ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

"โรคทางใจ"...เรื่องใกล้ตัว


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 3 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 kuna

kuna
  • Members
  • 780 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 21 February 2008 - 03:26 PM



นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ประจำคลีนิค เด็ก วัยรุ่น และครอบครัว โรงพยาบาลมนารมย์ เป็นแขกรับเชิญพูดคุยถึงปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยว่า มีการสำรวจไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่าเกือบ 70% ของคนไทยมีความเครียด และประมาณ 23% มีสุขภาพจิตถึงขั้นเจ็บป่วยเป็นโรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า สาเหตุของปัญหาหลักๆ เกิดมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ การเงิน การทำงาน ปัญหาสังคมและการเจ็บป่วยทางกาย บางรายพบว่ามีปัญหาถึงขั้นป่วยเป็นโรคจิต (ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยที่มีอาการประสาทหลอน เช่น หูแว่ว หวาดระแวง เป็นต้น) มากเป็นอันดับหนึ่ง และผู้ป่วยเหล่านี้เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วส่วนใหญ่จะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการพึ่งพาตนเองก่อน หรือพึ่งพาผู้อื่น แต่ไปใช้บริการจากภาครัฐและภาคเอกชนน้อยมาก นอกจากนี้ปัญหาเรื่องการใช้สารเสพติดมีจำนวนไม่น้อย ควบคู่กับการใช้ความรุนแรงในระดับครอบครัว และสังคมก็เป็นตัวที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีปัญหาสุขภาพจิตทั้งสิ้น

จิตแพทย์หนุ่มท่านนี้ระบุอีกว่า ปัจจุบันมีการยอมรับการบำบัดรักษาทางจิตเวชมากขึ้นกว่าในอดีต แต่การให้บริการของภาครัฐยังคงไม่เพียงพอเหมือนในอดีต จากนี้คนไทยอีกจำนวนมากแทบจะไม่มีความรู้ทางด้านสุขภาพจิตเลย ซึ่งการจะทำให้เกิดการตระหนักและยอมรับย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เมื่อประเทศมีความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ ผู้บริหารประเทศให้ความสำคัญด้านการพัฒนาเศรษฐกิจมาก (เกินไป) ก็มิได้หมายความว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศจะดีตามไปด้วย

"คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการมีความสุข หรือคุณภาพชีวิตที่ดี หมายถึงการมีวัตถุสามารถอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตมากๆ มีเงินทองมากเท่าไรยิ่งหมายถึงมีความสุขมากเท่านั้น รวมทั้งการที่มีคนรอบข้างคอยให้ความรัก ความเอาใจใส่ในตัวเรามากก็แสดงถึงเรามีความสุขมาก ทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ได้รับมาจากภายนอก แต่มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา ความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจของเราเอง ซึ่งสามารถสร้างได้จากการ "ให้" มากกว่าการ "รับ" เช่น ให้สิ่งดีๆ กับผู้อื่นหรือการเป็นผู้มีความเมตตา กรุณาต่อผู้อื่นนั่นเอง"

นพ.กัมปนาทกล่าวถึงทางเลือกซึ่งเป็นทางออกว่า ความจริงเรื่องสำคัญคือสิ่งที่อยู่ในใจหรือความคิดของเรา เช่น การรับรู้ต่างๆ ที่มีต่อโลกและตัวเรา ไม่ว่าช่วงที่มีปัญหาหรือไม่มีปัญหาก็ตาม "การมองโลกในแง่ที่เป็นบวก" ทำให้ความคิดในทางบวก (positive thinking) คงอยู่อย่างสม่ำเสมอ มิใช่เรื่องง่าย ปัญหาเบื้องต้นที่มักทำให้เราเกิดความเครียดเสมอๆ ก็คือการที่มองสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเราเป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือมองในแง่ลบ (negative thinking) บางคนก็มองตนเองในแง่ลบ ด้วย แน่นอนคนที่มองแบบนี้ย่อมนำมาซึ่งปัญหาทางใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากปัญหาที่เกิดขึ้นจากความคิดแล้ว ยังมีปัญหาอีกมากมายที่เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ความผิดปกติในสมอง ปัญหาจากครอบครัวและสังคมสิ่งแวดล้อมก็ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อการเจ็บป่วยทางใจได้ทั้งสิ้น

คุณหมอกัมปนาทเสริมว่า ปัญหาของโรคทางใจทั้งหลายมาจากหลายสาเหตุ ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย คือเมื่อมีโรคทางใจหรือโรคทางจิตเวชเกิดขึ้นกับใครสักคนหนึ่ง จะพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นต่อการทำงานของสมองด้วย ที่เรียกว่าสารสื่อประสาทในสมอง (Neurotransmitter) คล้ายๆ กับการเป็นโรคทางกายนั่นเอง เนื่องจากสมองก็ถือว่าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง

สำหรับการรักษาโรคทางใจรักษาหายหรือไม่ นพ.กัมปนาทบอกว่า คำว่า "โรค" สามารถรักษาได้ แม้ไม่หายเป็นปกติ ขึ้นอยู่กับความคาดหวังที่แตกต่างกันของแต่ละคน ปัญหาที่ต้องแก้ก็คือ การทำอย่างไรให้คนที่เจ็บป่วยหรือผู้ที่ใกล้ชิดกับคนที่เจ็บป่วยเห็นความสำคัญของการรักษา ซึ่งหมายถึงการรักษาที่ถูกวิธี มีความต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันแม้ศาสตร์ทางการแพทย์จะมีความเจริญก้าวหน้าไปมากพอสมควร แต่ยังมีศาสตร์อื่นๆ พยายามทำตัวแข่งขันด้วยความต้องการทางผลประโยชน์ต่างๆ เช่น ไสยศาสตร์ที่ยังยากต่อการพิสูจน์ เกิดจาก "การไม่รู้ หรือขาดความรู้ที่ถูกต้อง" เป็นอุปสรรคสำคัญอันหนึ่ง แต่อุปสรรคสำคัญที่สุดก็คือ "การยอมรับว่าโรคทางใจนั้นเป็นโรคหรือปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน" บางคนมองว่าการไปพบแพทย์ จิตแพทย์ หรือรับการบำบัดรักษาทางด้านจิตใจนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็น "คนบ้า" ทั้งๆที่อาจจะยังไม่รู้เลยว่าคำว่า "บ้า" นั้นเป็นอย่างไร จึงทำให้เกิดความกลัว ความรังเกียจและไม่ยอมรับในการเป็นผู้มีปัญหาทางใจ ซึ่งก็จะปล่อยไว้ให้อาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเกิดความสูญเสียอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขหรือสายเกินแก้เสียแล้ว

"ถึงเวลาแล้วหรือยังคนไทยจะหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพจิตตัวเองและบุคคลอยู่รอบข้างคุณ อย่าลืมไม่ว่าปัญหาเกิดที่ตัวคุณหรือเกิดรอบๆ ตัวคุณก็ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวคุณและคนรอบข้างในไม่ช้า แม้ไม่ใช่ทางตรงก็อาจจะโดยทางอ้อมก็ได้ อย่ามองว่าธุระไม่ใช่ และโยนความผิดไปให้ใครคนใดคนหนึ่ง เพราะบางทีความผิดที่โยนกันไปโยนกันมานั้นก็อาจจะกลับมาส่งผลเสียให้กับตัวเองในที่สุด" นพ.กัมปนาทกล่าวเตือน


#2 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 February 2008 - 08:04 PM

good...Sa Thu

#3 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 February 2008 - 10:40 PM

สาธุครับ

พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#4 Thesun

Thesun
  • Members
  • 46 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:londoon,germany
  • Interests:สมาธิ

โพสต์เมื่อ 28 February 2008 - 10:33 PM

คนไทยห่างจากคำสอนในพระพุทธศาสนามากขึ้น ทั้งๆทีเป็นศาสนาทีมีคำสอนเนื่องจิตใจมากที่สุด เอาบุญมาฝากครับ

เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี  สิ่งที่เราทำย่อมเป็นของเรา  ทำทั้งทีทำให้ปลื้ม