ไปที่เนื้อหา


วัดในดวงใจ

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 23 Aug 2006
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Jul 07 2008 01:27 PM
*****

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

อัญเชิญเทวดา

07 June 2008 - 03:47 PM

อยากได้บทอัญเชิญเทวดาที่คุณบุญชัยกล่าวในวันคุมครองโลกถ้าท่านผู้ใดทราบกรุณาด้วยนะครับสาธุ


สุดยอดบุญที่ไม่ควรพลาด

03 May 2008 - 09:29 AM

โครงการถวายกองทุนการศึกษาภาษาบาลี – นักธรรม
แด่พระภิกษุสงฆ์สามเณรวัดพระธรรมกายและวัดสาขาทั่วโลก[/color]


ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เป็นฤดูเปิดเทอมการศึกษาภาษาบาลี ซึ่งพระภิกษุสงฆ์สามเณรต้องใช้หนังสือและอุปกรณ์การศึกษาในการศึกษาภาษาบาลี เพื่อให้เกิดความเข้าใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาและทำหน้าที่กัลยาณมิตรเป็นแสงสว่างแก่ชาวโลก

ในปี พ.ศ. 2551 มีพระภิกษุสงฆ์สามเณรที่วัดพระธรรมกายและวัดสาขาทั่วโลกศึกษาภาษาบาลีและนักธรรมประมาณ 2,550 รูป

จึงขอเรียนเชิญกัลยาณมิตรและสาธุชนทั่วโลก ได้ร่วมกันสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาและสร้างปัญญาบารมี ด้วยการถวายกองทุนการศึกษาภาษาบาลี – นักธรรม มี 4 กองทุนคือ

1. กองทุนกิตติมศักดิ์ 2. กองทุนกิตติมเสริม 3. กองทุนกิตติมสุข 4. กองทุนกิตติมใส



พิธีถวายกองทุนการศึกษาจัดให้มีขึ้นใน
วันที่เสาร์ที่ 3 และวันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เวลา 11.45 น.
ณ หอฉันคุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง


อานิสงส์ของการถวายกองทุนการศึกษาบาลี – นักธรรม

1. ย่อมเป็นผู้มีปัญญามาก แตกฉานในสรรพวิชา แทงตลอดทั้งทางโลกและทางธรรม

2. ย่อมสำเร็จการศึกษาสูงสุดตามความปรารถนาได้โดยง่าย
3. ย่อมเกิดในดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศานาในตระกูลสัมมาทิฐิ
4. ย่อมบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย




[color="black"]

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-831-2031, 08-3540-5006 และ
08-3540-4656

เพื่อมวลมนุษยชาติ

13 April 2008 - 10:40 PM

ธรรมกายเจดีย์เพื่อมวลมนุษยชาติขอความเจริญรุ่งเรืองในธรรมจงมีแก่เหล่ากัลยาณมิตรทั้งหลาย งานมหาธรรมกายเจดีย์ ของเราเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ ปีพ.ศ. ๒๕๓๘ และวันมาฆบูชา ปีพ.ศ. ๒๕๔๒ งานก่อสร้างมหาธรรม-กายเจดีย์จะสำเร็จเสร็จสิ้นตามแผนงาน เราลองย้อนกลับไปดู เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๘ เราตอกเสาเข็มต้นแรกของมหาธรรมกายเจดีย์ และตอกเสาเข็มต้นสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๙ ขณะนี้งานฐานรากทั้งหมดของมหาธรรมกายเจดีย์เสร็จไปแล้ว กำลังขึ้นเสาโครงสร้างและฐานส่วนบน ซึ่งวันมาฆบูชา ปีพ.ศ. ๒๕๔๑ เราจะเห็นส่วนหนึ่งของมหาธรรมกายเจดีย์ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา องค์พระองค์แรกประดิษฐานวันคุ้มครองโลก องค์พระองค์แรก คือพระธรรมกายประจำตัว กำหนดประดิษฐานในวันคุ้มครองโลกของปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ตรงกับวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๑ เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อธัมมชโย (พระราชภาวนาวิสุทธิ์) ผู้เป็นครูบาอาจารย์ เป็นที่เคารพรักบูชา เป็นผู้นำในการสร้างบารมีของพวกเรา วันนั้นชาวโลกพร้อมใจกันกำหนดให้เป็น"วันคุ้มครองโลก" จึงเป็นวันสำคัญอย่างเหมาะสม ที่จะประดิษฐานพระธรรมกายประจำตัวองค์แรกขึ้นบนโดมของมหาธรรมกายเจดีย์ และองค์แรกจะจารึกชื่อของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แล้วองค์ต่อๆ มาก็จะทยอยประดิษฐานต่อกันไป บอกข่าวบุญ ตามเจ้าของบุญ องค์พระธรรมกายประจำตัว งานดำเนินการก่อสร้างเป็นไปตามแผนทุกประการ สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้แผนนี้สมบูรณ์ สำเร็จลุล่วงไปได้ทันตามกำหนดเวลา ก็คือเจ้าของบุญ เจ้าของพระธรรมกายประจำตัว ภายนอกขององค์ธรรมกายเจดีย์ จะมีองค์พระประดิษฐานทั้งสิ้นประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ องค์ ส่วนภายในอีก ๗๐๐,๐๐๐ องค์ ขณะนี้มีเจ้าขององค์พระภายนอกเกินครึ่งแล้ว เฉพาะส่วนที่อยู่บนโดม จำนวน ๒๕,๐๐๐ องค์ ยังมาไม่ถึงครึ่ง เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำตัวเป็นสะพาน เป็นถนน ที่จะทอดไปยังเจ้าของบุญ ให้เดินผ่านมาเพื่อจะเข้าไปถึงมหาธรรมกายเจดีย์ เราจะต้องรีบตามเจ้าขององค์พระมาร่วมบุญกันให้ครบ ตอนนี้พี่น้องของเรา เพื่อนในวงธรรมะ มีอยู่นับไม่ถ้วนเลย บางท่านก็อยู่ใกล้ศูนย์กลางของบุญ คืออยู่ใกล้ๆ วัดพระธรรมกาย ได้เป็นเจ้าของพระธรรมกายประจำตัวเรียบร้อยไปแล้ว แต่ยังมีพี่น้องของเราที่ระเหเร่ร่อนตกระกำลำบาก ไปอยู่ที่อื่นยังไม่ทราบข่าวบุญ ยังมาไม่ถึง ความจริงเขาเป็นเจ้าของพระธรรมกาย อยู่แล้ว แต่เขามาช้า เขายังมาไม่ถึง ให้พวกเรารีบไปบอกข่าวบุญนี้แก่ผู้เป็น เจ้าของบุญกันเถอะ การติดตั้งองค์พระฯ และการดูชื่อที่จารึกฯ การติดตั้งองค์พระ จะติดตั้งจากบนลงล่าง คือส่วนของยอดโดม องค์บนสุดจะประดิษฐาน ณ ศูนย์กลางยอดโดม คือองค์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และจะติดตั้งไล่ลงมาเรื่อยๆ เป็นแถวๆ เรียงเป็นองค์ๆ ไม่บังกัน จนถึงเชิงลาดของโดม ซึ่งเป็นองค์เจดีย์ทั้งหมด นี่เป็นส่วนของพุทธรัตนะทั้งสิ้น หากเราจะดูองค์พระบนโดม ก็ขอดูได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะติดตั้งไว้ให้ เครื่องจะปรากฏขึ้นมาว่าองค์พระอยู่ทางทิศไหน เมื่อทราบแล้วเราก็ใช้กล้องส่องทางไกล ที่มีกำลังขยายสูงๆ ส่องไป จะเห็นชื่อได้อย่างชัดเจน ของใครอยู่ตรงไหน ตำแหน่งไหน เรามีสิทธิ์ที่จะเห็นชื่อของเราปรากฏอยู่ที่แผ่นฐานได้ (สำ- หรับองค์พระที่ประดิษฐานบนโดม) ส่วนองค์พระธรรมกายที่ประ-ดิษฐานบนเชิงลาดจะติดตั้งง่ายกว่า องค์ที่อยู่บนโดม แล้วแต่ละชั้นๆ ก็จะวางองค์พระ ชั้นหนึ่งมี ๔ องค์ ๔ องค์ ๔ องค์ ต่อกันไป แล้วถ้าเรามีกล้องส่องทางไกล มองกันจริงๆ ก็มีโอกาสเห็นบ้างเหมือนกัน เฉพาะองค์ที่อยู่แถวแรก แต่องค์ที่อยู่แถวที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จะมองไม่เห็น พูดง่ายๆ ว่าประมาณ ๒๕ % มีโอกาสที่จะได้เห็นชื่อของตัวเอง แต่อีก ๗๕ % ที่อยู่บนเชิงลาด ที่เราเรียกว่า ขั้นของธรรม-กายเจดีย์ จะมองไม่เห็น นี่คือความแตกต่างระหว่างองค์พระที่อยู่บนโดม กับองค์พระที่อยู่บนเชิงลาด ทั้งทางด้านการมองเห็น ทั้งทางด้านการได้อยู่ใกล้ศูนย์กลางขององค์เจดีย์ ทางด้านของงบประมาณการก่อสร้าง ก็ต่ำกว่า เพราะอยู่ในที่ราบๆ ต่างกันแบบนี้ เสาเข็มค้ำมหาธรรมกายเจดีย์ พวกเราได้เคยร่วมแรงร่วมใจกันเป็นเจ้าภาพสร้างเสาเข็ม ๓,๓๓๓ ต้น เป็นเสาเข็มค้ำจุนพระพุทธศาสนา กระทั่งการตอกเสาเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้มีเสาเข็มค้ำมหาธรรม-กายเจดีย์ จำนวน ๘๑๕ ต้น ซึ่งจะเป็นส่วนค้ำจุนมหาธรรมกายเจดีย์ให้มั่นคง ให้ลอยเด่นเป็นสง่า และสถิตสถาพรตราบชั่วกาลนาน เป็นส่วนที่ค้ำส่วนของพุทธรัตนะ ธรรมะรัตนะ และสังฆรัตนะของมหาธรรมกายเจดีย์ เจ้าภาพท่านใดที่ร่วมบุญจะได้รับการ จารึกชื่อไว้ประจำเสาของเจ้าภาพท่าน นั้นๆ บุญจากการสร้างธรรมกายเจดีย์ สำหรับบุญนี้เป็นเรื่องแปลก ธรรมกายเจดีย์ของเรา เกิดขึ้นมาแล้วได้ช่วยคนมากมายเหลือเกิน ที่เห็นกันชัดๆ บางคนเพิ่งละโลกไป มีหลายท่านบอกว่า ได้สร้างองค์พระประจำตัวให้ญาติพี่น้องที่ละโลกไปแล้ว เขากลับมาบอก มาเล่า มาปรากฏให้เห็นว่าเขาได้อนุโมทนาบุญแล้ว ได้รับผลบุญนั้นแล้ว มีตัวอย่างมากมายเหลือเกิน ดังนั้นการที่มหาธรรมกายเจดีย์ บังเกิดขึ้นในโลกครั้งนี้ จึงเป็นที่พึ่งเป็นที่ช่วยเหลือของชาวโลกอย่างเห็นได้ชัดๆ ทั้งอยู่ในโลกนี้และอยู่ในโลกอื่น เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย อย่ากังวลเรื่องเศรษฐกิจ ให้ใจชุ่มอยู่ในบุญ พวกเราเองตอนนี้ หลายท่านอาจจะนึกอยู่ว่า ภาวะเศรษฐกิจบ้านเมืองเป็นแบบนี้ เจ้าของบุญคงจะมาไม่ถึง หรือมาลำบาก อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เคยกล่าวไว้ ท่านได้บอกมาหลายครั้งแล้วว่า"นั่นไม่ใช่เป็นสิ่งจริงจัง มันเป็นภาพลวงตา เหมือนกับพยับแดด ถ้าฟ้าเปิดก็เห็นดวงอาทิตย์ บางครั้งแดดร้อนเปรี้ยงมา ถ้าเราทำเฉยๆ เดี๋ยวเมฆก็มาบัง แล้ว ก็เย็นอีก สลับกันไปแบบนี้ เพราะนั่นคือโลก คือเป็นวัฏฏะ เราไม่ต้องกังวล" มีเรื่องที่จะเล่าให้พวกเราฟังอยู่เรื่องหนึ่ง มีโยมอยู่ท่านหนึ่ง เข้าวัดมานานแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ ใจมั่นอยู่ในบุญตลอดเวลา ตั้งใจทำบุญกันทั้งครอบครัว ทั้งสามีภรรยา ทำมาตลอดอย่างเต็มที่ แต่พอมาเจอภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ถอยเหมือนกัน หมายถึงว่า ฐานะทางด้านการเงินกระทบกระเทือนบ้างเหมือนกัน จิตหวั่นไหว เกิดความวิตกความกังวล บางวันถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ เจอ ค่าเงินบาทลอยตัว ก็แทบแย่เลย เพราะไปทำงานเกี่ยวข้องกับเงินตราต่างประเทศ แต่พอได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ใจก็ชุ่มอยู่ในบุญ และคิดได้ว่าสิ่งที่คนอื่นเขาเจอกัน คือภาพลวงตา เหมือนพยับแดดอย่างนั้น ก็เลยได้สติคิดใหม่ตั้งหลักใหม่ ก็นั่งนึกถึงแต่บุญเรื่อยมา บุญที่เคยทำมาตั้งแต่เริ่มเข้าวัด ตั้งแต่ทอดผ้าป่าทอดกฐิน สร้างกุฏิ สร้างวิหาร สร้างสภาฯ จนกระทั่งเป็น เจ้าภาพสร้างเสาเข็ม สร้างองค์พระ สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ หล่อรูปทองคำหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ทำมาหมดแล้ว แล้วก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ชักชวนคนมาเข้าวัด ทั้งหมู่ญาติเป็นจำนวนมากมาย พอนึกๆ ไปแล้ว ใจก็เกิดปีติ เกิดเบิกบานชุ่มชื่น บุญเรามากขนาดนี้ เออ ยังดีนะเราไม่เกิดมาเสียเปล่า พอใจนึกแบบนี้ขึ้นมาได้แล้ว ใจค่อยสงบลง อาการที่กินไม่ได้นอนไม่หลับก็เลยสงบไป อาการที่ทุรนทุรายหายไป พอสงบเข้าสติก็เริ่มตามมา ก็เลยรับประทานข้าวได้นอนหลับได้ พอนอนหลับแล้ว ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ สุขภาพเริ่มดีขึ้น และก็สามารถแก้ปัญหาธุรกิจของตัวเองได้จากการใช้สติปัญญาอันรอบคอบของตัวเอง คราวนี้หายใจคล่องแล้ว พอนึกขึ้นมาได้แล้วก็ปีติเบิกบานใจ และคิดว่าเราน่าจะนึกได้ตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้เอง เลยนั่งทบไปทวนมา ก็ร้องอ๋อ คราวที่แล้วเราไม่ได้ฟังและทำตามหลวงพ่อสอน ทำให้เกิดความกระวนกระวาย เกิดความเครียด กินไม่ได้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ลุกก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ อยู่ในห้องแอร์เหงื่อก็แตกได้ ตกได้ แต่พอมาฟังธรรมที่หลวงพ่อเทศน์ ท่านสอนเอาไว้แล้ว ก็คิดได้ว่าจริงนะมันเป็นภาพลวงตา เราลองรักษาสติดีๆ ทำใจให้มั่นคงให้เยือกเย็นก็จะแก้ปัญหาได้ เพราะปัญหาใดๆ ในโลกนี้ที่แก้ไม่ได้มันไม่มีหรอก แม้กระทั่งความตาย ก็ยังแก้ได้เลย แล้วคนที่แก้ไม่ใช่ใคร ก็คือพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าของเรานั่นเอง ที่แสวงหาทางพ้นทุกข์แก้จนกระทั่งท่านไม่ต้องกลับมาตายอีก แล้วเราจะพบว่าปัญหา ที่เราเจออยู่นี้มันเล็กน้อยเหลือเกิน ถ้าหากเราสามารถเยือกเย็นลงได้ สงบมั่นคงได้เราก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ พวกเราจะเห็นได้ว่า อานุภาพของบุญนั่นยิ่งใหญ่ แล้วสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนบางครั้งท่านพูดสั้นๆ ไม่ได้ขยายความ แต่ถ้าพวกเราทำตามท่าน เราจะเห็นผลไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่งจนได้ ให้พวกเราที่อาจจะมีปัญหาลักษณะที่คล้ายๆ แบบนี้ ทำตามที่หลวงพ่อท่านสอนไว้เถอะ คือนั่งสมาธิทุกวัน ใจอยู่ในบุญทุกวัน ไม่คลอนแคลน ไม่ง่อนแง่น ไม่เสื่อมศรัทธา ไม่ทุรนทุราย ให้ทำใจเย็นๆ ทำจิตใจให้มั่นคง รักษาสติให้ตั้งมั่น เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นต่อไป แล้ว สติปัญญาก็จะเกิดขึ้น เมื่อเรานั่งสมาธิไปมากๆ แล้ว จิตลงไปถึงศูนย์กลางของปัญญา ไปพบทะเลบุญ ทะเลของปัญญา ปัญญาก็จะสอดมาให้เราคิดเป็น พูดเป็น ทำเป็น แล้วเมื่อนั้นเราก็จะพบวิธีแก้ปัญหา พบทางออกเอง แล้วนี่แหละคือคุณค่าของการปฏิบัติธรรมที่เราสามารถเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ สิ่งที่เราทำมา เรื่องบุญเรื่องกุศลมีมากมายนัก ทุกคนในที่นี้ เชื่อว่าทำกันมาไม่น้อย ลองค่อยๆ นึกกันเถอะ ถ้าหากเราไม่สบายใจเรื่องอะไร นึกถึงบุญก่อน เราเคยทำบุญอะไรมานึกให้หมด นึกแล้วนึกอีก นึกซ้ำๆ นึกบ่อยๆ นึกจนกระทั่งบุญขยาย เกิดปีติ เกิดเบิกบานใจขึ้นมา กินให้ได้ นอนให้หลับ บริหารร่างกาย ดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างมันแก้ไขได้เอง

ทำอย่างไร ? ให้วัดเป็นศูนย์กลางของสังคมไทย

20 March 2008 - 10:29 PM

ทำอย่างไร ? ให้วัดเป็นศูนย์กลางของสังคมไทย ทุกรูปแบบ



สถานการณ์ในปัจจุบันที่โลกกำลังเปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็ว และหลายๆ ประเทศก็ชู เศรษฐกิจ เป็นอันดับแรก ๆ ในการ(พัฒนาประเทศ ประเทศไทยของเราก็อยู่ในข่ายประเทศที่ใช้เศรษฐกิจ เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ผู้นำของประเทศต่าง ๆ หากมีการประชุมสัมมนาพบปะกัน เมื่อใดที่ไหน ก็จะพูดเรื่องเศรษฐกิจกันเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว แล้วเราชาวพุทธมีวัดวาอารามอยู่กว่า ๓๐,๐๐๐ วัด จะอยู่นิ่งเฉยอยู่หรือ ไม่เหลียวหลังและเดินไปข้างหน้ากับเขาบ้างหรือวัดในประเทศไทย น่าจะช่วย พัฒนาสังคมไทยได้มาก ซึ่งหลาย ๆ วัด ก็ได้ทำไปมากแล้ว มีประชาชนให้ความสนใจ ให้ความร่วมมือร่วมกิจกรรมที่วัดทำอยู่เป็นจำนวนมาก แต่หลายวัดก็ยัง ไม่เคลื่อนไหว ว่าจะทำอะไร จะทำอย่างไร ให้วัดของเราเป็นศูนย์กลางของสังคมไทยทุกรูปแบบ ให้ได้เหมือนกับสมัยเมื่อ ๕๐-๖๐ ปี ที่ผ่านมา

ยังไม่สายเกินไปที่วัดต่าง ๆ จะได้เริ่มปฏิบัติทดลองทำได้แล้ว และหลาย ๆ วัดที่ทำอย ู่แล้วก็ทำให้มากขึ้น จะมีประชาชนทุกเพศทุกวัยร่วมงานมากขึ้น ผู้เขียนขอเสนอหลักการ ทำวัดให้เป็นศูนย์กลางของ สังคมไทยทุกรูปแบบสัก ๑๐ ประการ คือ

๑. ทำวัดให้เป็นสถานศึกษาครบวงจร ซึ่งปัจจุบันวัดใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตั้งอยู่ จำนวนมากพอสมควร แต่ยังไม่พึ่งพาอาศัยและอนุเคราะห์เกื้อกูลกันมากนัก ตัวอย่างเช่น โรงเรียนที่อยู่ในบริเวณ ที่ดินของวัดทำรั้วทำกำแพงกั้น ระหว่างวัดกับโรงเรียนอย่างมั่นคงแข็งแรง เหมือนกับโกรธกันมาเป็น ๑๐๐ ปี กระมัง หรือท่านเจ้าอาวาส กับหัวหน้าสถานศึกษาไม่ถูกกัน ไม่กินเส้นกัน มีความขัดแย้ง อยู่เสมอ เลยถือโอกาสทำรั้ว ทำกำแพงกั้นเสียเลย บางโรงเรียนที่อยู่ในที่ดินของวัด อาคารเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอน วัดก็จัดหาให้ด้วย แต่วันดีคืนดี โรงเรียนที่มีชื่อวัดนำหน้า ชื่อโรงเรียนก็ตัดคำว่า วัด ออกเสีย บางโรงเรียนผู้บริหาร ไปเรียนต่อต่างประเทศ จบปริญญาโท เอก ไปอยู่โรงเรียนเดิมไม่สามารถปรับตัว เข้ากับท่านเจ้าอาวาสได้ด้วยประการต่าง ๆ หรือ ผู้บริหารสถานศึกษาที่มิได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ถูกบรรจุแต่งตั้งไปอยู่ในโรงเรียนของวัดก็มี ที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นอุปสรรคและปัญหา ในการพัฒนาโรงเรียนและพัฒนาวัดให้เจริญก้าวหน้าทั้งสิ้น ทางที่ดีแล้วท่านเจ้าอาวาส และผู้บริหารสถานศึกษาต้องหันหน้าเข้าหากัน โดยผู้บริหารสถานศึกษาต้องไปพบปะ ท่านเจ้าอาวาส ก่อนก็จะเป็นการดี และวัดใดที่มีพระภิกษุ ที่มีคุณวุฒิ นักธรรมเอก หรือ เปรียญธรรมหรือพุทธศาสตรบัณฑิต หรือศาสนศาสตรบัณฑิต จะต้องขออนุญาตจากหัวหน้า สถานศึกษาให้พระภิกษุที่มีความรู้ความสามารถ ได้เข้าไปสอน วิชาพระพุทธศาสนา ทุกชั้นเรียนด้วย เพราะปัจจุบันนักเรียนที่เป็นชาวพุทธไม่มีความรู้เรื่อง พระพุทธศาสนามีเป็นจำนวนมาก แต่ไปรู้เรื่องของศาสนาอื่น นี้คือจุดเสื่อมของพระพุทธ-ศาสนาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่มีเจตนาชนิดที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพก็ไม่หลั่งน้ำตา" เพราะฉะนั้น วัดกับโรงเรียนจะต้องร่วมมือกันดังคำกล่าวที่ว่าทำ บ้าน วัด โรงเรียน "(บวร)" ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประสานสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกัน สังคมไทยก็จะน่าอยู่น่าอาศัยไปนานแสนนาน

๒. ทำวัดให้เป็นสถานสงเคราะห์ วัดหลายแห่งได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชน ที่ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ในรูปของสิ่งของเครื่องใช้ และเงินทอง ในกรณีต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม ฝนแล้ง อากาศหนาว วาตภัย ไฟไหม้ ฯลฯ อยู่เป็นประจำ บางวัดจัดหน่วยสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนขึ้นเอง หรือร่วมมือกับหน่วยงานของทางราชการ ซึ่งวัดไม่ได้เป็นเพียงผู้รับบริจาคเพียงอย่างเดียว แต่วัดก็เป็นผู้บริจาคให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดทิฏฐิของคนบางกลุ่มที่ว่า "วัดดีแต่รับเท่านั้น"

๓. ทำวัดให้เป็นสถานพยาบาล วัดที่มีความพร้อมสามารถจัดให้มี สถานพยาบาลภายในบริเวณวัดได้ เพราะปัจจุบันสถานพยาบาลของทางราชการมีไม่เพียงพอ ที่จะให้บริการก่ประชาชน และโรคที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ก็มีมาก เช่น โรคเอดส์ ยาเสพติดทุกชนิด บางวัดก็มีกองทุน มีมูลนิธิให้บริการช่วยเหลือสถานพยาบาลอยู่ก็มี ถ้าวัดต่าง ๆ หันมาให้ความสนใจ แพทย์แผนโบราณ เช่น การนวดแผนโบราณ หรือยาสมุนไพรต่าง ๆ โดยการปลูก การสกัดสมุนไพรเป็นยาและการบำบัดรักษา สิ่งเหล่านี้ ถ้าทางวัดจัดทำได้ ก็สามารถนำประชาชนเข้าวัดได้ทางหนึ่ง ประชาชนจะไม่ห่างจากวัดอย่างแน่นอน

๔. ทำวัดให้เป็นที่พักของคนเดินทาง วัดที่ตั้งอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พิษณุโลก สุโขทัย หนองคาย อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ภูเก็ต ตรัง ฯลฯ ในฤดูกาลท่องเที่ยว จะมีคณะนักเรียน นักศึกษา อุบาสก อุบาสิกา ไปขอพักชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวหรือกิจกรรมอื่น ๆ โดยวัดไม่ต้องเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่าย แต่ให้คณะที่ไปพักทำบุญหรือบริจาคกันเอง ก็จะเข้าลักษณะของการให้ที่พักแก่คนเดินทางได้ ซึ่งถ้าวัดบริการดี ผู้ที่ไปพักอาศัยจะจดจำไปนานแสน

๕. ทำวัดให้เป็นสโมสรของชาวบ้าน ประชาชนในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จะมีการรวมตัวประชุม พบปะ หรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ กันอยู่เสมอ ถ้าวัดใดสามารถจัดสถานที่ ให้ประชาชนเข้ามาใช้ได้ เช่น ศาลาการเปรียญ เป็นต้น แทนที่ประชาชนจะไปใช้ศาลาประชาคม ประจำหมู่บ้าน ตำบล ก็จะมาใช้บริการของวัด หากได้รับความสะดวก ท่านเจ้าอาวาสก็เป็นกันเอง ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี จะทำให้วัดกับบ้านพึ่งพาอาศัยกันมากขึ้น เข้าทำนองบทกลอนที่ว่า "บ้านกับวัดผลัดกันช่วยยิ่งอวยชัย ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง"

๖. ทำวัดให้เป็นสถานที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท วัดใดท่านเจ้าอาวาสเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เมื่อประชาชนมีความทุกข์ ความเดือดร้อน มีกรณีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ร้ายแรง ถ้าท่านเจ้าอาวาสช่วยระงับข้อพิพาทได้ โดยไม่ต้องไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ ก็จะเพิ่มความเชื่อถือเลื่อมใสศรัทธาให้ประชาชนเข้าวัดมากขึ้น หรือถ้าให้ธรรมะไปประยุกต์ใช้ใน การดำรงชีวิตด้วยแล้ว พระพุทธ-ศาสนาก็จะเจริญและมั่นคงยิ่งขึ้น

๗. ทำวัดให้เป็นศูนย์กลางของศิลปวัฒนธรรม ในบริเวณวัดถ้าสามารถ จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัดได้ หรือให้หน่วยงานของทางราชการจัดทำพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว ทางวัดจะมีกิจกรรมอะไรเป็นการเสริมส่วนที่เป็นของวัดด้วยก็จะดีมาก เพราะหลายวัด ที่สร้างมานาน ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรี-อยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จะมีสิ่งของต่าง ๆ ที่มีประชาชนบริจาคไว้ หรืออดีตเจ้าอาวาสองค์ก่อน ๆ จัดหาไว้ ซึ่งส่วนใหญ่จะบ่งบอก ถึงศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามทั้งนั้น น่าจะนำมาแสดง หรือจัดนิทรรศการให้ประชาชน เยาวชน ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เยาวขนเข้าใจหลักธรรมของพระพุทธศาสนามากขึ้น

๘. ทำวัดให้เป็นคลังพัสดุ วัดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดหลาย ๆ วัด ทำอยู่แล้วสามารถให้ยืมสิ่งของต่าง ๆ ไปใช้ที่บ้าน เมื่อทางบ้านมีงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้น เช่น ยืมโต๊ะหมู่บูชา ยืมถ้วยชาม ฯลฯ งานเสร็จแล้วนำสิ่งของส่งคืนวัด ก็จะทำบุญเพิ่มสิ่งของ ให้มากขึ้น วัดก็จะเป็นแหล่งคลังพัสดุของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ตลอดไป

๙. ทำวัดให้เป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครอง ถ้าวัดใดสามารถให้ความร่วมมือกับทางราชการ ในการจัดประชุมสัมมนา ได้เป็นครั้งคราว หรือแม้แต่งานของคณะสงฆ์เอง ภายในตำบล อำเภอ จังหวัด หรือมีสถานที่ให้หน่วยงานของทางราชการ มาทำเป็นสำนักงานภายในวัดได้ หรือหน่วยงานของคณะสงฆ์ ที่จะเกิดขึ้นใหม่ เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด อำเภอ จะทำให้ประชาชนมาใช้บริการและใกล้ชิดกับวัดมากขึ้น ประชาชนจะไม่ห่างจากวัด

๑๐. ทำวัดให้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดงานวันเฉลิม
พระชนมพรรษา วันปิยมหาราช วันสถาปนาของหน่วยงานต่าง ๆ ถ้าสามารถจัดในวัดได้ ที่นอกเหนือ จากงานพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งทางวัดจัดทำอยู่แล้ว ถ้าสามารถ ให้ประชาชน ในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ มาจัดในวัดได้ก็จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนเข้าวัด มากขึ้นเช่นกัน

ตามที่นำเสนอทั้ง ๑๐ ประการนี้ วัดทั้งในกรุงเทพฯและ ต่างจังหวัด ได้ปฏิบัติ จัดทำอยู่แล้วแต่ไม่ครบทุกข้อแล้วแต่ความพร้อม ของแต่ละวัดถ้าวัดใดยังไม่ได้ ปฏิบัติจัดทำเลย ก็โปรดลงมือทดลอง ทำตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อให้วัดเป็นศูนย์กลาง ของชุมชน ของสังคม เป็นผู้นำของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ดังในอดีต ที่ผ่านมาเมื่อ ๕๐-๖๐ ปี โดยชักชวน ลูกหลาน เหลน โหลน เข้าวัดด้วย ทั้งนี้เพื่อให้พระพุทธศาสนา เข้มแข็ง มีความมั่นคงไม่สูญสิ้นไปจาก ประเทศไทยอีกนานแสนนาน

ฉะนั้น ขอให้คณะพุทธบริษัท จงรีบสำรวจว่าวัดของท่านทำได้กี่ข้อกี่เรื่องแล้ว ยังขาดเรื่องอะไรบ้าง โดยรวมตัวผนึกกำลังวัดต่าง ๆ ในเขตปกครองทำเป็นกลุ่ม ตำบลละ ๑ วัด ถ้ามีหลายวัด หรือในหลาย ๆ วัดต่อ ๑ อำเภอ เพราะถ้าต่างวัดต่างทำจะไม่เข้มแข็งและมีกำลังคน กำลังงบประมาณไม่เพียงพอ จะทำไม่สำเร็จ ถ้าท่านเจ้าอาวาสยังคิดว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พระพุทธศาสนาไม่มีใครทำอะไรได้ ยังถือหลักอุเบกขาอยู่ ก็จะตามไม่ทันสถานการณ์ ของบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันในมาตรา ๓๘ และมาตรา ๗๓ กำหนดให้ประชาชนมีเสรีภาพ ในการนับถือศาสนา และนิกายที่ หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับทุกศาสนา รัฐให้ความสำคัญเท่าเทียมกันทุกศาสนา และถ้าท่าน เจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ติดตามสถานการณ์อยู่เสมอจะพบว่า

๑. จำนวนวัดร้างเพิ่มมากขึ้นประมาณ ๖,๐๐๐ วัด และขณะนี้นักการเมือง กำลังจ้องมอง วัดร้างเหล่านี้ว่าจะนำที่ดินไปทำให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ซึ่งนักการเมือง ได้ทำกับที่ดินของวัดธรรมมิการาม จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ดินอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี โดยทำเป็น สนามกอล์ฟอัลไพน์และที่ดินจัดสรรเป็นบ้านพักอาศัย สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว

๒. จำนวนพระภิกษุ สามเณร อยู่จำพรรษา แต่ละปีมีประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ รูป ออกพรรษาจะลดจำนวนเหลือ อยู่ประมาณ ๒๓๐,๐๐๐ รูป มาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว ไม่มีการเพิ่มขึ้นมีแต่ลดลงเรื่อย ๆ นี่แสดงว่าการบวชเรียนของ พระภิกษุ สามเณร ลดลง จำนวนไม่เพิ่มขึ้น

๓. ที่คุยกันว่า ในประเทศไทยมีชาวพุทธประมาณ ๕๗-๕๘ ล้านคนนั้น น่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง จำนวนชาวพุทธลดลง ขณะนี้จะมีประมาณ ๕๕ ล้านคน เป็นชาวพุทธที่มีความรู้ความเข้าใจหลักของพระพุทธศาสนาจริง ๆ และนำธรรมะของ พระพุทธศาสนาไปปฏิบัติอยู่เป็นนิตย์ประมาณสัก ๒-๓ ล้านคน นอกนั้นจะเป็นชาวพุทธ ตามทะเบียนบ้าน

๔. การเรียนการสอนนักธรร, บาลี ไม่มีการปรัปรุงให้ สอดคล้องกับการศึกษา ทางโลกและไม่สามารถถ่ายโอนหน่วยการเรียนกันได้ กุลบุตรในท้องถิ่นจึงมุ่ง ไปเรียนทางโลก มากกว่ามาบวชเรียนเป็นพระภิกษุ สามเณร


เลขเด็ด 019

09 March 2008 - 05:44 PM

เลขเด็ด 019 )



ไม่ใช่เลขใบ้หวย แต่เป็นชุดเลขที่จะทำให้คุณเป็นอิสระหลุดพ้นจากความคับแคบทางจิตใจ เบิกบานแจ่มใส ลองทำความเข้าใจความหมายของเลขสามตัว 019 ข้างล่างนี้ และ นึกทบทวนอยู่ในใจเสมอ หากท่านเข้าถึงความหมายของเลข 3 ตัวนี้ โลกของเราก็จะสวยสดงดงาม ชีวิตของท่านจะก้าวหน้ารุ่งเรืองตลอดไป ความหมายของเลข 3 ตัว
    0 สุญตา หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างว่างจากความหมายเป็นตัวตน คือ มองทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความคิดเชื่อมโยง แล้วเราจะเห็นว่าไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่เป็นตัวตนของมันเอง สักอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราเห็นเมล็ดข้าวในจานข้าว หากรู้จักคิดเชื่อมโยง จะเห็นว่ามีเหตุปัจจัยต่างๆ นานามากมายที่ทำให้เกิดเมล็ดข้าวขึ้นมา ในเมล็ดข้าว เรามองเห็น ทุ่งนา นก หนู ท้องฟ้า กบ สายฝน เคียวเกี่ยวข้าว ความทุกข์ของชาวนา โรคฉี่หนู เถ้าแก่โรงสี กรรมกรแบกหาม ฯลฯ เป็นการมองเชื่อมโยงด้วยสายตาแห่ง ความกรุณา และ ปัญญา
    การมองแบบคิดเชื่อมโยง ไม่มองอะไรเป็นแท่งเป็นก้อน จะทำให้จิตใจของเรา ไม่คับแคบ จิตว่าง เป็นอิสระ หลุดพ้น สบายใจจนบางคนถึงกับเปล่งอุทานออกมาว่า
      " โอ ! สรรพสิ่งล้วน "สุญตา" (ว่างจากความหมายเป็นตัวตน) "
    1 หมายถึง ทุก ๆ ชีวิตคือ หนึ่งเดียวกัน เริ่มต้นจากพ่อแม่ลูกหากมีความรัก สมานสามัคคีกันภายในครอบครัว คนในครอบครัวก็จะเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้เกิดความสุขอันเหลือล้นยิ่งกว่ามีเงินทองนับล้านนับแสน กลุ่มคนมีความคิดดีงามมารวมตัวกันทำกิจกรรมร่วมกัน หรือ คนในชุมชนมีความรู้สึกร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกัน หรือ ตลอดจนความรู้สึกว่าทุกคนในโลกล้วนเป็นพี่เป็นน้องร่วมโลกเดียวกัน ความรู้สึกนี้จะทำให้เราเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นความสุขอย่างเปี่ยมล้น เนื่องจากจิตใจหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัวที่คับแคบ ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว อย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไป
    9 หมายถึง ชีวิตของเราจะต้องก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป คือ แต่ละวินาทีที่ผ่านไป เป็นโอกาสที่เราจะพัฒนาตน ให้เป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่งดีงาม พวกเราทุกคนล้วนโชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ "มนุษย์"เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่สามารถที่จะพัฒนาตนได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เราสามารถที่จะพัฒนาตนจนถึงขึ้นสูงสุด คือ เข้าถึงความ สะอาด สว่าง สงบ รู้ตื่นเบิกบาน
    " 019 คือเลขเด็ดที่จะทำให้คุณประสบโชคดีอย่างแท้จริงไปตลอดกาลนาน"



( อธิบายขยายความแนวความคิดของ ศ.นพ. ประเวศ วะสี จากหนังสือ "วิถีมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 สู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนา" )