ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ดุจกามนิต-วาสิฏฐี และสิงสุนัข (14 เมษายน 2549)


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 extra

extra
  • Members
  • 409 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 July 2006 - 06:39 PM

ย่อเรื่อง ดุจกามนิต-วาสิฏฐี และสิงสุนัข (14 เมษายน 2549) โดย Extra happy.gif

เรื่องกฎแห่งกรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปรู้ไปเห็นมา ในยามต้นที่ท่านได้บรรลุธรรมกายพระโสดาบัน พอบรรลุตรงนั้นเข้า ท่านใช้เวลา 4 ชม. ต่อ 1 ยาม ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากหยุดกับนิ่ง พอเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันท่านก็มีความคิดอยู่นิดเดียว คือกระดิกจิตนิดเดียว โดยมีเพียงความคิดแค่ว่าก่อนเรามาเกิด เรามาจากไหน จิตของท่านบริสุทธิ์นุ่มนวลควรแก่การงาน เห็นเรื่องราวตลอด 4 ช.ม. ก่อนมาเกิดมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต เทวดาทั้งหลายไปอาราธนาท่านมา ท่านทำใจหยุดนิ่งไปเรื่อย ๆ ภาพก็เกิด ท่านดูจนถึงปฐมชาติที่ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จิตของท่านเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ยามที่ 2 อีก 4 ชม. ท่านใช้ธรรมจักขุและญาณทัศนะมองเรื่องกฎแห่งกรรม จุตูปปาตญาณ ดูการเกิดขึ้นและดับไปของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดูความหลากหลายของสรรพสัตว์ทั้งปวง ของมนุษย์ ของสัตว์ ตลอดทั้ง 3 ภพคือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ อยู่ในคลองแห่งธรรมจักขุ เห็นตลอดทั้งหมดว่า ประกอบเหตุอย่างนี้จะต้องไปเป็นผลอย่างนั้น ผลอย่างนี้เพราะทำเหตุมาอย่างนั้น รู้เรื่องเหตุผลตลอดทั้งหมด เมื่อรู้แล้วเกิดความเบื่อหน่าย เบื่อสังสารวัฏเป็นที่สุด มองเห็นว่าไม่มีทางอื่นนอกจากต้องหนีวัฏฏะ ถ้าขืนอยู่ในวัฏฏะมีโอกาสพลาดได้ เพราะท่านเคยพลาดมาแล้วเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนว่ายตายเกิดวนกันไปกันมา ตั้งแต่มนุษย์มาเป็นจุดกลาง พอทำบาปอกุศลกรรมก็ไปอบาย พอทำกุศลธรรมก็ไปสู่สุคติเป็นเทวดา พรหม อรูปพรหม ตามกำลังที่ตนได้ทำเอาไว้ ท่านเห็นแล้วกลัวภัยในวัฏฏสงสาร เมื่ออยากจะหนีวัฏฏะก็กระดิกจิตนิดเดียว กำลังบารมีส่งผลให้เห็นกิเลสอาสวะที่หุ้มแต่ละกาย หุ้มเคลือบ เอือบอาบ ปนเป็น สวมสร้อย ร้อยไส้ บังคับบัญชาอยู่ในกายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดา กายธรรมพระสกิทาคา กายธรรมพระอนาคา เห็นตลอด ชัดเจนแจ่มแจ้ง มองเห็นวิธีการที่จะถอดถอนกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป ผังต่าง ๆ ที่เขาบังคับเอาไว้ มองเห็นแล้วรู้วิธีการ ถอดมาเรื่อย ๆ หลุดมาตามลำดับ หลุดจากที่เขาบังคับบัญชาตามกำลังบารมีของท่านหลุดหมดเป็นชั้น ๆ ถอดออกหมดเลย รู้สึกว่ามันหลุดพ้นเป็นอิสระ หลุดจากกฎแห่งกรรม หลุดจากกฎแห่งไตรลักษณ์ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หลุดออกหมดจนกระทั่งเหลือแต่กายธรรมอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอหลุดก็โล่งสบาย มีปีติ เป็นสุข อยู่ได้โดยไม่ต้องเสวยภัตตาหาร 49 วัน จนกระทั่งท่านเปล่งอุทานในยามสุดท้าย (จริงๆ ท่านเปล่งอุทานทั้ง 3 ยาม) ว่า “ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นกับพราหมณ์ทั้งหลายที่มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์ย่อมสิ้นไป แล้วได้ขจัดอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไป เหมือนดวงอาทิตย์ขจัดความมืดในอากาศให้หมดสิ้น ทำให้อากาศสว่าง” ปลื้มอุทาน รำพึงอยู่คนเดียว

ท่านเห็นได้ด้วยธรรมจักขุและญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ มีความรักปรารถนาดีต่อมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย มาเล่าให้ฟัง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ ก็ตามใจ ท่านเพียงแนะนำให้ คนเชื่อก็มี คนไม่เชื่อก็มี คนเฉย ๆ ก็มี ที่เชื่อแล้วทำตามคำสอนของพระองค์จนหลุดพ้นก็มี อย่างน้อยก็หลุดพ้นจากอบายไปสู่สุคติ ใครไม่เชื่อก็ประกอบบาปอกุศลธรรมไปอบายก็มากมาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ออกกฎแห่งกรรม ท่านไปเห็นที่เขาออกมาแล้ว มาบังคับบัญชา แม้แต่พระองค์ยังหนีไม่พ้นขณะที่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์สั่งสมบารมี ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ทุก ๆ การกระทำ ไม่ว่าทางกาย วาจาใจ แม้เพียงนิดล้วนมีผลทั้งสิ้น ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม เราควรจะศึกษาไว้ เพื่อให้เอาตัวรอดได้ ทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ ละชั่ว ทำดี และทำใจให้ใส ๆ


เทศกาลนี้เป็นเทศกาลบุพเปตพลี การทำบุญในวาระพิเศษ หรือทุกบุญทุกครั้งทำแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ นี่เป็นสิ่งที่ดี หมู่ญาติผู้ล่วงลับกำลังรอคอยผู้มีชีวิตอยู่ที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิไหนก็ตาม บางภพภูมิรอคอยด้วยความกระวนกระวาย ภพภูมิที่อยู่ในสุคติภพก็เบิกบานใจ บางคนมีความเชื่อว่าตายแล้วสูญ ทำให้ไม่กลัวบาปกรรม มีชีวิตอยู่เพื่อทำบาปอกุศล ตายก็ไปอบาย คนที่เชื่ออย่างนี้จะไปอยู่โลกันตนรก

เปรตจักรผัน
มีจักรผันมาผ่าหัวหมุนตลอดเวลา ทุกข์ทรมานมากทีเดียว ขึ้นจากมหานรก มาขุมบริวาร หมดกรรมแล้วไปยมโลกแล้วมาเป็นเปรต มีบุพกรรม คือ ชอบด่าว่าพ่อแม่ ทุบตีพ่อแม่ ด่าว่าพระ อบรมสั่งสอนพ่อแม่ หรือทุบตีพระ เวลาที่ลงไปในนรก หากยังมีคดีอื่นอีกหลายๆ กรณี ก็ใช้กันไป ทุกข์ทรมานยาวนานเป็นพุทธันดรทีเดียว แค่เกเรมองพ่อมองแม่ ยังตาเหล่ตาเข

เปรตตัวผอม คอยาว ปากเท่ารูเข็ม ท้องโตจนต้องอุ้มท้อง
เปรตมีปากเท่ารูเข็ม เวลาพูดออกเสียงยาก มีแต่เสียงวี้ด ๆ เพิ่งขึ้นมาจากมหานรก ตอนเป็นมนุษย์ เมื่อเห็นพระผ่านหน้าบ้าน ไม่ยอมทำทานเพราะตระหนี่ จึงไม่มีกิน ปากจึงเท่ารูเข็ม และห้ามคนอื่นไม่ให้ทำทาน บ้างก็ว่าพระเหมือนขอทาน ท่านไม่ได้ไปขอ แต่ว่าไปโปรดสัตว์ เอาบุญไปให้ ถ้าไม่ใช่พระแท้เณรแท้ เท่ากับให้สัตว์โปรดไม่ได้ไปโปรดสัตว์ พระต้องทำความเพียรเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง รักษาศีล สมาธิ ปัญญา จนเข้าถึงพระธรรมกายในตัว จึงจะสมบูรณ์


เคสที่หนึ่ง “ดั่งกามนิต-วาสิฏฐี” เจ้าของเคสนามสกุลตุ้มทอง อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อเสียชีวิตเมื่อมกราคม 2546 ตอนอายุ 78 ปี แม่เสียชีวิตเมื่อตุลาคม 2545 ตอนอายุ 81 ปี 9 เดือน เจ้าของเคสเป็นบุตรคนโตได้ไปสร้างบารมีที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าวัดปฏิบัติธรรม สร้างบารมีก่อนคนอื่น ๆ

พ่อเป็นคน จ.อยุธยา แม่เป็นคน จ.จันทบุรี มาพบกันรักกัน แต่งงานกัน แล้วย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ มีบุตร 5 คน ทั้งสองรักลูกและครอบครัวมาก เลี้ยงดูและอบรมลูกให้มีความประพฤติดี ได้รับการศึกษาที่ดี ลูกทุกคนเป็นคนดีของสังคม ครอบครัวอบอุ่น ท่านทั้งสองเป็นแบบพิมพ์ที่ดีงามของครอบครัว ทั้งสอนและทำให้ดูด้วย แม้จะไม่ใช่คนร่ำรวย ไม่มีความรู้สูง ท่านสู้ชีวิต หนักเอาเบาสู้ ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวโดยเฉพาะอนาคตที่ดีของลูก ทุกคน สอนลูกเสมอว่า ท่านไม่มีมรดกอะไรให้มาก อยากให้ลูกทุกคนตั้งใจเรียน เรียนหนังสือให้มาก ๆ จะได้ช่วยตัวเองได้ เมื่อยามชรา ท่านอยู่ด้วยกันสองคน ลูกเกือบทุกคนอยู่สหรัฐอเมริกาทั้งหมด ลูกชายคนเล็กสุดกลับมาประเทศไทยเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

แม่ป่วยโดยไม่มีวี่แววมาก่อน ท่านทานลองกองไป 2 กก. แล้วไม่สบาย ไปหาหมอ หมอฉีดยาให้ ท่านเกิดอักเสบตัวบวมทั้งตัว ไปอยู่ I.C.U. ได้ 7 วัน ลูก ๆ พูดเรื่องบุญให้ใจท่านอยู่ในบุญตลอด จนท่านละโลกอย่างสงบ
ต่อมา ลูก ๆ พาพ่อไปอยู่อเมริกา เพื่อตอบแทนคุณท่าน ท่านไปได้แค่เพียงเดือนเดียว ในวันอาทิตย์ต้นเดือน ที่วัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย ท่านฟุบลงไป พาไปส่ง รพ.ปรากฏว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว รักษาตัวอยู่ที่ รพ. 1 เดือน ก็ละโลกอย่างสงบ ห่างจากแม่เพียงสองเดือนเศษ ๆ
เจ้าของเคสสร้างบารมีมา 30 กว่าปีแล้ว สร้างบารมีแล้วส่งไปให้พ่อแม่ทุกครั้ง เธอสร้างบารมีที่อเมริกาตั้งแต่ยังไม่มีศูนย์ปฏิบัติธรรม ขณะนั้นใช้บ้านญาติโยมหมุนเวียนกันไปจนตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรม เป็นวัดพุทธ Maywood แล้วสร้างเป็นวัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนียในปัจจุบัน เธอทำบุญที่หลวงพ่อบอกทุกบุญ ตั้งแต่สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ มหาวิหารพระมงคลเทพมุนี มหาวิหารคุณยายอาจารย์ ลานธรรม หอฉัน องค์พระธรรมกาย ถวายพระสังฆาธิการ เป็นทั้งประธานรอง ประธานกอง และอธิษฐานให้บุญกุศลนี้ไปถึงพ่อแม่

คำถาม ท่านทั้งสองละโลกแล้วไปไหน ได้รับบุญที่อุทิศให้หรือไม่ เหตุใดท่านมาละโลกในระยะเวลาใกล้เคียงกันห่างกันเพียงแค่สองเดือนเศษ


แม่ไม่ได้ตายเพราะลองกอง แต่เพราะหมดบุญ เกินอายุขัยเฉลี่ยมาหลายปี ท่านละโลกแบบหลับแล้วตื่นขึ้นกลางวิมานทองชั้นดาวดึงส์ เฟส 3 ด้วยบุญที่ทำเองและบุญที่ลูก ๆ อุทิศส่วนกุศลไปให้ พ่อก็เช่นกัน ท่านรักกันมาก พ่ออาลัยอาวรณ์คิดถึงแม่ ร่วมกับหมดบุญด้วยหมดอายุ อยากตายตาม อยากไปอยู่ด้วยกันอีก พ่อละโลกแบบหลับแล้วตื่นขึ้นที่วิมานทองชั้นดาวดึงส์ เฟส 3 มีวิมานติดกับแม่ เพราะทำบุญร่วมกันมาตลอด และอธิษฐานให้มาพบกัน ตอนนี้ยังอยู่ชื่นชมสมบัติกันอยู่ ถ้าปิ๊งกันอีก ก็จะรวมวิมานกัน
ท่านทั้งสองรักกันมาก เพราะเป็นสามีภรรยากันมาหลายชาติ เคยอยู่ด้วยกันมา และเกื้อกูลกันในปัจจุบัน มีสังคหวัตถุ 4 มีเกื้อกูลกันอยู่ ตอนนี้ได้อยู่ใกล้กันแล้ว ลูก ๆ ทำบุญทุกบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เมื่อท่านรับบุญ วิมานจะสว่างใส รัศมีกายจะวาบ ๆ เมื่อท่านคุ้นกับสวรรค์แล้วจะรักกันต่อเป็นภาคสอง คือ ภาคสวรรค์


เคสที่สอง เจ้าของเคส ชื่อ สันติ เป็นชาว จ.มหาสารคาม เขาเป็นพนักงานฝ่ายช่าง เริ่มทำงานมาตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัท เมื่ออายุ 31 ปี เขาป่วยด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดีนาน 1 สัปดาห์ เมื่อกลับจากสลายนิ่วแล้วมาทำงานได้ 1 วัน วันรุ่งขึ้นก็ป่วยอีก ตรวจครั้งแรกหมอบอกว่าปอดเป็นฝ้าขาว ทั้งที่ผู้ตายและเพื่อนร่วมงานไม่ได้สูบบุหรี่ หมอแจ้งว่าเป็นโรคติดเชื้อหลายอย่าง มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก ให้ยาหลายขนานก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ พี่ชายของผู้ตายได้คุยกับหมอ รู้สึกว่าหมอปิดบังบางอย่างบอกไม่หมด หมอบอกว่าหากผู้ป่วยไม่อยากบอก หมอก็บอกไม่ได้มากกว่านี้ สอบถามกับผู้รู้แล้วคิดว่าอาการป่วยคล้าย ๆ กับผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เขาไม่ค่อยสนับสนุนวัด ค่อนข้างคัดค้านเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย เวลาป่วย เพื่อนร่วมงานไปเยี่ยมบ่อยๆ และคอยบอกว่า วันนี้เอาบุญมาฝาก ให้อนุโมทนาบุญ นึกถึงบุญให้ช่วย เขาก็รับด้วยดี ยกมือขึ้นอนุโมทนาสาธุด้วย
อาการเขาไม่ดีขึ้นเลย จากตัวอ้วน 70-80 ก.ก. ผอมลงมากลงมาเหลือครึ่งหนึ่ง หายใจติดขัดหอบหนัก เขาพูดว่ายังไม่อยากตาย น้องซึ่งเป็นลูกพระราชฯคนหนึ่งที่ไปเยี่ยมบ่อย ชวนให้ร่วมสร้างพระธรรมกายประจำตัว คิดว่าจะชวนญาติๆ ร่วมบุญด้วย เขารับปากด้วยความยินดี แต่รุ่งขึ้นได้รับแจ้งว่าเสียชีวิตแล้วเมื่อกลางดึก เขาเสียชีวิต เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2545 ขณะอายุ 31 ปี เสียชีวิตก่อนได้สร้างพระ

ญาติจัดงานศพเรียบร้อยภายในเวลา 3 วันแบบชาวชนบท ในวันที่ 6 หลังการตาย สุนัขที่เขาซื้อไก่มาให้มันกินทุกวัน ซึ่งมีเจ้าของอยู่ในซอยที่ถัดจากที่ตั้งของบริษัท มาที่บริษัทตั้งแต่เช้า เอาหน้ากระโดดชนประตูกระจกทั้งสองด้าน สลับไปมา กระโดดสูงมาก ชนประตูอย่างแรง สองขาหน้าตะกาย ตะปบประตูเสียงดัง เดินกลับไปกลับมาที่ด้านหน้าประตูตลอดเวลาทั้งวัน เมื่อเปิดประตูให้เข้า ก็เดินวนเวียนที่ห้องด้านหน้า แต่ไม่ได้เข้าในกว่านั้น พนักงานก็พูดทักทายเพราะรู้ว่าเขามา มันแสดงท่าทางสนิทสนม เอาคางมาเกยซบที่ขาคนที่พูดด้วย เย็นวันนั้น เพื่อนๆ ชวนกันไปฟังสวดพระอภิธรรมหลวงเตี่ย ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่สวดครบ 100 วัน สุนัขตัวนี้ซึ่งไปแล้วอยู่ ๆ ก็กลับมาเดินวนเวียนอีก เพื่อนพูดว่า สันติไปเอาบุญฟังสวดหลวงเตี่ยด้วยกันนะ มันก็มาที่ประตูรถ ทำท่ามองตาแป๋วเหมือนอยากจะไปด้วย ในวันที่ 7 ของการตาย เพื่อนร่วมงาน และพี่ชายของเขาได้ร่วมบุญไปสร้างองค์พระและลานธรรมถวายพระสังฆาธิการด้วยชื่อของเขา ทุกคนได้อธิษฐานบุญนี้ให้แก่เขา น่าประหลาดที่สุนัขตัวนั้นไม่มาปรากฏตัวอีกเลย เป็นเหตุการณ์วันเดียวเท่านั้น

คำถาม เขาจะได้รับผลบุญที่ทุกคนทำไปให้หรือไม่ ขณะนี้ผู้ตายอยู่ในสภาวะใด เรื่องของสุนัขและเหตุประหลาดนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร


เขาอายุสั้นเพียง 31 ปี เพราะเศษกรรมในอดีต บวกกับกรรมปัจจุบัน กรรมในอดีตเป็นนายพรานล่าสัตว์เลี้ยงสุนัขเอาไว้ฝูงหนึ่ง มีความคุ้นเคยกับสุนัข ให้สุนัขพานำทางไปล่าสัตว์ กรรมนี้ได้ไปใช้ในมหานรกมาแล้ว ส่วนกรรมปัจจุบันที่เที่ยวผู้หญิง ทำให้เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ช่วงใกล้ละโลก เหนื่อยหอบมาก ทุกข์ทรมาน และไม่อยากตาย เริ่มนึกถึงบุญบ้างตามคำแนะนำของพี่ ๆ ใจไม่หมองมาก กรรมนิมิตฝ่ายบาปฉายได้ไม่เต็มที่ มีกัลยาณมิตรอยู่ที่ไหน มีแสงสว่างอยู่ที่นั่น ตายแล้วหลุดออกมาเห็นร่างตัวเองนอนอยู่ พ้นจากความเจ็บปวดวนเวียนอยู่ 7 วัน หลังจากเสียชีวิตก็ติดตามหมู่ญาติกลับบ้าน หลังทำศพ 3 วัน กลับมาหาสถานที่และคนที่คุ้นเคย คือ เพื่อนร่วมงานที่บริษัท ไม่มีใครคุยด้วย เพราะคนละภพกัน ไม่รู้จะทำยังไง เลยนึกถึงสุนัขที่ตัวเคยให้อาหารทุกวันที่อยู่คนละซอยก็ไป พอไปถึง ด้วยความรักความเอ็นดู ก็ไปพูดคุยอะไร ช่วงกลางวันหมาไม่ค่อยจะเห็น เพราะคลื่นรบกวนเยอะ พอตกกลางคืน มันเห็น ก็ดีใจ ดีใจทั้งอดีตมนุษย์ ดีใจทั้งหมา เล่นกันไปกันมา จนกระทั่งหมาหลับ แล้วดูดวูบเข้าไปทั้งเนื้อทั้งตัว เข้าไปสิงหมา เหมือนมีวิญญาณมาเข้าทรง พอเช้าวันที่ 6 ก็นึกถึงบริษัทอยากจะติดต่อสื่อสารกับคนในบริษัท รู้ว่าพวกพี่ ๆ ในบริษัทใจบุญ เผื่อจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ มาตะกายประตู มากระโดด จนพนักงานแปลกใจ พอพนักงานพูดอะไร ตัวก็รู้เรื่องทั้งหมด

สิบกว่าปีมาแล้ว หลวงพ่อนั่งที่หน้ากุฏิยาย มีผู้หญิงจอดรถไว้หน้าศาลาดุสิต ลงมาก็เดินกระหืดกระหอบมากราบหลวงพ่อ แล้วพูดว่าดิฉันเป็นอะไร หลวงพ่อก็คิดว่า คนเป็น น่าจะรู้ ดันมาถามคนไม่เป็น จึงบอกว่า อ้าว ใจเย็น ๆ ไหนลองเล่าให้ฟัง เธอเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่งเขามาบอกบุญให้ไปปล่อยควาย พอเธอซื้อควายมา ท่านก็บอกให้เชิญไปปล่อย พอไปปล่อย ควายผงกหัวแล้วพูดว่า ขอบคุณครับ เรียกชื่อถูกด้วย

หมาแค่กระโดด พนักงานก็คุยด้วย แต่เขาโต้ตอบไม่ได้ ได้แต่เอาคางไปซบกับทุก ๆ คน เพื่อสื่อสาร แต่ไม่ได้ไปงานหลวงเตี่ย เขาไม่รู้ว่าเข้าไปยังไง ก็ไม่รู้จะออกยังไง จนกระทั่งตกกลางคืน จึงจะออกเอง พอวันที่ 7พวกพี่ ๆ ทำบุญสร้างองค์พระจารึกชื่อไปให้ อุทิศบุญให้ เขาอนุโมทนาบุญได้ กลายไปเป็นยักษ์ เป็นกุมภัณฑ์ มีเจ้าหน้าที่กุมภัณฑ์มารับตัวไปเป็นพวก ไปเป็นบริวารของวิมานหนึ่งในชั้นจาตุมหาราชิกา ตามกำลังบุญที่ตั้งใจทำก่อนตายแต่ไม่ได้ทำ ได้ทำหลังตายแล้ว โดยคนอื่นทำแทนให้ ถ้าหากไม่ได้บุญนั้นอุทิศไปให้ ต้องไปอบาย เขาฝากขอบคุณทุก ๆคนที่ทำบุญไปให้ ตอนก่อนที่จะไปชั้นจาตุฯ พยายามขออนุญาตเจ้าหน้าที่มาวนเวียนที่บริษัทเพื่อขอบคุณ เขาให้มาโดยเขาตามมาด้วย แต่ไม่มีใครในบริษัทจะสื่อสารกันได้ เพราะคนละภพกัน ตอนนี้เป็นสภาพของยักษ์แล้ว ถ้าหากหมดกำลังบุญที่อุทิศ ก็ขึ้นกับบุญหรือบาป ที่จะชิงช่วงหรือช่วงชิง ว่าจะไปไหนต่อ




#2 ศูนย์กลางกาย

ศูนย์กลางกาย
  • Members
  • 94 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 July 2006 - 09:17 PM

สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ