ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เรื่องราว 24 ยอดกตัญญู (วังสามเซียน)


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 phani

phani
  • Admin_Article_VDO
  • 425 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 29 July 2014 - 04:21 PM

เรื่องราว 24 ยอดกตัญญู (วังสามเซียน)
 
แนบไฟล์  599190-topic-ix-01.jpg   190.94K   19 ดาวน์โหลด
 
เรื่องที่ 1 หยีซุน กตัญญูจนได้บัลลังก์ 
 
     หยีซุ่น แซ่เหยา กำพร้ามารดาแต่เด็ก บิดาชื่อ กู่โส่ว มารดาเลี้ยงกับลูกมีจิตใจคับแคบ หยาบช้าเห็นแก่ตัว แม้ว่าซุ่นจะถูกมารดาเลี้ยงกับลูกวางแผนเผาทั้งเป็นและกลบฝังในบ่อน้ำแต่ก็รอดมาได้ทั้งสองครั้ง โดยซุ่นมิได้ถือโทษโกรธเคืองแม้แต่น้อย ซุ่นทำนาอยู่ที่เชิงเขาลิซัน มีช้างมาช่วยไถนา และมีฝูงนกมาช่วยกำจัดวัชพืชอย่างน่าอัศจรรย์ ความกตัญญูตกเวทีของซุ่น เมื่อพระเจ้าตี้เหยาทรงทราบ จึงส่งพระโอรสเก้าองค์ไปช่วยซุ่นทำนา และยกพระธิดาสององค์ให้เป็นภริยาของซุ่น เมื่อพระเจ้าตี้เหยาทรงชรามากแล้วได้ทรงมอบราชบัลลังก์ให้แก่ซุ่น ซุ่นครองราชและทรงพระนามว่า พระเจ้าซุ่นตี้
 
เรื่องที่ 2 ฮั่นเหวินตี้ ชิมโอสถ 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น ฮั่นเหวินตี้ ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าฮั่นโกโจ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น พระเจ้าเหวินตี้ เป็น ผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ ทุกเช้าค่ำพระองค์จะต้องเสด็จไปเยี่ยมถามทุกข์สุขของพระมารดาเสมอ ครั้งหนึ่งพระมารดาเกิดล้มป่วยลง พระเจ้าเหวินตี้กระวนกระวายพระทัยมาก ทุกวันนอกจากการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระองค์ไม่กล้าห่างกายพระมารดาแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากนี้โอสถที่พระมารดาเสวยทุกชามพระเจ้าเหวินตี้จะต้องลองชิมดูด้วยพระองค์เองก่อนทุกครั้ง ว่าจะร้อนไป ขมไป หรือยาแรงไปหรือไม่ แล้วพระองค์จึงค่อยป้อนพระมารดา พระมารดาป่วยอยู่ 3 ปี ที่สุดก็ค่อย ๆ หายเป็นปกติ
 
เรื่องที่ 3 กัดนิ้วเรียกบุตร 
 
     สมัยราชวงศ์โจว เจิงเซิน เป็นศิษย์อยู่ในสำนักขงจื๊อ เจิงเซินเป็น ผู้มีความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้ายิ่งนัก วันหนึ่งขณะที่เขากำลังตัดฟืนอยู่ในป่ามีแขกคนหนึ่งมาเยือนที่บ้าน เนื่องจากเจิงเซินไม่อยู่ อีกทั้งไม่มีเงินจะซื้ออาหารมาต้อนรับแขกตามธรรมเนียม มารดาร้อนใจที่รอแล้วรอเล่าบุตรก็ยังไม่กลับมา ที่สุดนางเกิดความคิดขึ้นว่าสายเลือดของมารดากับลูกนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกัน จึงใช้ฟันกัดนิ้วของตนเองจนแตก ในบัดดลนั้นเองเจิงเซินซึ่งกำลังตัดฟืนอยู่ในป่าก็เกิดความรู้สึกเจ็บเสียวในอกขึ้นมาโดยฉับพลัน ทำให้เขาสังหรณ์ใจว่า ทางบ้านคงเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงรีบแบกฟืนกลับบ้านทันที
 
แนบไฟล์  599190-topic-ix-11.jpg   186.01K   27 ดาวน์โหลด
 
เรื่องที่ 4 แบกข้าวร้อยลี้ 
 
     สมัยราชวงศ์โจว จื่อลู่ซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งในสำนักขงจื๊อ ครอบครัวของเขายากจนมาก ต้องไปเก็บผักป่ามากินประทังชีวิต เพื่อเลี้ยงดูผู้บังเกิดเกล้า เขาต้องไปรับจ้างทำงานไกลบ้าน ครั้นได้เงินมาก็จะซื้อข้าวสาร แล้วแบกกลับบ้านเป็นระยะทางไกลนับร้อยลี้เป็นประจำ เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตแล้ว จื่อลู่เดินทางลงใต้ไปรับราชการที่แคว้นฉู่จนได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แม้ว่าบัดนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาจะสมบูรณ์พูนสุข แต่จิตใจเขาก็ยังคงรำลึกถึงบิดามารดาอยู่เสมอ เขามักจะรำพึงรำพันว่า แม้ว่าบัดนี้เราจะมั่งมีศรีสุข แต่เมื่อบิดามารดาไม่อยู่แล้ว การอยู่ดีกินดีจะมีความหมายอะไร เขายังคิดอยากจะมีชีวิตเหมือนเช่นแต่ก่อนที่กินผักป่าและแบกข้าวไกลร้อยลี้เพื่อเลี้ยง ดูบิดามารดา เสียดายที่วันเวลาเหล่านี้ไม่สามารถหวนกลับมาอีกแล้ว
 
เรื่องที่ 5 มารดาเลี้ยงกับลูกเลี้ยง 
 
     สมัยราชวงศ์โจว จื่อเชียนกำพร้ามารดาแต่เด็ก บิดามีภรรยาใหม่ มีบุตรด้วยกัน 2 คน มารดาเลี้ยงเกลียดชังจื่อเชียนมากมักหาเรื่องดุด่าเฆี่ยนตีอยู่เสมอ วันหนึ่งในฤดูหนาวบิดาใช้ให้จื่อเชียน เข็นรถม้าออกไปข้างนอกเพื่อจะไปทำธุระ ขณะที่จื่อเชียนกำลังเข็นรถม้าอยู่นั้นเชือกบังเหียนที่บังคับม้าเกิดหลุดจากมือ เมื่อบิดาตรวจดูเสื้อผ้าของจื่อเชียน ก็รู้ว่าเสื้อกันหนาวของบุตรนั้นภายในบุด้วยนุ่นเทียม ครั้นไปตรวจดูเสื้อผ้าของลูกอีกสองคนปรากฏว่าภายในบุด้วยนุ่นอย่างดี บิดาโมโหสุดขีด คิดจะขับไล่นางไปจากบ้าน จื่อเชียนรีบคุกเข่า พูดว่าบิดาอย่าไล่มารดาไปนะครับ ถ้ามารดาอยู่ผมหนาวคนเดียวเท่านั้น ถ้ามารดาไปเราสามคนต้องลำบากไร้คนดูแล มารดาเลี้ยงได้ฟังคำของลูกเลี้ยง รู้สึกตื้นตันใจมากได้สำนึกผิด ตั้งแต่นั้นมานางก็รักเอ็นดูจื่อเชียนเสมอบุตรของตน
 
เรื่องที่ 6 รีดนมกวาง 
 
    สมัยราชวงศ์โจว ถันจื่อ เป็น ผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ บิดามารดามีอายุมากแล้วและเป็นโรคตาทั้งคู่ มีคนบอกว่าน้ำนมกวางสามารถรักษาได้จึงอยากจะกินน้ำนมกวาง ถันจื่อจึงไปหาซื้อหนังกวางมาคลุมตัวแล้วบุกเข้าไปในป่า แทรกตัวปะปนอยู่ในฝูงกวางโดยกวางไม่สงสัย เขาจึงรีดน้ำนมใส่กาขณะที่เขากำลังนำน้ำนมกวางกลับบ้าน มีนายพรานมาพบเข้า เขาเกือบจะถูกนายพรานยิงตายด้วยลูกธนูเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นกวาง เมื่อถันจื่อเล่าสาเหตุที่ต้องปลอมเป็นกวางให้ทราบ นายพรานยกย่องชมเชยในความกตัญญูของเขามาก เมื่อบิดามารดาได้ดื่มน้ำนมกวาง โรคตาก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ
 
เรื่องที่ 7 ความกตัญญูของคนแก่ 
 
     สมัยราชวงศ์โจว เหล่าไหลจื่อเป็นคนกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้าอย่างยิ่ง เขาอายุ 70 ปีแล้ว บิดามารดายังแข็งแรงดี เขารู้ว่าบิดามารดาอายุมากแล้วดังนั้นจึงเลือกสรรแต่อาหารดี ๆ ที่ท่านชอบมาเลี้ยงดู และเพื่อให้บิดามารดาสำราญบันเทิงใจ บางครั้งเขาจะสวมเสื้อผ้าหลากสี แล้วร้องรำทำเพลงดังเช่นเด็ก ๆ หรือทำเป็นเด็กเล่นหาบน้ำ แสร้งลื่นหกล้มแล้วทำเสียงร้องไห้เหมือนเด็กน้อย หรือออดอ้อนออเซาะเหมือนครั้งยังเด็ก ทำให้บิดามารดาเกิดอารมณ์ขำขันสำราญใจ
 
แนบไฟล์  599190-topic-ix-21.jpg   180.36K   21 ดาวน์โหลด
 
เรื่องที่ 8 สะใภ้กตัญญู             
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น หลี่เสี้ยวฟู่แต่งงานเมื่ออายุ 16 ปี ยังไม่มีลูก สามีไปค้าขายยังต่างแดน ก่อนออกเดินทางได้กล่าวกับนางว่า ครอบครัวเรายากจนจึงจำต้องไปค้าขายยังแดนไกล ภายหน้าถ้าร่ำรวยกลับมาก็ดีแต่ถ้าหากไม่ได้กลับมาเจ้าจะยอมรับภาระเลี้ยงดูมารดาข้าหรือไม่ นางรับปากโดยไม่ลังเลสามีนางดีใจมากได้ถามย้ำแล้วย้ำอีกจนแน่ใจแล้วจึงอำลาจากไป ตั้งแต่นั้นมาสามีนางก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ทุกวันนางต้องทอผ้าจนมืดค่ำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูมารดาสามี บิดามารดาของนางเห็นว่าลูกสาวอายุยังน้อยจะให้นางแต่งงานใหม่ นางกล่าวว่าก่อนสามีจะไปได้สั่งให้เลี้ยงดูมารดาเขาซึ่งตนก็ได้รับปากแล้ว หากตนเสียสัจจะจะสู้หน้าฟ้าดินและสามีได้อย่างไร นางร่ำไห้จะฆ่าตัวตาย บิดามารดานางจึงเลิกราไม่กล้าบังคับอีก เมื่อทางราชสำนักทราบเรื่องนี้ก็ได้พระราชทานทองคำ 200 ตำลึงและป้ายสะใภ้กตัญญูแก่นาง
 
เรื่องที่ 9 แกะสลักรูปบิดามารดา 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ติงหลัน บิดามารดาตายตั้งแต่เขายังเด็ก จึงไม่มีโอกาสปรนนิบัติเลี้ยงดูทดแทนพระคุณเขาเฝ้าแต่ระลึกถึงพระคุณของท่านทุกวันคืน จึงแกะสลักรูปบิดามารดาขึ้นแล้วนำไปวางบนแท่นบูชาไว้กราบไหว้แทนตัว ทุกเช้าค่ำจะจัดอาหารเซ่นไหว้ปรนนิบัติดูแลเสมือนท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนานวันเข้าภรรยาของเขาเกิดรำคาญและเบื่อหน่าย จึงเอาเข็มแทงเล่นที่นิ้วของรูปสลัก ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมา เมื่อติงหลันกลับมาเห็นรูปสลักมีน้ำตาไหลจึงเกิดความสงสัยเลยสอบถามถึงสาเหตุ ครั้นทราบว่าภรรยาใช้เข็มแทงนิ้วรูปบิดามารดา จึงหย่าขาดจากภรรยา
 
เรื่องที่ 10 แบกมารดาหนีภัย 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น เจียงเก๋อเป็นลูกกตัญญูที่กำพร้าบิดาแต่เด็ก อยู่กับมารดาผู้ชราเพียงสองคน ตอนนั้นบ้านเมืองเกิดความไม่สงบ โจรผู้ชายชุกชุม เขาจึงแบกมารดาไว้บนหลังหนีภัยไปอยู่ตำบลอื่น ระหว่างทางเกิดเจอกับพวกโจร ๆ จะจับเขาไปเป็นพวก เจียงเก๋ออ้อนวอนหัวหน้าโจรว่า ได้โปรดเถิด ผมยังมีมารดาที่ต้องเลี้ยงดูหากผมไปกับพวกท่าน มารดาผมก็จะไม่มีใครดูแล หัวหน้าโจรเห็นเขามีความกตัญญูเช่นนี้เกิดความประทับใจจึงปล่อยเขาและมารดาไป เขาหนีภัยไปอยู่ในตำบลหนึ่ง ยากจนเข็ญใจมากไม่มีเสื้อ ไม่มีรองเท้า ทุกวันต้องไปรับจ้างเขาทำงาน เมื่อได้เงินก็นำมาบำรุงเลี้ยงมารดา ซึ่งของจำเป็นต้องกินต้องใช้ทุกวันเขาจะซื้อหามาไม่ให้ขาด จะเห็นได้ว่าคนจนก็สามารถแสดงความกตัญญูได้
 
แนบไฟล์  599190-topic-ix-31.jpg   175.87K   17 ดาวน์โหลด
 
เรื่องที่ 11 ลกเจ๊กลักส้ม 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น ลกเจ็กอายุเพียง 6 ขวบ ได้ไปเยี่ยมคำนับอ้วนสุด เจ้าเมืองจิ่วเจียง เจ้าบ้านจัดส้มจำนวนมากมาเลี้ยงรับรองแขกตามธรรมเนียม เมื่อลกเจ๊กกินแล้วก็คิดถึงมารดา จึงหยิบส้มสองผลใส่ไว้ในแขนเสื้อ ครั้นได้เวลากลับบ้าน ขณะที่ทำคารวะอำลา บังเอิญส้มที่ซ่อนไว้หล่นลงพื้นอ้วนสุดเห็นแล้วก็พูดสัพยอกว่า ลกเจ๊กเอ๋ย เจ้ามาเป็นแขกผู้เยาว์ ไฉนจึงแอบซุกส้มของเจ้าบ้าน ไม่กลัวคนเขาจะหัวเราะเยาะว่าลักส้มหรือ เด็กน้อยคุกเข่าคำนับแล้วกล่าวว่า มารดาผมชอบทานส้มที่สุด ผมจึงตั้งใจจะเอาไปฝาก เมื่อมารดาได้ทานก็นับว่าท่านได้เลี้ยงแขกเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง อ้วนสุดได้ฟังดังนั้นก็ชมเชยว่า เด็กอายุเพียงเท่านี้ยังรู้จักกตัญญูต่อมารดาหายากยิ่งนัก แล้วก็สั่งให้คนรับใช้เอาส้มกระเช้าหนึ่งเดินตามไปส่งเด็กตัวน้อยแต่มีความกตัญญูเป็นเลิศผู้นี้
 
เรื่องที่ 12 ฝังลูกเพื่อมารดา 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น ชายคนหนึ่งมีนามว่า กัวจี้ เป็นคนยากจน มีลูกชายอายุเพียง 3 ขวบ มารดาของกัวจี้รักเอ็นดูหลานชายคนนี้มาก จึงมักจะเอาอาหารที่นางกินแบ่งให้หลานชายกินเสมอ กัวจี้เห็นแล้วเกิดความละอายใจ จึงบอกภรรยาว่า บ้านเรายากจนอย่างนี้อาหารที่บำรุงเลี้ยงมารดาความจริงก็ไม่ค่อยพออยู่แล้ว ยังถูกแบ่งส่วนหนึ่งให้ลูกของเราทุกวัน เราควรเอาลูกไปฝังเสียเถิด มารดาจะได้กินอาหารอิ่มท้อง ลูกนั้นอาจมีใหม่ได้แต่มารดาไม่อาจมีใหม่ได้อีก เมียเขาแม้จะรักลูกมากแต่ก็เห็นความกตัญญูสำคัญกว่าจึงยอมตกลงด้วย ขณะที่กัวจี้กำลังใช้จอบขุดพื้นดินลึก 3 ฟุต ก็พบทองแท่งจำนวนมากมีอักขระจารึกไว้ว่า ฟ้าประทานแก่ลูกกตัญญูห้ามหลวงยึด ห้ามราษฎร์ชิง
 
เรื่องที่ 13 พัดที่นอนให้บิดา 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น หวงเซียง เป็นชื่อของลูกกตัญญูคนหนึ่ง ขณะนั้นมีอายุ 9 ขวบ ตั้งแต่มารดาเสียชีวิต เขาเฝ้าแต่คร่ำครวญคิดถึงอาลัยอยู่ทุกวันคืน หวงเซียงตั้งอกตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง คอยปรนนิบัติรับใช้บิดาอย่างดีที่สุดตามหน้าที่ของลูกที่ดีในหน้าร้อนยามอากาศร้อนอบอ้าว ก่อนที่บิดาจะเข้านอนเขาจะใช้พัดโบกวีที่นอนของบิดาให้เย็นเสียก่อน แล้วจึงเชิญบิดาขึ้นนอน เขาปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมาอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย กิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาเลื่องลือไปไกลจนทราบถึงเจ้าเมืองหลิวหู้ ท่านจึงขอให้ทางราชสำนักประกาศเกียรติคุณในความกตัญญูกตเวทีของหวงเซียง จนเป็นที่ทราบกันตราบทุกวันนี้
 
แนบไฟล์  599190-topic-ix-41.jpg   179.61K   23 ดาวน์โหลด
 
เรื่องที่ 14 เก็บผลหม่อนเลี้ยงมารดา 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น ไช่ซุ่นกำพร้าบิดาแต่เด็ก เขาปรนนิบัติดูแลมารดาด้วยความกตัญญูยิ่ง ตอนนั้นบ้านเมืองเกิดจลาจลทั้งเกิดภัยแล้งข้าวยากหมากแพง ได้แต่ไปเก็บผลหม่อนมากินประทังชีวิต เวลาที่ไช่ซุ่นไปเก็บผลหม่อนเขาจะต้องนำตะกร้าสองใบไปด้วยเสมอ ใบหนึ่งใส่ผลหม่อนสีดำ ใบหนึ่งใส่ผลหม่อนสีแดง บังเอิญพวกโจรคิ้วแดงมาพบเข้า หัวหน้าโจรเห็นแปลกนักจึงถามว่า ทำไมผลหม่อนเหล่านี้จึงต้องแยกตะกร้า เด็กหนุ่มตอบว่า "ผลหม่อนสีดำมีรสหวานจะเอาไปให้มารดากิน ส่วนผลหม่อนสีแดงมีรสเปรี้ยวจะเก็บเอาไว้กินเอง" หัวหน้าโจรได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสงสารที่แม้เขาจะยากจนเช่นนี้ยังมีความกตัญญู จึงสั่งลูกน้องให้นำข้าวสาร 3 กระสอบกับเนื้อโค 1 ขามามอบให้ไปเลี้ยงมารดา
 
เรื่องที่ 15 ปลาไนจากน้ำพุ 
 
     สมัยราชวงศ์ฮั่น เจียงซือ เป็นผู้กตัญญูต่อมารดายิ่งภรรยา เขามีภรรยาชื่อ นางผัง มีความกตัญญูต่อมารดาสามียิ่งกว่าเจียงซือเสียอีก มารดาชอบดื่มน้ำที่มาจากแม่น้ำ นางผังไม่กลัวต่อความยากลำบากอุตส่าห์ไปหาบน้ำจากแม่น้ำซึ่งอยู่ไกลบ้านมาให้มารดาสามีดื่มและใช้ทุกวัน มารดาชอบกินเนื้อปลาที่หั่นเป็นชิ้น ๆ สองสามีภรรยาก็ไปหาปลามาปรุงให้มารดากินทุกวันทั้งยังไปเชิญแม่เฒ่าบ้านใกล้เคียงมาร่วมกินเป็นเพื่อนมารดาเพื่อเป็นการเจริญอาหารอีกด้วย อยู่มาวันหนึ่ง ที่ข้างบ้านได้เกิดมีแอ่งน้ำพุซึ่งมีกลิ่นและรสเหมือนน้ำจากแม่น้ำ และมีปลาไนคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมาทุกวัน จากนั้นเป็นต้นมา สองสามีภรรยาก็ใช้น้ำและปลาจากแอ่งน้ำพุ มาปรุงอาหารให้มารดาบริโภคเป็นประจำ
 
เรื่องที่ 16 ฝังศพมารดาพบหีบสมบัติ 
 
     หยางอี่เป็นขอทานที่ปรนนิบัติดูแลมารดาด้วยความกตัญญูยิ่ง ทุกครั้งที่ได้อาหารมา แม้จะหิวปานใดก็จะต้องให้มารดากินก่อนเสมอแล้วตนเองถึงจะกิน ยามมารดามีทุกข์เขาก็จะร้องรำทำเพลงเพื่อให้มารดาเกิดความสำราญบันเทิงใจ ชาวบ้านร้านถิ่นชื่นชมในความกตัญญูของเขา และยินดีที่จะรับเขาทำงานด้วยเงินเดือนแพง แต่เขาปฏิเสธโดยกล่าวว่า มารดาผมยังอยู่ผมจะห่างไกลแม้สักวันได้อย่างไร เมื่อมารดาถึงแก่กรรมชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคเงินช่วยค่าโลงศพโดยฝังไว้ที่ป่าช้า หยางอี่ได้ปลูกกระท่อมอยู่ข้าง ๆ เพื่อเป็นเพื่อนมารดาและหมั่นเซ่นไหว้ทุกวัน เขาได้พบทองคำหนึ่งหีบซึ่งฝังอยู่ข้างหลังหลุมฝังศพ มีอักขระจารึกไว้ว่า ฟ้าประทานแก่ลูกกตัญญู นี่คือผลลัพธ์แห่งความกตัญญู
 
เรื่องที่ 17 มารดาสามีกินนมจากเต้า 
 
     สมัยราชวงศ์ถัง นางจั่งซุนฮูหยินชรามากแล้ว ฟันร่วงหลุดหมดปาก ไม่สามารถขบเคี้ยวอาหารได้ นางถังฮูหยินผู้เป็นบุตรสะใภ้ต้องสละน้ำนมของนางให้กินทุกวัน ก่อนให้น้ำนมมารดาสามีนางจะอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดแต่งตัวเรียบร้อยเข้าไปในห้องโถง เลิกเสื้อให้มารดาสามีดูดกินน้ำนมจากเต้าของนาง นางจั่งซุนฮูหยินแม้ จะไม่ได้กินข้าวแต่ได้กินน้ำนมทุกวัน เวลาผ่านไปหลายปีนางก็ยังแข็งแรงดี วันหนึ่งนางเกิดป่วยหนักได้เรียกบุตรหลานทุกคนมาพร้อมหน้าแล้วกล่าวว่า ย่าไม่มีอะไรจะตอบแทนบุญคุณของลูกสะใภ้ ขอเพียงให้ลูกสะใภ้ของลูกหลานทุกคน จงได้มีความกตัญญูต่อมารดาสามีดังเช่นลูกสะใภ้ของย่าคนนี้ย่าก็พอใจแล้ว
 
แนบไฟล์  599190-topic-ix-51.jpg   185.99K   21 ดาวน์โหลด
 
เรื่องที่ 18 จับปลาในบึงน้ำแข็ง 
 
     สมัยราชวงศ์จิ้น หวังเสียงกำพร้ามารดาแต่เด็ก นางจูมารดาเลี้ยงเกลียดชังลูกเลี้ยงมาก มักหาเรื่องฟ้องสามีว่าบุตรเลี้ยงอกตัญญูต่าง ๆ ทำให้บิดาพลอยเกลียดหวังเสียงไปด้วย แต่หวังเสียงยังคงกตัญญูต่อบิดามารดาไม่เสื่อมคลาย มารดาเลี้ยงชอบกินปลาสดที่สุด แต่ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวหิมะตกหนัก น้ำในแม่น้ำคลองบึงจับตัวเป็นน้ำแข็งไม่อาจจะหาปลาสดได้ หวังเสียงได้ความคิดอย่างหนึ่ง จึงไปที่บึงน้ำแข็งแล้วเปลื้องเสื้อผ้าออก นอนนาบกายลงบนพื้นให้ไออุ่นในร่างเผาลนน้ำแข็ง ครู่ต่อมาน้ำแข็งก็แตกแยกออกเป็นร่องมีปลาไนสองตัวกระโดดขึ้นมา เขาดีใจมาก รีบนำปลาไปปรุงอาหารให้มารดาเลี้ยงกิน
 
เรื่องที่ 19 ล่อยุงให้กัดตัวเอง 
 
     สมัยราชวงศ์จิ้น อู๋เมิ่ง อายเพียง 8 ขวบก็รู้จักกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า เนื่องจากทางบ้านยากจนมากจึงไม่มีเงินซื้อมุ้งมากางนอน ในฤดูร้อนยุงชุมมากตอนกลางคืน อู๋เมิ่งจะนอนเปลือยกายล่อให้ยุงกัดไม่ยอมปัดไล่ ปล่อยให้มันกัดกินเลือดของเขาจนอิ่ม เพื่อจะได้ไม่ไปกัดบิดา อู๋เมิ่งอายุเพียงแค่นี้ก็ยังรู้จักรักผู้บังเกิดเกล้าถึงปานนี้ นับว่าเป็นยอดแห่งลูกกตัญญูโดยแท้
 
เรื่องที่ 20 สู้กับเสือเพื่อช่วยบิดา 
 
     สมัยราชวงศ์จิ้น มีเด็กหญิงอายุ 14 ขวบคนหนึ่งชื่อ หยางเซียง วันหนึ่งขณะที่นางติดตามบิดาไปที่ไร่ ทันใดนั้นก็มีเสือตัวหนึ่งกระโจนออกมาคาบบิดาของนางไป ตอนนั้นในมือของหยางเซียงไม่มีอาวุธอะไร แต่ด้วยแรงกตัญญูบวกกับความกล้าหาญ นางจึงกระโดดขึ้นขี่บนหลังเสืออย่างไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเอง โดยใช้มือน้อยทั้งสองบีบรัดคอเสือไว้แน่นแล้วใช้กำปั้นต่อยไปที่หัวเสืออย่างสุดแรง เสือตกใจก็ปล่อยบิดาแล้ววิ่งหนีหายไป บิดาของหยางเซียงจึงรอดอย่างหวุดหวิด
 
เรื่องที่ 21 หน่อไม้ขึ้นผิดฤดู 
 
    สมัยสามก๊ก เมิ่งจง กำพร้าบิดาตั้งแต่เด็ก อยู่กับมารดาผู้ชราและกำลังป่วยหนัก วันหนึ่งมารดากระหายใคร่จะกินหน่อไม้ เมิ่งจงรีบไปเสาะหาในป่าไผ่ แต่พยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่ได้เพราะเป็นฤดูหนาว เมื่อจนปัญญาก็โผเข้ากอดกอไผ่ร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ด้วยอานุภาพแห่งความกตัญญูของเขา ฟ้าดินดลบันดาลให้หน่อไม้ผุดขึ้นเหนือพื้นมากมายอย่างน่าอัศจรรย์ เขาดีใจมาก ขอบคุณฟ้าดินแล้วรีบขุดเอาไปปรุงอาหารให้มารดากิน จากนั้นมาอาการป่วยของนางก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ
 
แนบไฟล์  599190-topic-ix-61.jpg   195.8K   20 ดาวน์โหลด
 
เรื่องที่ 22 ชิมอุจจาระบิดา 
 
     สมัยราชวงศ์ฉี เกิงเฉียนโหลวสอบเข้ารับราชการได้ที่อำเภอแห่งหนึ่ง เข้าทำงานได้ไม่ถึง 10 วัน จู่ ๆ ก็รู้สึกใจสั่นเหงื่อไหลโทรมกายโดยไร้สาเหตุ สังหรณ์ใจว่าทางบ้านคงเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงลาราชกายกลับบ้านเกิด เมื่อถึงบ้านก็พบว่าบิดาเพิ่งจะป่วยได้ 2 วัน หมอที่มารักษาบอกเขาว่า ถ้าอยากรู้ว่าอาการป่วยหนักหรือเบา เพียงแค่ชิมอุจจาระของคนไข้ก็จะทราบ หากอุจจาระมีรสขมก็รักษาไม่ยากแต่ถ้ามีรสหวานก็หมดหนทางรักษา เฉียนโหลวมิรอช้าเอาอุจจาระของบิดาขึ้นชิมทันที ปรากฏว่ามีรสหวาน ทำให้เขาทุกข์ใจมาก พอตกค่ำเขาอธิษฐานต่อเทพเจ้าเบื้องบนขอให้บิดาจงหายป่วย ส่วนตนเองจะขอตายแทน ด้วยอานุภาพแห่งความกตัญญูของเขาไม่ช้าบิดาก็หายเป็นปกติ
 
เรื่องที่ 23 ลาออกราชการเพื่อหามารดา 
 
     สมัยราชวงศ์ซ้อง จูโซ่วชาง ตอนอายุเพียง 7 ขวบ มารดาของเขาชื่อนางหลิว เป็นภรรยาน้อยของบิดา ภรรยาหลวงริษยานางหลิวมาก จึงขายนางให้เป็นภรรยาชายอื่นไป นับแต่นั้นมามารดาและลูกต้องพรากจากกันเป็นเวลาถึง 50 ปี กระทั่งถึงรัชกาลของเสินจงฮ่องเต้ จูโซ่วชางแม้จะเป็นขุนนางชั้นสูงแต่ในใจเขาหามีความสุขไม่ ระลึกถึงพระคุณของมารดาที่ให้กำเนิดอยู่เสมอ จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ เพื่อจะได้ติดตามสืบหามารดา ก่อนออกเดินทางเขาบอกกับคนในบ้านว่า เราไปครั้งนี้หากหามารดาไม่พบ ขอสาบานว่า จะไม่กลับบ้านอีกจนชั่วชีวิต จากนั้นก็ออกเดินทางรอนแรมไปถึงเขตถงโจว ก็ได้พบกับมารดาบังเกิดเกล้าที่จากกัน 50 ปี ด้วยความบังเอิญ ตอนนั้นนางมีอายุ 70 กว่าปีแล้ว
 
เรื่องที่ 24 เทถังอุจจาระมารดา 
 
     สมัยราชวงศ์ซ้อง หวงถิงเจียน เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่มีความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้ายิ่ง แม้เขาจะมียศศักดิ์สูงส่งเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ก็ไม่เคยละเลยการปรนนิบัติดูแลตามหน้าที่ของลูกที่ดี โดยปฏิบัติตามโอวาทหรือคำสั่งของมารดาอย่างเคร่งครัด ทุกวันเขาจะเทล้างถังอุจจาระของมารดาด้วยตนเองไม่ยอมใช้บ่าวไพร่ให้ทำงานนี้ เพราะถือว่า เป็นหน้าที่ของบุตรที่พึงปฏิบัติ ไม่ควรไปให้คนอื่นทำแทน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่ ก็หาได้ละเลยหรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของบุตรแม้แต่วันเดียว
 
 


#2 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 July 2014 - 07:54 AM

วันก่อน พอจ จุมพล ปญฺญพโล ลงเทศน์ใน รร อนุบาลฯ เรื่อง ความกตัญญูของพระสารีบุตร ว่าเป็นทางมาแห่งปัญญาอันเลิศ

 

http://video.dmc.tv/...นวิทยา.mp4.html

 

ฟังเพลินๆนะ


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC