ไปที่เนื้อหา


Suphatra

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 26 May 2018
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Jul 19 2018 02:31 PM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

ทำพรุ่งนี้สำเร็จพรุ่งนี้ บทที่ 2

02 June 2018 - 11:12 AM

ทำพรุ่งนี้สำเร็จพรุ่งนี้
ตอน สำเร็จได้ด้วย กฎการทำงาน 2 นาที
 
     เราจะแก้ไขนิสัยที่ขัดขวางการบริหารเวลาอย่างการผัดวันประกันพรุ่งได้อย่างไร มีคนนำเสนอเรื่อง  กฎ 2 นาที โดยมีหัวใจหลัก คือ  อะไรก็ตามที่เรานึกขึ้นได้ว่า เราจะต้องทำ และหากมันเป็นงานที่ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีให้ทำทันที
 
     ในช่วงเวลา 2 นาทีนั้น เพียงเราคิดอะไรเพลินๆ หรือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแชทก็หมดเวลาแล้ว ดังนั้น หากงานนั้นใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที  ให้ลงมือทำทันที เช่น เราจะติดต่อมอบหมายงานอะไรให้ใครทำ หรือตอบอีเมลลูกค้า ก็คงไม่ใช้เวลานานเกิน 2 นาที ดังนั้น ให้ทำมันเลย
 
     พอทำได้อย่างนี้เราจะพบว่า งานที่เคยคั่งค้างอยู่มันหายไปเพราะความจริงแล้วงานจำนวนมาก ร้องละเก้าสิบที่ค้าง ๆ อยู่นั้นแต่ละงานใช้เวลาไม่มากเลย แต่เรากลับผัดวันประกันพรุ่ง งานเล็ก ๆ เหล่านี้ จึงกองทับถมกันไปเรื่อย ๆ จนทำให้เรารู้สึกว่า มีงานมากจนกลายเป็นภาระหนักในใจ ทั้งที่พอหยิบออกมาดูรายละเอียดจริง ๆ ใช้เวลาสะสางไม่นานก็เสร็จ
 
     มีความจริงเกี่ยวกับการผัดวันประกันพรุ่งซึ่งคนส่วนใหญ่เคยเป็น นักเรียนจะยิ่งเห็นได้ชัด ถ้าเราไม่ผัดวันประกันพรุ่งตั้งแต่เปิดเรียนวันแรก พอกลับมาถึงบ้าน หยิบการบ้านออกมาดูแล้วลงมือทำเลย พรุ่งนี้มีเรียนอะไรก็หยิบออกมาอ่าน เตรียมบทเรียนก่อนล่วงหน้า จัดกระเป๋าทุกอย่างให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนนอน ก่อนจะไปเรียนในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะเรียนวิชาอะไร เนื้อหาคราวที่แล้วเราเนียนถึงไหน เรารู้หมดแล้ว หากนักเรียนมีการเตรียมตัวเตรียมใจที่ดีอย่างนี้รับรองว่า ผลการเรียนดีแน่นอน
 
     นักเรียนบางคนชอบผัดวันประกันพรุ่ง พอเช้าก็ตาลีตาลานมาทำ จะถึงเวลาส่งการบ้านอยู่แล้ว ยังยืมการบ้านเพื่อนมาลอกอยู่เลยทำแค่พอให้ทันส่ง หรือบางคนพอจะสอบ ก็ดูหนังสือจนนาทีสุดท้ายแล้วผลสอบออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร
 
     การทำงานต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ผัดวันประกันพรุ่งงานไหนที่ต้องทำก็เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ แล้วลงมือทำให้เสร็จก่อนอย่างนี้ไม่เครียด เพราะทำทุกอย่างสบายๆ แต่คนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงการทำอย่างนี้และชอบผัดวันประกันพรุ่ง
 
     คนผัดวันประกันพรุ่งไม่ใช่คนที่ไม่ทำอะไรเลย เช่น เด็กๆ ที่ไม่ทำการบ้าน ไม่ใช่ว่าเขานั่งๆ นอนๆ ทั้งคืน แต่เขามักจะเลี่ยงไปทำอย่างอื่นที่ตนเองอยากทำ เช่น ไปเล่นกีฬา ออกไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือนิยายที่ตนเองชื่นชอบ แล้วแต่ว่าใครชอบอะไรเขาจะไปทำสิ่งนั้น แต่งานที่ควรทำกลับเอาไว้ก่อน รอจนไฟลนก้นแล้วค่อยทำ
 
     เชื่อหรือไม่ว่า เด็กที่ชอบอ่านหนังสือนิยาย ถ้าเปลี่ยนมาเรียนวิชาวรรณคดี แล้วอาจารย์เอาหนังสือนิยายมาให้อ่านเป็นการบ้านเขาจะอ้างว่า นิยายเล่มนี้พักไว้ก่อน เขาจะไปทำอย่างอื่นที่อาจารย์ไม่ได้สั่ง
 
     ส่วนอีกคนที่ให้ทำงานอื่นแล้วไม่ทำ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อย ถ้าอาจารย์ให้การบ้านว่า ให้ไปอ่านหนังสือพิมพ์แล้วสรุปมาผลคือเขาจะเอาหนังสือพิมพ์ไปเก็บ แล้วลุกไปทำอย่างอื่นแทน
 
     สำหรับคนที่ชอบท่องโลกอินเทอร์เน็ต ดูอะไรไปเรื่องเปื่อยถ้าเขาได้รับมอบหมายให้เก็บข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งในอินเทอร์เน็ตเขาจะปิดคอมพิวเตอร์แล้วหันไปทำอย่างอื่นก่อนทันที
เหล่านี้เป็นเรื่องจิตวิทยาของคนผัดวันประกันพรุ่งที่มีความรู้สึกว่า สิ่งที่ถูกบังคับให้ทำ ใจมันไม่ชอบ จึงมักจะเลี่ยงไปทำอย่างอื่นที่ไม่มีใครมาบังคับ แต่ตนเองอยากทำแทน
 
จากหนังสือ 24 ชั่วโมงที่ฉันหายใจ
โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
(สมชาย ฐานวุฑโฒ)
 

ทำพรุ่งนี้สำเร็จพรุ่งนี้ บทที่ 1

02 June 2018 - 11:00 AM

ทำพรุ่งนี้ สำเร็จ พรุ่งนี้
ตอน เทคนิคการขจัดนิสัยผิดวันประกันพุ่ง
 
     ไม่ว่าจะทำงานอะไร เรามักจะได้ยินคำว่า  เดี๋ยวก่อน  อยู่เสมอ ทำให้เลื่อนการทำงานออกไปอีก พอใกล้ถึงเวลาส่งงานค่อยกลับมาทำ เป็นไฟลนก้น แล้วจึงเกิดความเครียดขึ้นมา
 
     เทคนิคการขจัดนิสัย  ผัดวันประกันพรุ่ง
 
     สาเหตุที่คนเราชอบผัดวันประกันพรุ่ง
 
     การผัดวันประกันพรุ่งนั้น บางครั้งสำหรับบางคนเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวตามสถานการณ์ แต่สำหรับบางคนเกิดขึ้นเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัย ซึ่งมีสาเหตุหลัก 4 สาเหตุ ด้วยกัน
 
     สาเหตุที่ 1 ไม่มีวินัยในการทำงาน  คนลักษณะนี้มักจะขอเลื่อนกำหนดเส้นตายออกไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักจัดลำดับงานก่อนหลัง เช่น บางคนตอนเรียนหนังสือ ในระหว่างภาคการศึกษายังไม่อยากอ่านหนังสือ ขอผัดวันไปอ่านหนังสือตอนใกล้สอบ อ้างว่าทำให้จดจำทุกอย่างได้ แต่กลับกลายเป็นว่า พอถึงเวลาใกล้สอบ ก็อ่านหนังสือไม่ทันเพราะไฟลนก้น รู้สึกกระวนกระวายไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลัง ในที่สุดก็อ่านหนังสือไม่ทัน หรืออ่านได้ไม่เท่าที่ตนเองเคยตั้งใจไว้ ปรากฏว่าผลสอบออกมาไม่ดี พอเข้าสู่เทอมใหม่ก็ซ้ำรอยเดิมอีก
 
     สาเหตุที่ 2 มัวแต่ศึกษาค้นคว้า  มีคนประเภทหนึ่งชอบนึกว่าตนเองจะทำงานได้ไม่สำเร็จ จึงขอผลัดการทำงานออกไปก่อนเพื่อศึกษาดูรายละเอียดของงาน พอถึงเวลาไม่ได้ลงมือทำสักทีเพราะมัวแต่ศึกษา เลื่อนการทำงานนั้นออกไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนดที่ชัดเจนงานจึงเสร็จไม่ทันเวลา
 
     สาเหตุที่ 3 ไม่ชอบงานที่ทำ  บางคนไม่ชอบงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ว่าต้องจำใจทำ เช่น บางคนอาจจะชอบเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่บางครั้งถูกมอบหมายให้ทำงานเอกสารพอตนเองไม่ชอบงานนั้น จึงไม่อยากทำ เกิดอาการผัดวันประกันพรุ่งงานก็ยิ่งคั่งค้างกลายเป็นดินพอกหางหมูไปใหญ่
 
     สาเหตุที่ 4 รอคอยความพร้อม หลายคนอยากให้งานออกมาสมบูรณ์แบบ แต่สำหรับบางคนกว่างงานจะออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดได้นั้น เขามักจะรอให้ความพร้อมทุก ๆ ด้านเกิดขึ้นก่อนจึงลงมือทำ ซึ่งถือว่าเป็นการผัดวันประกันพรุ่งอีกรูปแบบหนึ่ง
 
     จริงๆ แล้วถ้างานยังไม่สมบูรณ์ เราก็ต้องค่อยๆ ลงมือทำไปเรื่อยๆ แล้วแก้ไขไปตามขั้นตอน แต่ถ้ามัวแต่รอความพร้อมทุกๆ ด้าน งานนั้นก็จะไม่เสร็จ ความจริงการรอคอยความพร้อมนี้คือข้ออ้างเพื่อยืดเวลาให้กับสิ่งที่เขาไม่อยากทำ
 
 
จากหนังสือ 24 ชั่วโมงที่ฉันหายใจ
โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
(สมชาย ฐานวุฑโฒ)
 

รู้หรือไม่ เรื่องเวลา เป็นเรื่องใหญ่ บทที่ 3

01 June 2018 - 10:41 AM

รู้หรือไม่ เรื่องเวลาเป็นเรื่องใหญ่
ตอน เวลาใด สำคัญที่สุด และใครคือบุคคล สำคัญที่สุด
 
     ในอดีตมีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงอยากรู้ว่า เวลาตอนไหนสำคัญที่สุด ใครคือบุคคลสำคัญที่สุด และภารกิจที่พระองค์ควรทำที่สุดคืออะไร
 
     พระราชาป่าวประกาศว่า ถ้าใครตอบคำถามได้จะมีรางวัลให้ประชาชนต่างเข้ามาตอบคำถามพระองค์กันมากมายหลากหลายคำตอบแต่พระราชาก็ยังไม่ถูกใจแม้คำตอบเดียว
 
     พอพระราชาได้ฟังว่า มีฤๅษีตนหนึ่งฉลาดมากอาศัยอยู่ในป่าพระองค์จึงต้องการจะไปถามคำถามนี้กับฤๅษี ขณะที่พระองค์เดินทางไปกับอำมาตย์ราชบริพาร พอถึงเชิงเขาทรงรับสั่งให้ทุกคนรออยู่ข้างล่าง เพื่อไม่ให้ขึ้นไปรบกวนความสงบของท่านฤๅษี
 
     พระราชาแต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดา เสด็จขึ้นเขาไปเพียงพระองค์เดียว พอเห็นฤๅษีกำลังขุดดินอยู่ พระราชาไม่รอช้าทรงตรัสถามคำถามทันที ฤๅษีได้ยินก็ยังขุดดินต่อไป ไม่สนใจพระราชาเลยพระองค์จึงตรัสถามย้ำต่อไปอีกว่า ข้าพเจ้าอยากรู้ว่า เวลาใดสำคัญที่สุด ใครคือบุคคลสำคัญที่สุด และภารกิจใดสำคัญที่สุด  พอพระราชาถามจบ ฤๅษีก็ยังนิ่งไม่พูดอะไรและขุดดินต่อไป
 
     พระราชาเห็นฤๅษีมีอายุมากแล้วจึงตรัสว่า ข้าพเจ้าจะช่วยท่านขุดดินก็แล้วกัน พระองค์ทรงคิดว่า ฤๅษีกำลังกังวลเรื่องขุดดินจึงไม่ตอบคำถามของพระองค์
 
     พระราชาช่วยฤๅษีขุดดินอยู่เป็นชั่วโมง ฤๅษีชอบใจจึงนั่งลงพอพระราชาขุดดินได้มากพอสมควร แล้วจึงเอ่ยถามฤๅษีอีกครั้งว่า  ข้าพเจ้ามาที่นี่เพราะอยากรู้ว่า เวลาใดสำคัญที่สุด ใครคือบุคคลสำคัญที่สุด และภารกิจอะไรสำคัญที่สุด ถ้าท่านตอบไม่ได้ก็ขอให้บอกมาตรงๆ ข้าพเจ้าจะได้กลับ
 
     ฤๅษีไม่ได้ตอบพระราชา แต่กลับพูดขึ้นว่า ได้ยินเสียงฝีเท้าไหน มีคนกำลังวิ่งมาทางนี้  พระราชาตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าก็เห็นด้วยไม่ช้าทั้งสองก็เห็นคนหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซเข้ามาหา ขาเอามือกุมท้อง มีเลือดไหลซึมตามร่องนิ้วมือ พอเข้ามาใกล้เขาก็ล้มลงไปที่พื้น
 
     พระราชาเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงเห็นบาดแผลที่ท้องน้อย รีบนำผ้ามาห้ามเลือด แล้วทำแผลให้จนชายคนนี้รอดตายอย่างหวุดหวิด
 
     พอเขาฟื้นขึ้นมาพบว่า พระราชาเป็นคนช่วยชีวิตตนเองเอาไว้จึงสารภาพว่า พี่ชายของตนเองตายในการรบกับพระราชาเมื่อปีก่อนทรัพย์สมบัติถูกริบไปจนหมดตัว จึงผูกอาฆาตแค้นพระราชามาก พอรู้ข่าวว่า พระราชาจะมาหาฤๅษีบนเขานี้เพียงลำพัง เห็นเป็นโอกาสจึงจะมาดักลอบทำร้ายพระองค์
 
     พอตนเห็นฝ่ายพระราชาอยู่บนเขาเป็นชั่วโมง ไม่ยอมลงไปสักทีจึงคิดจะลุยฝ่าขึ้นมา เจอทหารองครักษ์อยู่ที่เชิงเขาจึงต่อสู้กันจนตนเองถูกอาวุธต้องหนีตายขึ้นมา แต่พระราชากลับมีเมตตาช่วยชีวิตเอาไว้ นับแต่นี้ไปจะไม่ขอถือโทษอาฆาตพยาบาทพระราชาอีกแล้ว แต่จะขอสวามิภักดิ์ถวายความจงรักภักดีตลอดไป
 
     เมื่อพระราชาได้ยินก็ดีใจ จึงให้รางวัลด้วยการคืนทรัพย์สมบัติของชายคนนี้ที่ถูกริบไปคืนให้หมด แล้วเพิ่มทรัพย์สมบัติให้ด้วย จากนั้นพระราชาจึงหันมาถามฤๅษีอีกครั้งว่า แล้วท่านฤๅษีจะตอบคำถามข้าพเจ้าได้หรือไม่ว่า  เวลาใดสำคัญที่สุด ใครสำคัญที่สุด และภารกิจอะไรสำคัญที่สุด
                     
                                        เวลาใดสำคัญที่สุด
                                                                    ใครสำคัญที่สุด
 
ภารกิจอะไรสำคัญที่สุด
 
 
ฤๅษีตอบพระราชาว่า
ตอนที่ข้าพเจ้าขุดดิน เวลาขณะที่ขุดดินอยู่นั้น
คือ เวลาสำคัญที่สุด
และตัวข้าพเจ้า คือ คนสำคัญที่สุดแล้วภารกิจสำคัญที่สุด คือ การขุดดิน
 
แต่เมื่อพระองค์เจอชายคนที่ถูกอาวุธมา 
เวลาขณะนั้น คือ เวลาสำคัญที่สุดแล้ว
และ บุคคลสำคัญที่สุด
คือ คนที่กำลังจะตายเพราะถูกแทงด้วยอาวุธแล้วภารกิจสำคัญที่สุด คือ การช่วยชีวิตเขา
 
     โดยสรุป เวลาปัจจุบัน คือ เวลาสำคัญที่สุด เราอย่ามัวเสียเวลาไประลึกนึกถึงอดีต แล้วมัวพร่ำรำพัน หรือ ฟุ้งฝันถึงอนาคตจนเกินไป เอาตัวเราอยู่กับปัจจุบัน
 
     บุคคลสำคัญที่สุด คือ บุคคลที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย  ถ้าไม่ยุ่งกับใคร โดยมีสติอยู่กับตนเอง แล้วทำงานที่เราทำอย่างดีที่สุด หากจะต้องพูดจาหรือติดต่อสัมพันธ์กับใคร คนนั้น คือคนสำคัญที่สุดกับเราในขณะนั้น จงจดจ่ออยู่กับเขา พอเขาพูดให้ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด ไม่ใช่คุยกับคนนี้แต่ใจไปนึกถึงเรื่องอื่น เขาพูดอะไรไม่รู้เหมือนใจฟุ้งซ่านคุยไปเรื่อยเปื่อย แต่เขา คือ บุคคลสำคัญที่สุด ให้จดจ่อฟังอย่างตั้งใจ ปฏิสัมพันธ์ด้วยอย่างตั้งใจและมีสติ
 
ภารกิจสำคัญที่สุด คือ
สิ่งที่เราลังทำอยู่ในขณะนั้น
 
จากหนังสือ 24 ชั่วโมงที่ฉันหายใจ
โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
(สมชาย ฐานวุฑโฒ)

รู้หรือไม่ เรื่องเวลา เป็นเรื่องใหญ่ บทที่ 2

01 June 2018 - 10:03 AM

รู้หรือไม่ เรื่องเวลา เป็นเรื่องใหญ่
ตอน หน้าที่หลักที่ควรถูกกำหนด
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดหน้าที่ของพระองค์ไว้ 3 ประการคือ 
 
     โลกัตถจริยา พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลก
 
     ญาตัตถจริยา พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อหมู่ญาติ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ไม่ทิ้งหมู่ญาติ จึงให้การดูแลเป็นพิเศษ
 
     พุทรัตถจริยา พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของหมู่สงฆ์ทั้งหลาย
 
     พอกำหนดบทบาทตนเองชัดเจน เราจะสามารถแบ่งเวลาเพื่อทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้ เพราะคนแต่ละคนมีหลายบทบาทบางคนทำงานในบริษัทมีหน้าที่เป็นผู้จัดการบ้าง เป็นหัวหน้าแผนกบ้างหรือเป็นเจ้าหน้าที่ในแผนกต่างๆ บ้าง ถือว่าเป็นหน้าที่การงานของเราอย่างหนึ่ง
 
     พอกลับมาบ้านแล้ว เรายังมีอีกหนึ่งบทบาท คือ บทบาทของพ่อแม่ พี่น้อง หรือลูกที่เราต้องทำหน้าที่นี้ด้วย บางคนยังมีหน้าที่อื่นๆ ทางสังคมร่วมด้วย เช่น ช่วยงานมูลนิธิ งานการกุศล งานสาธารณประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น
 
     เราควรพิจารณาว่า ตนเองมีบทบาทหลักๆ อะไรบ้าง แล้วกำหนดสิ่งที่ต้องทำในแต่ละบทบาท พร้อมกับแบ่งเวลาให้ดี ถ้าทำได้อย่างนี้ การบริหารเวลาของเราก็จะลงตัว
 
     บทบาทในฐานะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อโลก พระองค์ทรงแบ่งไว้ 5 หน้าที่ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว คือ 
 
     ยามเช้า พระองค์ทรงเสด็จบิณฑบาตโปรดสัตว์โลกอย่างหนึ่ง
 
     ยามเย็น พระองค์ทรงแสดงธรรมให้มหาชนทั้งหลาย
 
     พลบค่ำ พระองค์ทรงให้โอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ ทำหน้าที่ในฐานะประมุขของสงฆ์ เมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้นพระองค์ก็จะวางกรอบ วางเกณฑ์ วางกติกา ข้อบัญญัติสิขาบทต่างๆ เพื่อให้หมู่สงฆ์งดงามและมีระเบียบปฏิบัติที่เหมาะสมถูกต้อง
 
     เที่ยงคืน พระองค์ทรงพยากรณ์ปัญหาแก่เทวดาอีกอย่างหนึ่ง อย่างมงคลสูตร มงคลชีวิต 38 ประการ พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่เทวดา แล้วจึงทรงนำมาเล่าให้พระอานนท์ฟัง ได้สืบทอดมาถึงเราชาวพุทธเป็นมงคลสูตร 38 ประการ
 
     ย่ำรุ่ง คือ เวลาที่ยังมืดแต่จวนจะสว่าง พระองค์ทรงสอดข่ายพระญาณตรวจดูสัตว์โลกว่า วันนี้จะเสด็จไปโปรดใคร แล้วพอฟ้าเริ่มสางก็เสด็จไปบิณฑบาตโปรดเขา
 
     กิจวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละวันมี 5 หน้าที่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ บางคนอาจจะแปลกใจว่า ทำไมเริ่มด้วยการบิณฑบาต ไม่เริ่มด้วยยามย่ำรุ่ง สอดข่ายพระญาณตรวจดูสัตว์โลกก่อนแล้วค่อยไปโปรด นั่นเป็นเพราะว่า วันในทางพระพุทธศาสนาถือตอนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วเป็นวันใหม่ ในตอนย่ำรุ่งนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
 
     ดังนั้น เวลาเรียงกิจกรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเริ่มที่ยามเช้าเสด็จบิณฑบาตอย่างหนึ่งก่อน แล้วไล่ไปประการสุดท้ายก่อนสร้าง คือ สอดข่ายพระญาณตรวจดูสัตว์โลก
 
     ในการโปรดหมู่พระญาติ ยกตัวอย่าง ตอนที่ราษฎรชาวเมืองกบิลพัสดุกับชาวเมืองเทวทหะจะยกพวกรบกันเพื่อแย่งน้ำ เพราะถึงคราวเกิดภัยแล้งน้ำขาดแคลน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปห้ามทัพ แล้วไปโปรดจนกระทั่งทุกคนเข้าใจจึงเลิกแล้วกันไปด้วยดี ถือว่าเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อหมู่พระญาตินั่นเอง
 
     ชีวิตของคนเรามีหลายบทบาท เราจึงต้องจัดการบทบาทของตนเองแต่ละเรื่องให้เรียบร้อย บทบาทหลักที่หนีไม่พ้น คือ บทบาทความเป็นพ่อแม่ลูก หรือหน้าที่การงานที่รับผิดชอบนั้น ก็ต้องทำให้สำเร็จ
 
     ส่วนบทบาทอื่นๆ ที่ตามมา เราจะต้องพิจารณาว่า ควรทำแค่ไหนถึงพอดีสำหรับตนเอง ไม่รับหลายบทบาทแล้วทำไม่ได้ ทำได้ไม่ดี หรือล้นจนชีวิตรวนไปหมด” ต้องพอดี แล้วจะได้ดี”
 
     อาตมภาพขอฝากเคล็ดลับสำคัญไว้เรื่องหนึ่ง คือ ห้องนอน เชื่อหรือไม่ว่า การแบ่งเวลาที่สำคัญ เริ่มต้นจากเวลานอนถ้าใครนอนหัวค่ำได้ ก็จะตื่นเช้าได้เพราะพักผ่อนเพียงพอ จิตใจสดชื่นและพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจทั้งวันได้อย่างมีประสิทธ์ภาพ
 
     แต่ใครนอนดึกตี 2 ตี 3 พอเช้าก็ไม่อยากตื่น ถึงคราวจะฝืนตื่นก็งัวเงีย จะหยิบจับทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ดีไปตลาดทั้งวัน อารมณ์บูดเพราะนอนไม่พอ เพราะฉะนั้น การแบ่งเวลาที่ดีเริ่มต้นที่การนอน
 
     มีเคล็ดลับอีกว่า หากเราจะควบคุมการนอนหลับของตนเองให้ได้ผล ให้ตรวจดูห้องนอนของเราก่อน ถ้ามีโทรทัศน์อยู่ ก็ให้ยกออกไปไว้นอกห้อง ถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ก็ยกไปไว้นอกห้องได้จะดีที่สุด อย่าไปนึกเสียดายว่าห้องเรากว้างขวาง อุตส่าห์เอาโทรทัศน์ดูไปดูทาเรื่อยเปื่อย พอเปิดคอมพิวเตอร์ เดี๋ยวเข้าเรื่องนั้นออกเรื่องนี้เผลอเข้าไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์อีก มันยาวไปเรื่อยเปื่อย ทำให้เราควบคุมเวลานอนไม่ได้
 
     ดังนั้น เอาโทรทัศน์และเครื่องคอมพิวเตอร์ออกไปไว้นอกห้องนอนจะดีกว่า ถึงเวลาพักผ่อน เข้าห้องนอนปุ๊บให้ตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิ เสร็จแล้วนอนหลับไปตามเวลาที่กำหนดอย่างเป็นสุข การบริหารเวลาของเราจะลงตัว
 
     อย่าดูเบาเรื่องนี้ เพราะบางทีตนเองยังตามใจตนเองอยู่ เรายังไม่ชนะใจตนเองได้ 100% ถ้ามีสิ่งเร้าสิ่งยั่วยุให้เราเพลินไปกับมันอยู่ในห้องนอน จะทำให้จุดเริ่มต้นในการบริหารเวลาของเราล้มเหลวแล้วทุกอย่างก็ได้แต่คิด แต่ว่าทำไม่ได้
 
 
จากหนังสือ 24 ชั่วโมงที่ฉันหายใจ
โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
(สมชาย ฐานวุฑโฒ)
 
 

รู้หรือไม่ เรื่องเวลา เป็นเรื่องใหญ่ บทที่ 1

01 June 2018 - 09:39 AM

รู้หรือไม่เรื่องเวลาเป็นเรื่องใหญ่
ตอน How To ชีวิตดีมีแต่ได้เพราะบริหารเวลาเป็น
 
     เรื่องเวลาเป็นเรื่องใหญ่มาก โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกว่า มีเรื่องราวรุมล้อมตัวเรามากมายจนกระทั่งชีวิตยุ่งเหยิงไปหมด
 
     สมัยสังคมเกษตร ชีวิตผู้คนยังสบายเพราะมีเวลาว่างในแต่ละวันมาก แม้จะต้องตื่นแต่เช้ามืดไปทำไร่ไถนา แต่พอบ่าย ๆ ก็ว่างแล้วเย็นค่ำหน่อยก็มีเวลาออกมานั่งจับกลุ่มพูดคุยกัน พอสัก 2-3 ทุ่ม ก็เข้านอนกันแล้ว รู้สึกว่า ชีวิตเบาสบาย พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นก็มีช่วงเวลาว่างให้พักผ่อนทำอย่างอื่นอีก
 
     แต่ชีวิคนในปัจจุบันยุ่งเหยิงเหลือเกิน ทำอย่างไรถึงจะบริหารเวลาเพื่อรับมือกับภารกิจที่มากมายหลายรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข นี่คือประเด็นสำคัญ
 
How To ชีวิตดีมีแต่ได้เพราะบริหารเวลาเป็น
 
     มีหนังสือ How To ที่เขียนถึงเรื่องของการบรอหารเวลาเอาไว้มากมาย ซึ่งเขียนไว้ดีๆ ทั้งนั้น แต่เนื้อหานั้นมีมากมายเต็มไปหมด อ่านเสร็จแล้วก็ลืม เอามาใช้ในชีวิตได้บ้างนิด ๆ หน่อยๆ ดังนั้น อาตมภาพจะไม่ฝากหลักการอะไรไว้มากนัก แต่จะขอฝากไว้ 2 ข้อ ขอให้นำไปใช้จริงเท่านั้น แล้วชีวิตเราจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้น
 
     How To ข้อที่ 1 จัดลำดับความสำคัญของงาน เราจะลงมือทำงานทุกอย่างที่เข้ามาทั้งหมดไม่ได้ แต่เราต้องรู้จักเลือกว่า งานใดสำคัญที่สุด งานใดสำคัญรองลงมา บางงานเป็นเรื่องที่ไร้สาระก็มี พอเราคัดเลือกงานแล้ว เราจะได้ทำในสิ่งที่สำคัญก่อน
 
     ดัง กฎ 80/20 คือ เรื่องที่สำคัญให้เราใช้เวลาไปกับมัน 20%ของเวลาทั้งหมดที่มี แต่มันจะส่งผลในชีวิตเรามากถึง 80% ของความสำเร็จทั้งหมดเลยทีเดียว ถ้าเราลงมือทำงานสำคัญนี้เสร็จเรียบร้อย เราจะอุ่นใจได้แล้วว่า เราใช้เวลาแค่ 20% แต่เราสำเร็จไปแล้วถึง 80% งานที่เหลือก็เบาสบาย
 
     ถ้าใครเอาเวลาไปทำในเรื่องที่ใช้เวลามากถึง 80% แต่ให้ผลเพียง 20% ของชีวิต อย่างนี้เหนื่อยเปล่า เพราะเวลาในชีวิตหมดไปแล้วในแต่ละวันถึง 80 % ที่เหลือนี่หืดขึ้นคอเลยที่เดียว ดังนั้น เราต้องทำในสิ่งที่สำคัญก่อนการจัดลำดับความสำคัญของงานจึงสำคัญมาก
 
     How To ข้อที่ 2 การแบ่งเวลา เราต้องรู้จักแบ่งเวลาในแต่ละวันว่าควรทำอะไรบ้าง ไม่ใช่มีงานอะไรเข้ามาก็ทำไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีการวางแผน อย่างนี้ชีวิตสะเปะสะปะออกไปนอกลู่นอกทาง
 
     บางคนนึกว่า ตนเองจะดูโทรทัศน์สักครึ่งชั่วโมง แต่กลับดูเพลินไปถึง 2-3 ชั่วโมง หรือบางคนนึกไว้ว่าจะแล่นวิดีโอเกมผ่อนคลายอารมณ์ความเครียดไม่นาน แต่จริง ๆ เผลอเล่นเกมไปถึงตี 1 ก็มีทำอย่างนี้ระบบชีวิตรวนหมด สุขภาพเสื่อมถอย การงานก็เสียการเรียนก็แย่ เพราะปล่อยให้สิ่งต่างๆ เข้ามาถึงตนเองเรื่อยเปื่อยไม่มีการวางแผนชีวิต ไม่มีการบริหารเวลา หรือแบ่งเวลาไว้ให้ชัดเจน
 
     คนที่จะประสบความสำเร็จในการบริหารเวลาและประสบผลสำเร็จในการทำงานได้ ต้องแบ่งเวลาเป็น  พอบริหารเวลาสำเร็จไปร้อยละ 80 แล้ว ส่วนเทคนิคย่อยจะมีอีกกี่ข้อ ก็นำมาเสริมในส่วนที่เหลือนี้ ชีวิตเราจะไปได้ดีอย่างแน่นอน
 
จากหนังสือ 24 ชั่วโมงที่ฉันหายใจ
โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
(สมชาย ฐานวุฑโฒ)