้ ย่อมมีหลายเหตุ หลายปัจจัย..

บางคนฝึกตนมาดี ตั้งแต่อดีตชาติ ชาตินี้นั่งปุ๊ป ใจรวมได้ทันที..

บางคนอดีตชาติ ฝึกมาเกือบดี ชาตินี้ฝึกต่ออีกหน่อย ใจก็นิ่งได้ในไม่ช้า..

บางคนอดีตชาติ ฝึกมาน้อย ชาตินี้ต้องขยันนั่งให้บ่อยๆ ถี่ๆ สักวันก็ต้องเป็นของเรา..

บางคนอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ ก็ฝึกบ้าง ไม่ฝึกบ้าง ตามอารมภ์ ก็ยากที่จะรวมใจให้หยุดให้นิ่งได้..

ส่วนอาการเจ้าของกระทู้ที่นั่งแล้วเหนื่อย เหมือนไม่ค่อยแฮปปี้ในการนั่งสมาธิ ทำใจหยุดใจนิ่งได้ลำบาก..

ผมขอแนะนำ ให้เจ้าของกระทู้ หันไปทำกิจกรรมบุญอย่างอื่น ให้มากๆ ให้บ่อยๆ ให้ถี่ๆ นึกเมื่อไรให้ปลื้มเยอะๆ..

เช่น ทำทานทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที เช่นเช้าตักบาตรพระ (พยายามไปร่วมตักบาตรพระ 500,000 รูปให้ได้มากๆ)
สายให้อาหารสุนัข แมว ก่อนเที่ยงถวายเพลพระ บ่ายถวายความรู้พระ เณร (ธรรมทาน) เย็นถวายน้ำปานะ ฯลฯ

และ หมั่นรักษาศีล 5 ศีล 8 ให้บริสุทธิ์ในทุกๆวัน และต้องรักษาแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันให้ได้ด้วย เช่น วันนี้วันพระตั้งใจรักษาศีล 8 เชียว พอตกบ่ายหิวข้าว ต้องงดข้าวให้ได้ อย่าไปตามใจกิเลส ให้นึกถึงว่าถ้าตายไปในตอนนี้ ก็จงภูมิใจ ว่าอย่างน้อยศีลเราก็บริสุทธิ์ ไม่มีด่างพร้อย ไม่มีแม้กระทั่งรอยขีด รอยข่วน ทำให้ได้อย่างนี้บ่อยๆ เรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย..

ทีนี้เมื่อถึงเวลานั่งสมาธิ เราก็นึกเอาทานบารมี ศีลบารมี ที่เราบำเพ็ญอย่างยิ่งยวดนั้นเป็นตัวตั้ง เป็นสิ่งที่พึงระลึกนึกถึง..
เมื่อนึกบ่อยๆ ตรึกระลึกบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดกำลังใจในการนั่งสมาธิ ใจจะตั้งมั่น ไม่สั่นคลอน จะหยุดจะนิ่งได้ง่ายยิ่งขึ้น..

อย่าฝืนด้วยการนั่งแล้วเมื่อย เหนื่อย ท้อ ลังเลใจ แต่ให้หันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน เหมือนการออกกำลังกายให้มีเหงื่อออก ก็จะทำให้ทานอาหารได้มากขึ้น นอนหลับได้สนิทดีขึ้น เป็นต้น..

ลองดูน่ะครับ..



#8 tnawut

tnawut
  • Moderators
  • 2398 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Laksi
  • Interests:Internet, Computer, Electronic, Security, Merit, Meditation, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, ทำบุญ, ปล่อยปลา, บูชาเจดีย์, ฝันในฝัน, DOU, หมู่บ้านปฏิบัติธรรม, บวช, บรรพชา, Web, CU, Chula

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 02:06 PM

เลิก ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง หรือแม้นแต่บีบหัวตา เพราะจะทำให้เหนื่อย

นั่งสบายๆ เอาแบบในเพลงที่หลวงพ่อเปิดให้ฟังบ่อยๆนะครับ

#9 ใสเย็น

ใสเย็น
  • Members
  • 92 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 06:33 PM


unsure.gif
pthata.hi5.com

#10 wir

wir
  • Members
  • 290 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 07:36 PM

ปรับกายให้สบาย แล้วปรับใจตาม เมื่อยก็ขยับช้าๆเบาๆอย่าฝืน ฟุ้งให้ลืมตาแล้วปรับหลับตาลงใหม่ ฝึกทุกวัน ความสบายจะเพื่มขึ้นที่ละนิด แล้วจะนั่งได้นานไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ลองดูค่ะ อนุโมทนาบุญนะคะ

#11 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2008 - 09:59 PM

เนื่องจากทราบข้อมูลเท่าที่คุณบอกมาเท่านั้น.. ขอเดาตอบละกันนะ..

จากประสบการณ์ส่วนตัวของเราเองนะ เราเริ่มนั่งสมาธิเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอยู่ ม.2-ม.3 ได้มั๊ง..
โดยวิธีอานาปานัสติ.. กำหนดสติไปจับที่ลมหายใจเข้า-ออก ผลในครั้งนั้นที่น่าจดจำคือ..
ในช่วง 30-45 นาที จะเป็นช่วงวัดใจ.. คือความปวดเมื่อยจะเข้าจับ จะปวดระบมกระดูกขา คอ หลัง มากๆ
เมื่อพ้นช่วงนั้นไปได้แล้ว จะไม่เมื่อยเลย.. แต่ตัวจะหาย และรู้สึกตัวโล่งโปร่งตัวขยายใหญ่มากๆ
เหมือนตัวเราสูงเสียดฟ้า และโยกไปเยกมาแต่ไม่ได้หลับ นั่งได้ต่อเนื่องยาวนานแบบนี้ไม่ขยับเลย 2 ชั่วโมง

แต่มีเหตุให้เราต้องห่างเหินการปฏิบัติธรรมไปยาวนานหลายปี..
(โดยสาเหตุนึงมาจาก.. ขณะอยู่ ม.4 ม.5 ตอนนั้นเราเข้าวัดพระธรรมกายแล้ว ศึกษาธรรมมะมากเข้ามากเข้า
เราเบื่อหน่ายทางโลกมาก ได้ขอบวชตลอดชีวิต.. แต่ถูกปฏิเสธ โดยท่านให้เหตุผลว่า
ให้ไปศึกษาทางโลกก่อน (ขอบวชที่วัดอื่นนะ ไม่ใช่วัดเรา))
ระหว่างนั้นเราได้เรียนรู้วิธีการนั่งสมาธิตามแนววิชชาธรรมกาย.. เรารู้สึกว่ายากจัง..
และคิดว่าแบบที่เคยทำง่าย+สบายกว่า.. แต่เราก็มีพยายามลองทำดูบ้างนะ
พอนั่งไปเรื่อยๆ ใจจะเริ่มคุ้น เริ่มชิน และได้ความรู้สึกว่ามีแสงสว่างอยู่กลางกาย ทั้งนั่งนอนยืนเดิน
แต่ตอนหลังดันเข้าใจว่าคิดไปเอง.. และเริ่มห่างการปฏิบัติธรรมไป
เพราะเข้ามหาลัยแล้วหลงเพลินกับทางโลกจากนั้นก็ยาวนานมาก..

(เพิ่มเติม ตกตรงนี้ไป..) กลับมาอีกทีราว 13 ปีที่แล้ว เกิดปัญหาอกหักรักคุดกับสาวคนนึง
จึงนึกถึงธรรมมะอีกครั้ง.. เราได้บวชพระที่วัดแห่งนึง แต่ด้วยความที่เคยศึกษาธรรมมะมาค่อนข้างมาก
เราคาดหวังกับการบวชครั้งนั้นมาก แต่กลับไปเจอที่ๆไม่เน้นการปฏิบัติธรรม.. เลยไม่มีครูบาอาจารย์อีก
(บางที.. สิ่งนี้อาจถูกกำหนดไว้แล้วก็ได้.. เพื่อรอใครสักคน) เราจึงแอบฝึกสมาธิเอง และเดินจงกรมบนโบสถ์
แต่ที่นั่นกลับมองเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องแปลก เลยมีคนมารุม.. เราเลยไม่ได้อะไรมาก
แล้วก็ลาสิกขาเพราะบางเรื่องที่เราเห็นผู้อื่นทำแล้ว รู้สึกว่าไม่เหมาะอย่างยิ่ง..
ตกลงเลยไม่ได้ในแง่ของการปฏิบัติเท่าไร.. แล้วก็เลยได้ความคิดแง่ร้ายกลับมาอีก เลยห่างวัดไปอีก

เรากลับมาสู่เส้นทางธรรมมะอีกทีราวๆปี.. 2547 แต่ก็ยังเบาบาง.. ด้วยสภาพบอบช้ำทางโลกเหลือประมาณ
(ที่หลวงพ่อธัมมะเคยบอกประมาณนี้ว่า.. บางคนต้องไปให้ทางโลกบีบคั้นก่อน.. ใช่เลย)
หลังจากนั้นกลับมาเริ่มนั่งสมาธิจริงๆจังๆอีกครั้ง ก็พบว่าแสงสว่างที่เคยเห็นนั้น.. ไม่เห็นแล้ว..
ความรู้สึกว่ามีอะไรอยู่กลางท้อง.. ก็ไม่รู้สึกแล้ว..
และรู้สึกว่าการนั่งสมาธิตามแนววิชชาธรรมกายยากมาก(อีกแล้ว).. จึงกลับไปนั่งแบบดิมคืออานาปานัสสติ..
แต่คราวนี้ก็ไปไม่ถึงไหน.. เพราะห่างการนั่งสมาธิมานาน.. ตอนนั้นก็จะนั่งปนๆกันไป 2 วิธี
(ความจริงก็เคยลองเพ่งกสิณ คือ กสินน้ำ.. อาโปกสินัง และกสิณลม วาโยกสินัง.. แต่ไปไม่ถึงไหน)

ต่อมาได้พยายามนั่งตามแนววิชชาธรรมกายอย่างจริงจัง.. เพื่อทวงสิ่งที่เคยมีเคยได้กลับมา..
พบว่า.. หนนี้.. ยากมากๆๆๆๆๆ.. แบบทวีคูณเลย..
รู้สึกคล้ายๆกับคุณนั่นแหละ คือ อึดอัดมากๆ.. บางทีตัวแทบจะระเบิด.. บางทีเหมือนจะขาดใจตาย..
แต่เราพยายามสู้ต่อไป และเอาชนะความรู้สึกอึดอัดนั้นได้ในที่สุด..
และจากการซักถามท่านอื่นๆที่เคยปฏิบัติธรรมตามวิธีอื่นๆมาก่อนที่จะมานั่งสมาธิตามแนววิชชาธรรมกาย
หลายๆคนจะรู้สึกเช่นเดียวกัน.. คล้ายๆกัน..
ถึงตอนนี้.. เมื่อเรามองย้อนกลับไปเราสรุปได้ว่า..

ใจมันสับสนระหว่างการทำสมาธิตามวิธีที่คุ้นเคย.. กับวิธีใหม่.. นั่นเอง.. จึงรู้สึกอึดอัดเช่นนั้น

อุปมาคล้ายๆกับฝรั่งหัดทานอาหารไทย.. ก็จะรู้สึกเผ็ดมากจนทนไม่ได้..
คล้ายกับคนไทยหัดทานอาหารฝรั่ง.. ก็จะรู้สึกจืดชืดและเลี่ยนๆอืดๆกับบางอย่าง.. ประมาณนั้น..
หรือคนเคยขับมอเตอร์ไซด์.. แต่ลองไปขับรถยนต์.. แรกๆก็จะไม่ชินกับมิติรถ.. หรือในทางกลับกัน..
แต่เมื่อพยายามต่อไป ตามวิธีที่ถูกต้อง ใจจะเริ่มคุ้นเริ่มชินกับวิธีการ แนวทางเหล่านั้น..
ก็จะรู้สึกปกติธรรมดา..แล้วก็จะรู้ว่า..
อาหารไทยก็อร่อยนะ.. หรืออาหารฝรั่งก็อร่อยนะ.. หรือขับรถยนต์สนุกกว่ามอเตอร์ไซด์ หรือกลับกัน..
ตอนนั้นเรากลับมาสำรวจตัวเองว่า เราทำถูกวิธีหรือเปล่า ก็พบว่า.. เราลุ้นเร่งเพ่งจ้อง.. ก็เลยเจ๊ง.. นั่นเอง
วิธีที่ถูกแบบสรุปๆก็คือ วางใจเบาๆที่ศูนย์กลางกายโดยมีสติ กับ สบาย..
สติคือ ความต่อเนื่องของใจที่หยุดนิ่งได้ยาวนาน..
สบายในที่นี้คือ.. เมื่อยก็ขยับ ง่วงก็ให้หลับ ฟุ้งก็ให้ลืมตา.. ห้ามลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง..
สิ่งที่แฝงอยู่ในนี้ก็คือ.. ทางสายกลางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ที่เราทุกคนต้องค้นหาให้ได้..


ทั้งนี้.. ขอแนะนำให้หา CD นำนั่งสมาธิที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านได้เมตตาสอนไว้
ลองเอาไปฟังดูแล้วฝึกตามท่าน.. เมื่อทำใจ วางใจตามที่ท่านสอน.. รับรองว่า..
ผลการปฏิบัติธรรมจะดีขึ้นแน่นอน..

ขอให้ประสบความสำเร็จ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#12 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 11:49 AM

คิดว่าเรากำลังนั่งพักผ่อนครัน อย่าไปจริงจังมากเกินไป เพราะจะทำให้เกร็งและไม่สบายครับ ขอให้มีความสบายในการนั่ง อาการดังกล่าวจะไม่มีครับ

#13 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 July 2008 - 12:06 PM

cool.gif ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาช่วยกันหาวิธีทำให้ดิฉันหายสงสัย แต่เนื่องจากกระทู้มีรายละเอียดไม่มากพอจึงมีหลายท่านสงสัย ดิฉันก็เลยจะขออนุญาตนำคำตอบของท่านที่ตอบตรงเป๊ะกับเหตุที่เกิดขึ้นมาเป็นคำตอบนะคะ

เริ่มจากคุณหัดฝัน คุณเคยเข้าวัด และคุณSepp มีความสงสัยเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติของดิฉันในปัจจุบัน ซึ่งคำตอบของคุณเศรษฐีหน้าใส เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับดิฉันจริงๆ จึงรู้สึกเหนื่อย

ต้องขอขอบคุณนักรบผู้กล้าที่ได้เข้ามาระดมแนวทางปฏิบัติซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงของทุกๆท่าน ทั้งคุณ Tnawut คุณWir คุณHomer324 คุณWish คุณSuppy001

โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แบบ shot ต่อ shot ของคุณเด็กอนุบาลหน้าใสใจดี ขอยกนิ้วให้แก่ทุกท่านด้วยความนับถือ นับถือ อย่างจริงใจ ขออนุโมทนากับแนวทางความรู้ที่ได้นำมาแลกเปลี่ยนกัน ณ ที่นี้ ก็ขอให้ทุกท่านมีความก้าวหน้าในการนั่งธรรมะยิ่งๆขึ้นไปทุกๆท่านนะคะ ขอยืนยันว่าเป็นหลานหลวงปู่ คุณยายตัวจริงแน่นอน สาธุ สาธุ สาธุ nerd_smile.gif คงได้พบกันใหม่ค่ะ

#14 มัชฌิมา072

มัชฌิมา072
  • Members
  • 60 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 July 2008 - 07:05 PM

ชอบที่พี่ๆ เพื่อนๆ ตอบทุกท่านเลย...เก่งๆกันจัง สาธุค่า
พระอาจารย์ท่านสอนมาว่า..
เวลานั่งสมาธิ ให้นั่งเหมือนเด็กๆ เขานั่ง
คือไม่คิดอะไร ไม่อยากได้ผลยังไง ให้นั่งก็นั่ง
ให้นึกดวงแก้ว ก็นึก นึกไม่ถนัด ก็เปลี่ยนเป็นไข่ต้มบ้าง ลูกบอล หรืออะไรที่ชอบ
เด็กไม่ห่วงลูก ห่วงงาน ไม่นึกอะไร ใจก็ไม่ซัดส่าย
เขาถึงเห็นดวงแก้ว องค์พระ ง่ายยยยย...
มัชฌิมาก็นั่งแบบหนุกๆแบบนี้ ได้ผลนะคะ ลองดูสิ
นั่งดี แล้วก็จะชอบนั่ง เพราะนั่งแล้วอารมณ์ดี เวลาเข้ากลางได้คล่องๆ ก็สนุก
ไม่เคยเหนื่อย หรือ เบื่อเลยค่ะ


#15 usr16691

usr16691
  • Members
  • 61 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 August 2008 - 02:41 PM

ช่วงนี้ ก็นั่งสมาธิ ได้ไม่นิ่งเลยค่ะ แต่ก็ถือคติ แม้มืดตื้อ มืดมิด ก็มีสิทธิ เข้าถึงธรรม ค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ
Napas