ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

กัลยาณมิตรของพระยามิลินท์


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
ไม่มีการตอบกลับในกระทู้นี้

#1 phani

phani
  • Admin_Article_VDO
  • 425 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 27 September 2014 - 12:29 PM

กัลยาณมิตรของพระยามิลินท์
 
แนบไฟล์  2.jpg   25.86K   14 ดาวน์โหลด
 
       มีเรื่องเล่าว่า พระยามิลินท์ จอมราชาแห่งสาคลราชธานี ท่านเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ทางด้าน
 ภูมิปัญญา เที่ยวถามปัญหากับผู้รู้ทั้งในที่ใกล้ และที่ไกล แม้แต่ในเมืองของพระองค์เอง ก็ไม่มีใครสามารถตอบโต้วาทะของพระองค์ได้ เป็นเหตุให้ในเมืองนั้นว่างจาก สมณพราหมณ์ผู้รู้ถึง 12 ปี จนกระทั่งพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่า อัสสคุตตเถระ ท่านเห็นเหตุที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมโทรม เพราะการกระทำของพระยามิลินท์จึงให้ประชุมสงฆ์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น จำนวนมากถึง 100 โกฏิ แล้วเอ่ยถามท่ามกลางที่ประชุมว่า
 ใครสามารถตอบโต้วาทะกับพระยามิลินท์หรือว่าสามารถทำให้พระยามิลินท์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้บ้างพระอัสสคุตตเถระเอ่ยถามถึง 3 ครั้ง พระอรหันต์ทั้งหลายพากันนิ่ง ไม่มีองค์ใดรับวาจา จึงปรึกษากัน และลงความเห็นว่าให้ไปอัญเชิญมหาเสนเทพบุตร ซึ่งมีบุญเก่าที่เคยร่วมสร้างกันมากับพระยามิลินท์ เทพบุตรองค์นั้นมี สติปัญญาสามารถแก้ปัญหาของพระยามิลินท์ กอบกู้พระศาสนาไว้ได้
 
         เมื่อลงความเห็นกันแล้ว พระอรหันต์จำนวนถึง 100 โกฏิ จึงพากันขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 ท้าวสักกะเห็นพระอรหันต์มาเป็นจำนวนมาก จึงเข้าไปถามว่า "พระผู้เป็นเจ้าพากันมามากมายมหาศาล
 อย่างนี้มีจุดประสงค์อะไร บอกโยมหน่อยเถิด" พระเถรเจ้าจึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระยามิลินท์ให้ท้าวสักกะฟังและประสงค์จะกอบกู้พระศาสนา ท้าวสักกะจึงบอกว่า เห็นทีจะมีแต่มหาเสนเทพบุตรผู้เดียวเท่านั้นจึงอาราธนาคณะสงฆ์ไปหาเทพบุตรถึงวิมานบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง
 
แนบไฟล์  289632_385301171537550_693653903_o.jpg   63.74K   16 ดาวน์โหลด
 
          ครั้งแรกที่ได้รับรู้ มหาเสนเทพบุตรปฏิเสธถึง 3 ครั้ง เนื่องจากยังไม่รู้ถึงหน้าที่ของตัวเอง เมื่อ
 มิอาจจะเลี่ยงได้จึงกล่าวขึ้นว่า หากลงไปเกิดขอให้มีปัญญาสามารถแก้ปัญหาทุกๆ อย่างได้ และให้พระยามิลินท์สิ้นความสงสัยได้ เหล่าพระอรหันต์ท่านรับรองว่าจะเป็นอย่างนั้น เทพบุตรจึงรับปากพระอรหันต์พอรู้ว่าเทพบุตรผู้มีบุญรับปากแล้ว จึงอันตรธานจากเทวโลกลงมาประชุมกันต่อ เพื่อคัดสรรผู้ที่จะรับหน้าที่ประคับประคอง เป็นกัลยาณมิตรให้เทพบุตรออกบวช จนบรรลุวัตถุประสงค์ของการลงมาเกิด
 
         พระอัสสคุตตเถระผู้เป็นประธานสงฆ์จึงถามว่า เมื่อคณะสงฆ์ประชุมกันเพื่อกิจของพระศาสนา
 มีใครบ้างที่ขาดประชุม ตอนนั้นมีพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อว่า พระโรหณเถระ ท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ที่
 หิมวันตบรรพตได้ 7 วันแล้ว จึงขาดประชุมในวันนั้น พระเถระรู้วาระจิตของพระอรหันต์ทั้งหลายว่า
 คณะสงฆ์ต้องการพบตัว จึงอันตรธานจากที่นั้นไปปรากฏในท่ามกลาง พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายจึงถามพระโรหณะว่า พระศาสนาของ สมเด็จพระทศพลทรุดโทรมลง ทำไมท่านไม่เอาใจใส่กิจของสงฆ์ จิตใจจะปล่อยให้ศาสนาทรุดโทรมลงอย่างนั้นหรือ
 
          พระโรหณะบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่ เหล่าพระอรหันต์จึงได้ลงพรหมทัณฑ์ท่านว่า ตัวท่านเองไม่ได้ประพฤติผิดสังฆกรรมหรอก แต่ด้วยเหตุที่ไม่สนใจกิจการงานส่วนรวม เราทั้งหลายขอลงโทษท่านขอให้ท่านไปบิณฑบาตที่บ้านโสณุตตรพราหมณ์ในหมู่บ้านกชังคละทุกๆ วัน อย่าได้ขาด พราหมณ์นั้นจะมีลูกชายคนหนึ่งชื่อนาคเสนกุมาร ท่านจงไปบิณฑบาตทุกๆ วัน จนกว่าจะอายุได้ 7 ปี 10 เดือน แล้วคิดอ่านเอานาคเสนกุมารออกบวชให้ได้ เพราะนาคเสนกุมารนั้นจะเป็นทหารเอกของ สมเด็จพระทศพลผู้จะกอบกู้พระศาสนา
 
             พระโรหณเถระจึงรับคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ฝ่ายมหาเสนเทพบุตร เมื่อจุติจากเทวโลกลงมาเกิดเป็นลูกของพราหมณ์ นับแต่วันนั้นมาพระโรหณเถระท่านเดินบิณฑบาตไปที่บ้านของพราหมณ์ทุกๆ วันจนกระทั่งครบ 7 ปี 10 เดือนไม่ขาดแม้แต่วันเดียว และไม่เคยได้รับการไหว้ หรือการใส่บาตรจากพราหมณ์เพราะพราหมณ์ไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ด้วยหัวใจของยอดกัลยาณมิตร ท่านก็ทำหน้าที่ด้วย
 จิตใจที่เบิกบานผ่องใสจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านได้ฟังถ้อยคำของพราหมณีพูดว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
 จงหลีกไปเถิด"
 
            เมื่อพระเถระได้ฟังถ้อยคำเท่านี้ ก็สะพายบาตรเปล่าเดินจาก สถานที่นั้น เดิน สวนทางกับพราหมณ์พราหมณ์ก็ถามท่านว่า "ท่านได้อะไรมาบ้าง" ก็ตอบว่า "ได้สิพราหมณ์ เราได้หน่อยเดียวเท่านั้น" พราหมณ์ไม่ศรัทธาอยู่แล้วจึงเกิดความฉุนเฉียว กลับไปถามคนในบ้านว่า มีใครให้ของไปหรือเปล่า ทุกๆ คนตอบเหมือนกันว่าไม่มีใครให้ พ่อของนาคเสนกุมารยิ่งหมดศรัทธา หาว่าพระโกหก จึงคิดจะต่อว่าท่านในวันรุ่งขึ้น
 
 
             ครั้นรุ่งขึ้นอีกวัน พระเถระเดินมาบิณฑบาตหน้าบ้านพราหมณ์เหมือนเดิม พราหมณ์รออยู่แล้ว
 จึงเดินเข้าไปต่อว่าทันทีว่า "ท่านทำไมโกหกอย่างนี้ เมื่อวานไม่มีใครสักคนใส่บาตรท่านเลย แล้วยังมีหน้าว่าได้หน่อยหนึ่ง" พระเถระท่านก็นิ่งๆ แล้วเอ่ยวาจาตอบพราหมณ์ว่า "ท่านพราหมณ์ อาตมามาบิณฑบาตที่นี่ถึง 7 ปี กับ 10 เดือนแล้ว จังหันสักทัพพีหนึ่งก็ไม่เคยได้เลย คำพูดแม้สักคำก็ยังไม่เคยได้ ท่านเห็นเราเข้าก็ทำหน้าบึ้งตึง แต่เมื่อวานนี้พราหมณีพูดกับเราว่า จงหลีกไปเถิด อาตมาได้ฟังถ้อยคำๆ นี้ของนาง จึงได้พูดกับท่านเมื่อวานนี้ว่า ได้หน่อยหนึ่ง อาตมาจะกล่าวมุสาได้อย่างไร"
 
       พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นจึงเกิดความเลื่อมใสว่า สมณะรูปนี้ แม้ได้ฟังถ้อยคำเท่านี้ยังดีใจ หากได้
 มากกว่านี้ คงจะ สรรเสริญมากกว่านี้ จึงร้องเรียกให้ภรรยาเอาของมาใส่บาตร ยิ่งพอใกล้ชิด เห็นความ
 สงบสำรวมอินทรีย์ของพระเถระ ก็ยิ่งเพิ่มพูนความศรัทธามากขึ้น จึงอาราธนานิมนต์ให้ท่านมาฉันที่บ้านทุกๆ วัน กว่าที่จะเข้าสู่บ้านของพราหมณ์ได้ ต้องใช้หัวใจของยอดกัลยาณมิตร อดทนอย่างมาก
 
        นี่เพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้เจอกับนาคเสนกุมาร นาคเสนกุมารเป็นเด็กที่มีปัญญามาก
 เพียงอายุ 7 ขวบ ก็เล่าเรียนเขียนอ่านกับครูอาจารย์ของฝ่ายพราหมณ์ ฟังเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นาคเสนกุมารก็จำได้หมด จนหมดความรู้ของฝ่ายพราหมณ์ ถึงกับถามพราหมณ์ว่า ความรู้ของพวกเรามีเท่านี้เองหรือ พ่อของนาคเสนกุมารก็บอกว่า หมดแล้วลูกเอ๋ย เดี๋ยวพ่อจะแสวงหาครูมาให้ นาคเสนกุมารเดินลง
 จากปราสาท นั่งรำพึงรำพันอยู่คนเดียวว่า ความรู้ที่เราเรียนมาว่างเปล่าเหมือนอากาศ หาสาระแก่นสาร
 ที่แท้จริงไม่ได้ ไม่สามารถทำให้พ้นจากโลกไปได้เลย
 
           ฝ่ายพระโรหณเถระ ทราบความคิดของนาคเสนกุมาร จึงอันตรธานจากวิหารมาปรากฏตรงหน้า
 พร้อมกับบอกว่า ศิลปศาสตร์ในพุทธศาสนานั้น อุดมล้ำเลิศกว่าความรู้ใดๆ ในโลก นาคเสนเป็นคนใฝ่รู้ จึงออกบวช ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนปริยัติจนแตกฉาน อีกทั้งตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นก็ทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระศาสนา คือเป็นตัวแทนของภิกษุสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลมาโต้วาทะกับพระยามิลินท์ จนได้ชัยชนะ ทำให้พระยามิลินท์ออกบวชตาม และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
 
           เราจะพบว่า คนมีบุญมีปัญญา แม้แต่จอมปราชญ์อย่างพระนาคเสน ยังต้องมีกัลยาณมิตรผู้ยิ่งใหญ่อย่างพระโรหณเถระ ที่ท่านใช้ความอดทนเพียรพยายามถึง 7 ปี กับ 10 เดือน ถึงจะได้เพชรเม็ดงามของพระศาสนา หน้าที่ที่พวกเรากำลังทำอยู่นี้ เป็นหน้าที่ที่จะให้แสงสว่างแก่โลก ดังนั้น อย่าเพิ่งท้อ ดูอย่างพระเถระ ท่านอดทนแบบไม่ต้องอดทน เพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่ เป็นบุญเป็นบารมี ทำงานไปใจก็หยุดนิ่งอยูในกลางตลอดเวลา ดูอย่างท่านแล้ว ให้เอาอย่างท่าน เราจะได้เป็นยอดนักสร้างบารมีที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง