ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระโมคคัลลานะเคยเป็นมารมาก่อน


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 28 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 01:51 PM

happy.gif พระโมคคัลลานะเคยเป็นมารมาก่อน



แถมในชาติที่เป็นมารนั้น ยังต้องไปตกมหานรกอีกต่างหาก เพราะได้ทำบาปกรรมอันหนักไว้

เรื่องนี้มาในพระไตรปิฎก ชื่อพระสูตรว่า ‘มารตัชชนียสูตร’ (ว่าด้วยการคุกคามของมาร)

ที่นี้จะนำมาเล่าพอสังเขป ฉบับเต็ม ควรศึกษาเพิ่มเติมจากที่ได้อ้างอิงไว้ตอนท้ายเรื่องแล้วครับ



happy.gif เรื่องนี้ท่านเล่าไว้ตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล ครั้ง ‘พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะ’ ยังมีพระชนชีพอยู่

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้น ณ ‘เภสกฬาวัน’ สถานที่ให้อภัยแก่หมู่เนื้อ เขต ‘กรุงสุงสุมารคิระ’ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ

แคว้น ‘ภัคคะ’ ในอินเดียสมัยนั้น



happy.gif เรื่องมีอยู่ว่า...



วันหนึ่ง ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง

ท่านได้ถูกมารใจบาปเข้าสิงท้องอยู่ในลำไส้

ทำให้ท่านรู้สึกว่า “ท้องเราเป็นเหมือนว่ามีก้อนหินหนักๆอยู่

และเป็นเหมือนกระสอบที่บรรจุถั่วเหลืองเต็ม นี่เพราะเหตุอะไรหนอ”



คิดดังนั้นแล้ว ท่านจึงลงจากที่จงกรม เข้าไปในวิหาร แล้วนั่งสมาธิมนสิการโดยแยบคายเฉพาะตน



ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงได้เห็นว่า ขณะนี้มีมารใจบาปเข้ามาสิงในท้องในไส้ของท่าน

ท่านจึงกล่าวกับมารใจบาปว่า

“มาร ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่ามาเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลย

เพราะการเบียดเบียนนั้น จะไม่เป็นประโยชน์ใด แต่จะเป็นเพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน”



ฝ่ายมารใจบาปได้ยินคำพระเถระแล้ว กลับคิดว่า

สมณะนี้ คงไม่รู้ไม่เห็นเราจริงๆหรอก คงพูดไปลอยๆ อย่างนั้นเอง

แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่รู้จักเราได้เร็วไวอย่างนี้ ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้



happy.gif สิ้นความคิดคำนึงของมารปุ๊ป พระมหาโมคคัลลานะก็กล่าวสวนขึ้นมาปั๊ปว่า

“มาร เรารู้จักท่านแม้แต่ความคิดของท่านที่ว่า ‘สมณะนี้ไม่รู้ไม่เห็นเราจริงๆหรอก

แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่รู้จักเราได้เร็วไวอย่างนี้ ไฉนสมณะที่เป็นสาวกจักรู้จักเราได้”



ฝ่ายมารได้ยินพระเถระรู้เท่าทันอย่างนั้น จึงคิดว่า

‘สมณะนี้คงจะรู้จักและเห็นเราจริง จึงกล่าวได้ถูกอย่างนี้’

มารจึงออกมาจากปากของพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ข้างบานประตู



ฝ่ายพระเถระก็กล่าวรุกอีกว่า

“มาร เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่เห็นเรา”



happy.gif ท่านไม่ได้รู้แต่เท่านี้นะครับ แต่ท่านก็ยังรู้ไปถึงอดีตของท่านกับมารตนนี้ว่ามีความเกี่ยวดองกันมาอย่างไร

โดยพระมหาโมคคัลานะท่านเล่าให้มารฟังว่า

#2 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 02:09 PM

ในสมัยพระผู้มีพระภาคพระนามว่า ‘กกุสันธะ’ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก
เราเป็นมารชื่อ ‘ทูสี’ มีน้องสาวชื่อ ‘กาลี’ ส่วนท่านเป็นบุตรของน้องสาวเรา ท่านจึงเป็นหลานชายของเรา

ครั้งนั้น เราคือทูสีมารมีความคิดว่า
‘เราไม่รู้จักการมาการไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย (หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระสาวกในสมัยนั้น)
เราจะต้องดลใจให้พวกพราหมณ์และคหบดี ให้มารุมด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด
คอยเบียดเบียนพวกภิกษุเหล่านี้ดีกว่า เพื่อให้พวกภิกษุเหล่านี้มีจิตเป็นอย่างอื่น จะทำให้เราได้ช่องได้โอกาส’
(น่าจะเป็นการยั่วให้โกรธ ขัดข้องขุ่นเคืองใจ มารจะได้จับอารมณ์ได้)

ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคหบดีถูกทูสีมารดลใจแล้วก็ด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียนพวกภิกษุว่า
“สมณะหัวโล้น เป็นชาวบ้าน เป็นค่าง เกิดจากหลังเท้าของพรหม
พูดว่าตัวเจริญฌาน แต่เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน เที่ยวรำพึง ซบเซาเหงาหงอยอยู่
เหมือนนกเค้าแมวที่หาหนูกินไม่ได้ เหมือนสุนัขจิ้งจอกหาปลาไม่ได้ เหมือนแมวที่ไม่มีหนูให้จับ
เหมือนลาที่ถูกปลดระวางแล้ว ฉะนั้น”


ดูก่อน มาร! สมัยนั้น มนุษย์พวกนั้นทั้งหลายที่ตายไป ได้ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินบาต และนรกโดยมาก

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสสอน(เพื่อแก้ทางมาร)ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย มาเถิด พวกเธอจงมีเมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขาจิต แผ่ไปตลอดทิศที่ ๑, ๒, ๓, ๔,
ทั้งทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเฉียง แผ่ไปตลอดโลกทั่วทุกหมู่เหล่าในที่ทุกสถาน
ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจิต อันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่”

happy.gif เมื่อเหล่าภิกษุทำตามที่ พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ มารจึงไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาส
(ในการจับสัตว์ไปเป็นบ่าวเป็นทาสพญามาร)

ครั้งนั้นเราคือทูสีมารจึงมีความคิดว่า
‘เราทำอยู่แม้ถึงอย่างนี้ ก็ยังมิอาจได้รู้ถึงการมาและการไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย
เอาอย่างนี้ดีกว่า (มาไม้ใหม่) เราควรดลใจชักชวนพวกพราหมณ์และคหบดีว่า
‘เชิญท่านทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด
เพื่อจะทำให้ภิกษุเหล่านั้นมีจิตเป็นอย่างอื่น ทำให้เราพึงได้ช่องได้โอกาส’
(เป็นการยั่วให้หลงไหล โลภในลาภสัการะทั้งหลาย)

ครั้งนั้น พวกพราหมณ์และคหบดีเหล่านั้น ถูกทูสีมารดลใจชักชวนแล้ว
พากันสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายอยู่

ดูก่อน มาร! สมัยนั้นมนุษย์พวกนั้นทั้งหลายที่ตายไป ก็ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์โดยมาก

ครั้งนั้น (เมื่อมารมาไม้ใหม่อย่างนี้) พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสสอน(แก้ทางมาร) ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมา จงพิจารณาเห็นกายว่าไม่งาม
มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงว่า เป็นของไม่เที่ยงอยู่เถิด”


happy.gif เมื่อเหล่าภิกษุทำตามที่พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ มารจึงไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาส
เป็นเหตุให้ทูสีมารมีความคับแค้นเป็นทวียิ่งนัก


#3 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 02:38 PM

happy.gif ต่อตอนจบครับ

มาวันหนึ่ง ในเวลาเช้า ‘พระกกุสันธพุทธเจ้า’ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
โดยมี ‘พระวิธุระ’ อัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้ติดตามหลังพระองค์(เป็นปัจฉาสมณะ)

ครั้งนั้น เราคือทูสีมารได้เข้าสิงเด็กคนหนึ่งแล้วเอาก้อนหินขว้างที่ศีรษะของท่านพระวิธุระแตก
ท่านพระวิธุระมีศีรษะแตกเลือดไหลอาบอยู่ แต่ก็ยังคงเดินตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปอยู่อย่างนั้น

ลำดับนั้น พระกกุสันธพุทธเจ้า ทราบเหตุแล้วทรงชำเลืองดูทูสีมาร เหมือนช้างชำเลืองดู แล้วตรัสว่า
‘ทูสีมารนี้ไม่รู้จักประมาณเลย’
พร้อมกับพระกิริยาที่ทรงชำเลืองดูนั้นเอง ทูสีมารได้เคลื่อนแล้วจากที่ตรงนั้น ไปเกิดในมหานรก

ดูก่อน มาร! มหานรกนั้นมี ๓ ชื่อ คือ
(๑) ฉผัสสายตนิกนรก (นรกที่มีผัสสายตนะ ๖ เป็นเหตุเกิดทุกขเวทนาอันเผ็ดร้อน)
(๒) สังกุสมหตนรก (นรกที่สัตว์นรกต้องถูกแทงด้วยขอเหล็ก)
(๓) ปัจจัตตเวทนียนรก (นรกที่สัตว์นรกก่อทุกขเวทนาให้เกิดแก่ตนเอง คือต้องทำร้ายตนเอง)

มาร ครั้งนั้น พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเรา(ผู้เป็นทูสีมาร)แล้วบอกว่า
“เมื่อใดหลาวเหล็กกับหลาวเหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของท่าน
เมื่อนั้นท่านพึงรู้ว่า ‘เราไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว”

เรานั้นหมกไหม้อยู่ในมหานรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี
และหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรก ซึ่งเป็นบริวารแห่งมหานรกนั้น
เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหนึ่งหมื่นปี
เรานั้นมีร่างกายเหมือนมนุษย์ มีศีรษะเป็นปลา”


เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เล่าเรื่องนี้แก่มารผู้เป็นอดีตหลายชายแล้ว
ท่านได้กล่าวอวสานคาถาไว้ว่า

... happy.gif คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อมเดือดร้อนอยู่ว่า
‘ไฟย่อมไม่มีความคิดว่าจะเผาเรา แต่เราผู้เป็นคนพาลเผาตัวเอง’
มาร ท่านเบียดเบียนผู้เป็นเช่นนี้(ตถาคต)แล้ว จักเผาตัวเอง
ดังคนพาลที่ถูกไฟเผาฉะนั้น

happy.gif มาร ท่านเบียดเบียนผู้เป็นเช่นนี้แล้ว ต้องประสบบาป
ก็ท่านเข้าใจหรือว่า ‘บาปไม่ให้ผลแก่เรา’
ผู้ที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน

happy.gif มาร ท่านเบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า
อย่าคิดหวังที่จะทำภิกษุทั้งหลายให้พินาศเลย

ภิกษุ(พระมหาโมคคัลลานะ)ได้คุกคามมารในเภสกฬาวัน ด้วยประการฉะนี้
ลำดับนั้น มาร(อดีตหลานฯ)นั้นเสียใจ ได้อันตรธานไปจากที่นั้น ดังนี้แล.


อ้างอิงจาก-พระไตรปิกฎก (มจร.แปล) เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๕๐๖-๕๑๓ หน้าที่ ๕๔๕-๕๕๓.



#4 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 02:56 PM

happy.gif มารที่มีตัวตนอย่างนี้แหละครับ เรียกว่า เทวบุตรมาร
ซึ่งสามารถตกนรกหมกไหม้ได้เหมือนสัตว์ทั่วไป หากไปทำบาปกรรมอันหนักเข้า
ส่วนตัวหัวหน้าใหญ่ที่เรียกว่า ‘พญามาร’ เห็นจะออกโรงที
ก็ครั้ง พระบรมโพธิสัตว์จะตรัสรู้ในคืนเพ็ญวิสาขะนั่นแหละครับ หมอระดมพลพรรคมารมาทั้งแสนโกฏิจักรวาลทีเดียว
แม้แต่บรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย ทั้งศักดิ์น้อยศักดิ์ใหญ่แค่ไหนยังต้องหนีกระเจิดกระเจิงเมื่อพญามารระดมพล
จะเข้าทำลายการบรรลุ ‘อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ’ ของบรมโพธิสัตว์ของเรา
ทั้งที่ตอนแรก เทพทั้งแสนโกฏิจักรวาล ก็ระดมพลตั้งใจมาเพื่อปกป้องพระบรมโพธิสัตว์แท้ๆ แต่ก็ นะ.. sleep.gif

happy.gif อย่าว่าแต่เทวดาเลยครับ พระพรหมที่เหนือกว่าเทพเจ้าทั้งปวง
ผู้คิดว่า ตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ คณะพรหมฝ่าฝืนไม่ได้ เป็นผู้รู้ทั่ว
ยังสรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลก เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่งสัตว์
เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้ว และที่กำลังจะเกิด
ยังถูกมารเข้าสิงได้! แถมคุยโตโอ้อวดข่มพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราต่างๆ นาๆ ซะด้วย
แต่เมื่อพระพรหมนี้ โต้วาทะกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแล้วสู้ไม่ได้
สุดท้ายก็เลยประลองฤทธิ์กัน เป็นที่เลื่องลือสะท้านสะเทือนอาณาจักรเทพเจ้าทีเดียวครับ น่าศึกษามากๆ ครับ

happy.gif แฮ่ๆ แต่เรื่องมารสิงพรหมนี้ เอาไว้ว่างๆ จะพิมพ์มาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ วันนี้เมื่อยแระ
ขอบคุณ และอนุโมทนาบุญที่ได้ศึกษาธรรมร่วมกันนะครับ
happy.gif

#5 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 04:55 PM

อนุโมทนา ในธรรมทานครับ
เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก รออ่านตอนต่อไปนะครับ

ขอความรู้เพิ่มเติม ที่กล่าวว่า
QUOTE
มารที่มีตัวตนอย่างนี้แหละครับ เรียกว่า เทวบุตรมาร


เทวบุตรมาร
หมายถึง กายทิพย์ที่เป็นเทพบุตร หรือปล่าว

ถ้าใช่
ทำไม กายทิพย์ จึงมีฤทธิ์ สิงกายพรหม ที่ละเอียดกว่าไดล่ะ้ครับ งง


#6 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 05:53 PM

happy.gif แหม! ซื้อหวยละไม่ถูก
แฮ่ๆ ล้อเล่งๆ ไม่ได้ซื้อจริงละครับ เป็นสำนวนชาวบ้านครับ
ผมนึกไว้ก่อนแล้วเชียวว่า ประเดี๋ยวต้องมีท่าน ‘ผู้ทรงภูมิรู้’ ถามในประเด็นมารสิงพรหมแน่นอน
เพราะธรรมดาแล้วอย่าว่าแต่เข้าสิงเลยครับ แม้เทพทั้ง ๖ ชั้นฟ้าก็มิอาจเห็นกายของพรหมได้
ถ้าท่านไม่ต้องการให้เห็น

happy.gif ผมลองกลับไปเปิดดูพระสูตรที่ว่านี้ ท่านก็ไม่ได้กล่าวเจาะจงไว้ว่าเป็นมารอะไรนะครับ
ในบาลีท่านกล่าวไว้เพียงว่า

อถ โข ภิกฺขเว มาโร ปาปิมา อฺตร พฺรหฺมปาริสชฺช อนฺวาวิสิตฺวา
แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มารใจบาปเข้าสิงกายพรหมปาริสัชชะผู้หนึ่ง

happy.gif ถึงตรงนี้ต้องขออภัยที่จริงพรหมนั้นเป็น ‘พรหมปาริสัชชะ’ คือเป็นบริวารของมหาพรหมนั่นละครับ
แต่แม้แค่บริวารพรหมก็ยังเหนือกว่า เทพชั้นฉกามาพจรอยู่ดี
แล้วทีนี้ เทวบุตรมารซึ่งอยู่ในชั้น ฉกามาพจร จะเข้าสิงพรหมได้อย่างไร

happy.gif ตรงนี้ผมคิดว่า มารที่สิงพรหมนี้ คงไม่ใช่เทวบุตรมารธรรมดาละครับ
ส่วนตัวผมแล้วคิดว่า ไม่เป็น ‘กิเลสมาร’ ก็น่าจะเป็น ‘พญามาร’ มาเองละครับ

happy.gif เดี๋ยวไว้จะนำเรื่องนี้มาเล่าต่อครับ ขอไปเรียบเรียงและรวบรวมข้อมูลก่อนนะครับ
ขอบคุณ และอนุโมทนาที่ให้ความสนใจใคร่ศึกษาในธรรมครับ
happy.gif

#7 สุภาพบุรุษ072

สุภาพบุรุษ072
  • Members
  • 597 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 06:48 PM

อนุโมทนาบุญกับธรรมทานอันเปี่ยมล้นด้วยสาระธรรมนี้ครับ สาธุhappy.gif

#8 อริย 072

อริย 072
  • Members
  • 440 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 June 2008 - 11:58 PM

เวลาเทวบุตรมาร มาดลใจเราผู้เป็นมนุษย์
มัน..ทำอย่างไรจ๊ะ
เข้าสิงครอบงำเรา เหมือนพวกวิทยาธร ภุมมะหรือไร..
สงสัย สงสัย..
ขอท่านผู้รู้ ค้นตรงนี้ด้วยนะจ๊ะ ขอบคุณจ้ะ


#9 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 June 2008 - 10:46 AM

Sa Thu Krub

#10 usr17119

usr17119
  • Members
  • 47 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 June 2008 - 11:07 AM

อนุโมทนาบุญ สาธุ คะ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลยคะ


#11 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 01:43 PM

happy.gif มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า เรื่องมารสิงพระพรหม ที่ได้กล่าวไว้ว่าจะนำมาเล่าให้ฟัง
พระสูตรนี้มีชื่อเต็มว่า ‘พรหมนิมันตสิกสูตร’ (ว่าด้วยการเชื้อเชิญของพรหม) ครับ
อ้างอิงจากพระไตรปิฎก(มจร.แปล) เล่มที่ 12 ข้อที่ 501-505 หน้าที่ 537-545 ครับ
ศึกษาแล้ว ใครมีความเห็นอย่างไร ลองเล่าให้ฟังบ้างนะครับ


เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ วัดพระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งอยู่ในกรุงสาวัตถี
ณ ที่นั้นเอง พระผู้มีพระภาคได้นำเรื่องนี้มาตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง

happy.gif ท่านเล่าว่า...

“ภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ต้นโคนสาละใหญ่ในสุภควัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐา
ในสมัยนั้น ‘พกพรหม’ มีทิฏฐิชั่วเช่นนี้เกิดขึ้นว่า
‘พรหมสถาน นี้ เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา
พรหมสถานนี้ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
ก็แลเหตุเครื่องสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งนอกจากพรหมสถานนี้ไม่มี’

ครั้งนั้น เรารู้ความคิดคำนึงของพกพรหมด้วยใจแล้ว
จึงอันตรธานจากโคนต้นสาละใหญ่ในสุภควัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐา
ไปปรากฏในพรหมโลกนั้น เปรียบเหมือนคนแข็งแรงเหยียดแขนออก หรือคู้แขนเข้าฉะนั้น

พกพรหมได้เห็นเราผู้มาแต่ไกล แล้วได้กล่าวกับเราว่า
‘ท่านผู้นิรทุกข์ เชิญเสด็จมาเถิด ขอรับเสด็จ ท่านพูดว่าจะมาที่นี้นานแล้ว

happy.gif ทักทายดังนี้แล้ว ท้าวมหาพรหมก็แสดงทิฏฐิของตนทันที(ซึ่งพระพุทธเจ้าของเรารู้อยู่แล้ว) ว่า

ท่านผู้นิรทุกข์ พรหมสถานนี้ เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา
พรหมสถานนี้ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
ก็แลเหตุเครื่องสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งนอกจากพรหมสถานนี้ไม่มี’


ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพกพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกับพกพรหมว่า
‘พกพรหมผู้เจริญตกอยู่ในอำนาจอวิชชาแล้วหนอ พกพรหมผู้เจริญตกอยู่ในอำนาจอวิชชาแล้วหนอ
เพราะพกพรหมกล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า ‘เที่ยง’
กล่าวสิ่งที่ไม่ยั่งยืนว่า ‘ยั่งยืน’
กล่าวสิ่งที่ไม่มั่นคงว่า ‘มั่นคง’
กล่าวสิ่งที่ไม่แข็งแรงว่า ‘แข็งแรง’
กล่าวสิ่งที่มีความเคลื่อนไปเป็นธรรมดาว่า ‘มีความไม่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา’
ก็แลสัตว์ เกิด แก่ ตาย จุติ และอุบัติอยู่ในพรหมสถานใด พกพรหมกล่าวพรหมสถานนั้นว่า
‘พรหมสถานนี้ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
และกล่าวการสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นซึ่งมีอยู่ว่า
‘การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นไม่มี’


#12 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 01:59 PM

happy.gif พระพุทธเจ้าของเรากล่าวตอบไปดังนี้แล้ว ท้าวมหาพรหมยังไม่ได้กล่าวว่าอย่างไร
มารก็ได้เข้าสิงพรหมปาริสัชชะองค์หนึ่ง
มารนี้ อรรถกถาจารย์ท่านอธิบายขยายความไว้ว่า
คอยเล็งแลพระศาสดาอยู่ตลอดเวลาว่า ‘เวลานี้พระสมณโคดมอยู่ที่แห่งหนตำบลไหนหนอ’
และเมื่อเห็นว่า พระพุทธองค์กำลังไปพรหมโลก ก็ตามมายืนพรางตัวในระหว่างหมู่พรหมนั้น
ด้วยคิดว่าจะไปกล่าวค้านคำของสมณะโคดม เพื่อไม่ให้คณะพรหมนี้ก้าวพ้นวิสัยของเรา
มาดูกันครับว่า มารเข้าสิงพรหมแล้ว บังคับให้พรหมพูดว่ากะไรบ้าง happy.gif


มารเข้าสิงกายพรหม


ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มารใจบาปเข้าสิงกายพรหมปาริสัชชะผู้หนึ่ง
แล้วกล่าวกับเราว่า ‘ภิกษุ ภิกษุ อย่ารุกรานพกพรหมนี้เลย อย่ารุกรานพกพรหมนี้เลย
เพราะว่าพรหมผู้นี้เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ คณะพรหมฝ่าฝืนไม่ได้
โดยที่แท้ เป็นผู้รู้ทั่วไป ยังสรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลก
เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่งสัตว์ เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้ว และที่กำลังจะเกิด

happy.gif พรหมที่ถูกมารเข้าสิงยังกล่าวข่มพระพุทธองค์ต่อไปอีกว่า

สมณพราหมณ์พวกก่อนท่าน เป็นผู้ติเตียนดิน เกลียดดิน เป็นผู้ติเตียนน้ำ เกลียดน้ำ
เป็นผู้ติเตียนไฟ เกลียดไฟ เป็นผู้ติเตียนลม เกลียดลม
เป็นผู้ติเตียนสัตว์ เกลียดสัตว์ เป็นผู้ติเตียนเทวดา เกลียดเทวดา
เป็นผู้ติเตียนปชาบดี เกลียดปชาบดี เป็นผู้ติเตียนพรหม เกลียดพรหม
หลังจากตายแล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้นจะไปเกิดในพวกที่เลว

ส่วนสมณพราหมณ์พวกก่อนท่าน เป็นผู้สรรเสริญดิน ชมเชยดิน เป็นผู้สรรเสริญน้ำ ชมเชยน้ำ
เป็นผู้สรรเสริญไฟ ชมเชยไฟ เป็นผู้สรรเสริญลม ชมเชยลม
เป็นผู้สรรเสริญสัตว์ ชมเชยสัตว์ เป็นผู้สรรเสริญเทวดา ชมเชยเทวดา
เป็นผู้สรรเสริญปชาบดี ชมเชยปชาบดี เป็นผู้สรรเสริญพรหม ชมเชยพรหม
หลังจากตายแล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้นจะไปเกิดในพวกที่ดี

เพราะเหตุนั้น เราจึงบอกกับท่านว่า
‘ท่านผู้นิรทุกข์ เชิญเถิด ท่านจงทำตามคำที่พรหมบอกแก่ท่านเท่านั้น ท่านจงอย่าฝ่าฝืนคำของพรหมเลย
ถ้าท่านจักฝ่าฝืนคำของพรหม โทษจักมีแก่ท่าน
(ตรงนี้คล้ายคำสอนของบางศาสนาที่เป็นเทพเจ้านิยมนะครับ)
เปรียบเหมือนบุรุษเอาท่อนไม้ไล่ตีสิริที่มาหา
หรือเปรียบเหมือนบุรุษผู้ตกเหวลึก ชักมือและเท้าให้ห่างแผ่นดินเสียฉะนั้น
ท่านอย่าฝ่าฝืนคำของพรหมเลย
ภิกษุ ท่านเห็นพรหมบริษัทประชุมกันแล้วมิใช่หรือ’
มารใจบาปเปรียบเรากับพรหมบริษัทนี้ ดังนี้แล

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกับมารผู้ใจบาปนั้นว่า
‘มารผู้ใจบาป เรารู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่า ‘พระสมณะไม่รู้จักเรา’

ท่านเป็นมาร พรหมก็ดี พรหมบริษัทก็ดี พรหมปาริสัชชะก็ดี
ทั้งหมดนั้นอยู่ในมือของท่าน ตกอยู่ในอำนาจของท่าน

และท่านก็มีความดำริว่า ‘แม้พระสมณะก็ต้องอยู่ในมือของเรา ต้องอยู่ในอำนาจของเรา’
แต่ว่า เราไม่ได้อยู่ในมือของท่าน ไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของท่านเลย’


happy.gif เป็นไงครับฟังพระบรมศาสดาเอกของเราโต้กับพรหมที่ถูกมารสิงแล้ว
สุดยอดของสัพพัญญูผู้รู้เท่าทันทุกสิ่งจริงๆ happy.gif


#13 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 02:13 PM

happy.gif มาดูกันต่อครับว่า คราวนี้ท่านท้าวมหาพรหมผู้ซึ่งเป็นใหญ่ใน 'อาณาจักรเทพเจ้า' นี้ จะกล่าวโต้กับ
พระบรมครูของเราว่าอย่างไร หลังจากฟังพรหมปริสัชชะของตนเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว
และเมื่อท้าวมหาพรหมสู้ทางวาทะกับพระสมณะโคดมไม่ได้
ท่านเทพเจ้าองค์นี้จึงท้าทายพระพุทธองค์ของเราด้วยอิทธิฤทธิ์ !
ซึ่งผลจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามตอน... นี้ได้เลยคร้าบบ happy.gif


พกพรหมหายไปจากพระผู้มีพระภาค


ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว พกพรหมได้กล่าวว่า
‘ท่านผู้นิรทุกข์ เรากล่าวสิ่งที่เที่ยงว่า ‘เที่ยง’
กล่าวสิ่งที่มั่นคงว่า ‘มั่นคง’
กล่าวสิ่งที่ยั่งยืนว่า ‘ยั่งยืน’
กล่าวสิ่งที่แข็งแรงว่า ‘แข็งแรง’
กล่าวสิ่งที่ไม่มีความเคลื่อนไปเป็นธรรมดาว่า ‘มีความไม่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา’
ก็แลสัตว์ย่อม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
และกล่าวการสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นซึ่งไม่มีอยู่ว่า
‘การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นไม่มี’

สมณพราหมณ์พวกก่อนท่านได้มีแล้วในโลก
อายุของท่านทั้งสิ้นมีประมาณเท่าใด กรรมที่ทำด้วยตบะของสมณพราหมณ์เหล่านั้นก็มีประมาณเท่านั้น
สมณพราหมณ์เหล่านั้น จะพึงรู้การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นซึ่งมีว่า
‘การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นมี’
หรือจะพึงรู้การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นซึ่งไม่มีว่า
‘การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นไม่มี’

เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวกับท่านอย่างนี้ว่า
‘ท่านจักไม่เห็นการสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นเลย
แม้ว่าท่านจักเป็นผู้มีความลำบากและความคับแค้นใจก็ตาม

ภิกษุ ถ้าท่านจักกลืนกินแผ่นดิน ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนอยู่ใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา
เราพึงทำได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้
ถ้าท่านกลืนกินน้ำ ... ถ้าท่านกลืนกินไฟ ... ถ้าท่านกลืนกินลม ...
ถ้าท่านกลืนกินเหล่าสัตว์ ... ถ้าท่านกลืนกินเทวดา ... ถ้าท่านกลืนกินปชาบดี ...
ถ้าท่านกลืนกินพรหม ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนอยู่ใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา
เราพึงทำได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้


happy.gif โห ! เจอข่มขวัญอย่างนี้เข้า ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์แล้ว
อาจตกใจกลัวขั้นขนหนาวล่วงได้ง่ายๆ ละครับ ฮือๆ หย๋งๆ
happy.gif



#14 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 02:30 PM

happy.gif แต่เดี๋ยวลองมาฟังคำตอบพระศาสดาของเราบ้างครับว่าสุดยอดดด... ขนาดไหน
พระองค์ทรงรู้เรื่องของพระพรหมยิ่งกว่าที่พระพรหมรู้เรื่องของตัวเองเสียอีก happy.gif


เรากล่าวว่า ‘พรหม แม้เราก็รู้อย่างนี้ว่า
ถ้าเราจักกลืนกินแผ่นดิน เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนอยู่ใกล้ท่าน นอนในที่อยู่ของท่าน
ท่านพึงทำได้ตามประสงค์ ท่านพึงห้ามได้
และถ้าเราจักกลืนกินน้ำ ... ถ้าเราจักกลืนกินไฟ ... ถ้าเราจักกลืนกินลม ...
ถ้าเราจักกลืนกินเหล่าสัตว์ ... ถ้าเราจักกลืนกินเทวดา ... ถ้าเราจักกลืนกินปชาบดี ...
ถ้าเราจักกลืนกินพรหม เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนอยู่ใกล้ท่าน นอนในที่อยู่ของท่าน
ท่านพึงทำได้ตามประสงค์ ท่านพึงห้ามได้

ใช่แต่เท่านั้น เรารู้คติ และรู้ความรุ่งเรืองของท่านว่า
‘พกพรหมมีฤทธิ์มากอย่างนี้ พกพรหมมีอานุภาพมากอย่างนี้ พกพรหมมีศักดิ์มากอย่างนี้’

พกพรหมถามเราว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านรู้คติและรู้ความรุ่งเรืองของเราว่า
‘พกพรหมมีฤทธิ์มากอย่างนี้ พกพรหมมีอานุภาพมากอย่างนี้ พกพรหมมีศักดิ์มากอย่างนี้ได้อย่างไร’

ยาวตา จนฺทิมสุริยา ปริหรนฺติ ทิสา ภนฺติ วิโรจนา
ตาว สหสฺสธา โลโก เอตฺถ เต วตฺตตี วโส
ปโรปรฺจ ชานาสิ อโถ ราค วิราคิน
อิตฺถภาวฺถาภาว สตฺตาน อาคตึ คตินฺติ ฯ

เรากล่าวว่า
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
ย่อมโคจรส่องทิศให้สว่างอยู่เท่าใด
อำนาจของท่านย่อมเป็นไปใน ๑,๐๐๐ จักรวาลเท่านั้น
ท่านย่อมรู้จักสัตว์ที่เลวและสัตว์ที่ประณีต
รู้จักสัตว์ที่มีราคะและสัตว์ที่ไม่มีราคะ
รู้จักจักรวาลนี้และจักรวาลอื่น
และรู้จักการมาและการไปของสัตว์ทั้งหลาย’


พรหม เรารู้คติและรู้ความรุ่งเรืองของท่านอย่างนี้ว่า
‘พกพรหมมีฤทธิ์มากอย่างนี้ พกพรหมมีอานุภาพมากอย่างนี้ พกพรหมมีศักดิ์มากอย่างนี้’

พรหม หมู่พรหมอื่นมีอยู่ ท่านไม่รู้ ไม่เห็นหมู่พรหมนั้น
(แต่) เรารู้ เห็นหมู่พรหมนั้น

หมู่พรหมชื่ออาภัสรามีอยู่ ท่านเคลื่อนแล้วจากที่ใด มาอุบัติแล้วในที่นี้
ท่านมีสติหลงลืมไปเพราะอยู่อาศัยนานนัก
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่รู้ไม่เห็นหมู่พรหมนั้น (แต่)เรารู้ เห็นหมู่พรหมนั้น
เรากับท่านเทียบกันไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้
ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน
โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

หมู่พรหมชื่อสุภกิณหา มีอยู่ ...
หมู่พรหมชื่อเวหัปผลา มีอยู่ ...
หมู่พรหมชื่ออภิภูมีอยู่ ท่านไม่รู้ ไม่เห็นหมู่พรหมนั้น (แต่)เรารู้ เห็นหมู่พรหมนั้น
เรากับท่านเทียบกันไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้
ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน
โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

พรหม เรารู้จักดินโดยความเป็นดิน
รู้จักนิพพานที่สัตว์เสวย ไม่ได้ โดยความที่ดินเป็นดิน แล้วไม่เป็นดิน
ไม่ได้มีแล้วในดิน ไม่ได้มีแล้วจากดิน ไม่ได้มีแล้วว่าดินเป็นของเรา ไม่ได้กล่าวเฉพาะดิน
เราเทียบไม่ได้กับท่านด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้
ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน
โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน
เรารู้จักน้ำ ... เรารู้จักลม ... เรารู้จักเหล่าสัตว์ ... เรารู้จักเทวดา ... เรารู้จักปชบดี ...
เรารู้จักพรหม ... เรารู้จักอาภัสสรพรหม ... เรารู้จักสุภกิณหพรหม ... เรารู้จักเวหัปผลพรหม ...
เรารู้จักอภิภูพรหม ... เรารู้จักสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นสิ่งทั้งปวง

รู้จักนิพพานที่สัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง แล้วไม่เป็นสิ่งทั้งปวง
ไม่ได้มีในสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีจากสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของเรา ไม่ได้กล่าวเฉพาะสิ่งทั้งปวง

พรหม เราเทียบกับท่านไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้
ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน
โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

พกพรหมกล่าวกับเราว่า
‘ท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าเพราะท่านรู้นิพพานที่สัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง
ถ้อยคำของท่านอย่าได้ว่าง อย่าได้เปล่าเสียเลย’

นิพพานที่ผู้บรรลุจะพึงรู้แจ้งได้ เป็นอนิทัสสนะ เป็นอนันตะ (ไม่สิ้นสุด) มีรัศมีกว่าสิ่งทั้งปวง
สัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำ โดยความที่ไฟเป็นไฟ โดยความที่ลมเป็นลม
โดยความที่เหล่าสัตว์เป็นเหล่าสัตว์ โดยความที่เทวดาเป็นเทวดา โดยความที่ปชาบดีเป็นปชาบดี
โดยความที่พรหมเป็นพรหม โดยความที่อาภัสสรพรหมเป็นอาภัสสรพรหม
โดยความที่สุภกิณหพรหมเป็นสุภกิณหพรหม โดยความที่เวหัปผลพรหมเป็นเวหัปผลพรหม
โดยความที่อภิภูพรหมเป็นอภิภูพรหม โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง


พกพรหมกล่าวกับเราว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านจงดู บัดนี้ เราจะอันตรธานไปจากท่าน’
เรากล่าวว่า ‘พรหม หากท่านสามารถ บัดนี้ ก็จงอันตรธานไปจากเราเถิด’
ครั้งนั้น พกพรหมกล่าวว่า ‘เราจักอันตรธานไปจากพระสมณโคดม เราจักอันตรธานไปจากพระสมณโคดม’
แต่ก็ไม่อาจอันตรธานไปจากเราได้เลย

เมื่อพกพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกับพกพรหมว่า
‘พรหม ท่านจงดู บัดนี้ เราจะอันตรธานไปจากท่าน’
พกพรหมกล่าวว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ หากท่านสามารถ บัดนี้ ก็จงอันตรธานไปจากเราเถิด’
ลำดับนั้นเราบันดาลอิทธาภิสังขารเช่นนั้น ด้วยคิดว่า
‘ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พรหมก็ดี พรหมบริษัทก็ดี พรหมปาริสัชชะก็ดี
ย่อมได้ยินเสียงเรา แต่มิได้เห็นตัวเรา’

เราอันตรธานไปแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ว่า

ภเววาห ภย ทิสฺวา ภวฺจ วิภเวสิน
ภว นาภิวทึ กิฺจิ นนฺทิฺจ น อุปาทิยนฺติ ฯ

‘เราเห็นภัยในภพและเห็นภพของสัตว์
ผู้แสงหาความปราศจากภพแล้ว
ไม่กล่าวยกย่องภพอะไรเลย
ทั้งไม่ยึดมั่นนันทิ ด้วย’


ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พรหมก็ดี พรหมบริษัทก็ดี พรหมปาริสัชชะก็ดี
ได้เกิดความแปลกประหลาดมหัศจรรย์จิตว่า
ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ พระสมณโคดมมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
ก่อนแต่นี้ เราทั้งหลายไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
เหมือนพระสมณโคดมนี้ ผู้ออกผนวชจากศากยตระกูล
ถอนภพพร้อมทั้งรากของหมู่สัตว์ผู้รื่นรมย์ในภพ ยินดีในภพ เพลิดเพลินในภพ’


#15 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 02:47 PM

happy.gif ตอนสุดท้ายแล้วครับ

แม้ท้าวมหาพรหม และพลพรรคพรหมจะยอมรับพุทธองค์แล้วว่า
เหนือกว่าทั้งในด้านความรู้คือพระปัญญา และด้านอิทธิฤทธิมหิทธานุภาพก็ตาม
แต่มารยังไม่ยอมง่ายๆ ครับ ตะแกเข้าสิงพรหมอีก แล้วใช้ไม้ตาย คือ
อาราธนาไม่ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เผยแผ่พระธรรม แถมมีขู่เล็กๆด้วย ตามวิสัยมารใจบาป
ส่วนพระองค์จะทรงรับอาราธนาเหมือนตอนจะเสด็จดับขันธปรินิพพานหรือไม่ ฟังตอนจบได้เลยครับ happy.gif


มารเข้าสิงกายพรหม


ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มารใจบาป เข้าสิงกายพรหมปาริสัชชะผู้หนึ่ง แล้วกล่าวกับเราว่า
‘ท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ตรัสรู้อย่างนี้ ก็อย่าแนะนำ อย่าแสดงธรรม
อย่าทำความยินดีกับพวกสาวกและพวกบรรพชิตเลย

ภิกษุ ได้มีสมณพราหมณ์พวกก่อนท่านผู้ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก
สมณพราหมณ์เหล่านั้นแนะนำ แสดงธรรม ทำความยินดีกับพวกสาวกและพวกบรรพชิต
หลังจากตายแล้ว ก็ไปเกิดในพวกที่เลว

สมณพราหมณ์พวกก่อนท่านผู้ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก
สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่แนะนำ ไม่แสดงธรรม ไม่ทำความยินดีกับพวกสาวกและพวกบรรพชิต
หลังจากตายแล้ว ก็ไปเกิดในพวกที่ดี

เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวกับท่านว่า ‘ท่านผู้นิรทุกข์ ขอท่านอย่ากังวลไปเลย
จงหมั่นประกอบธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันอยู่เถิด
เพราะการไม่พูดเป็นความดี ท่านอย่าสั่งสอนสัตว์อื่นๆ เลย

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า
‘มาร เรารู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่า ‘พระสมณะไม่รู้จักเรา’
ท่านเป็นมาร ท่านหามีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลไม่ จึงกล่าวกับเราอย่างนี้
ท่านไม่มีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลจึงกล่าวกับเราอย่างนี้ ท่านมีความดำริว่า
‘พระสมณโคดม จักแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นจักล่วงวิสัยของเราไป’

สมณพราหมณ์เหล่านั้น (ที่มารว่าหลังจากตายแล้วไปเกิดในพวกที่เลว)
มิได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิญญาว่า ‘เราทั้งหลาย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า’
เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ย่อมปฏิญญาว่า ‘เราเป็นสัมมาสัมพุทธะ’

มาร ตถาคตแม้เมื่อแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย ก็เป็นเช่นนั้น
แม้เมื่อไม่แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย ก็เป็นเช่นนั้น
ตถาคตแม้เมื่อแนะนำสาวก ก็เป็นเช่นนั้น
แม้เมื่อไม่ได้แนะนำสาวก ก็เป็นเช่นนั้น


ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะตถาคตละอาสวะอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่
มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไปได้แล้ว
ตัดรากถอนโคน เหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้
ต้นตาลที่ถูกตัดยอดแล้วไม่อาจงอกขึ้นอีกได้ แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ละอาสวะทั้งหลายอันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่
มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไปได้แล้ว
ตัดรากถอนโคน เหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้”


เวยยากรณภาษิตนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยมารมิได้เรียกร้อง และโดยที่พรหมเชื้อเชิญ ดังนี้
เพราะเหตุนั้น เวยยากรณภาษิตนี้ จึงมีชื่อว่า พรหมนิมันตนิกสูตร ดังนี้แล

พรหมนิมันตนิกสูตรที่ ๙ จบ
-------------


happy.gif จบแระ แหะๆ แม้จะยาวไปบ้าง แต่ก็เป็นพระสูตรที่สำคัญทีเดียวนะครับ
เป็นพระสูตรที่ชาวพุทธเราทุกคนควรศึกษา ควรรู้เป็นอย่างยิ่ง
เพื่อจะได้รู้เห็นถึงความเป็นไปของทิฏฐิความเชื่อของเหล่าเทพเจ้านิยม ว่ามันเป็น ‘ความรู้ความเห็น
ที่ยังไม่สมบูรณ์’
เพราะอาณาจักรเทพเจ้าที่เขาเชื่อว่า เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง
มีความไม่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ
และเทพเจ้านั้น เป็นใหญ่ ใครฝ่าฝืนไม่ได้ เป็นผู้รู้ทั่วไป ยังสรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจ
เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลก เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่งสัตว์ เป็นผู้ใช้อำนาจ
เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้ว และที่กำลังจะเกิด
เหล่านี้ เป็นความเข้าใจผิดของตัวเทพเจ้าเองแท้ๆ sleep.gif

happy.gif เคสของ ‘พกพรหม’ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างยืนยันในเรื่องนี้ได้ดีทีเดียวครับ
ท้ายนี้ขอขอบคุณ และอนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่านที่ได้ศึกษาธรรมร่วมกันในครั้งนี้ครับ happy.gif


#16 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 03:04 PM

เป็นกระทู้ที่มีสาระธรรม และการนำเสนอได้น่าสนใจและน่าติดตาม มากครับ
วันนี้แค่อ่านผ่าน ๆ สัปดาห์หน้า จะแวะมาศึกษาต่อ
อนุโมทนาในธรรมทานยิ่งครับ

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  00003_28.gif   22.04K   29 ดาวน์โหลด


#17 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 04:06 PM

(๑) วันนี้เพิ่งอ่านพระสูตรนี้ออกอากาศ สนุกมาก พกาพรหมนึกว่าตนเองเป็นGOD, มารเป็นกองเชียร์, แต่พระพุทธเจ้าชนะ

(๒) concept ที่ว่า "GODสร้างทุกอย่าง, ทุกสิ่งต้องมีคนสร้าง" นั้น เป็นconceptที่ใช้ไม่ได้ เพราะสุดท้ายก็จนมุมที่ "ใครสร้างGOD"

(๓) conceptที่ใช้ได้คือ "บางอย่างมีคนสร้าง บางสิ่งเกิดขึ้นเอง"

#18 Wiboon Joong (wbj)

Wiboon Joong (wbj)
  • Members
  • 43 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2008 - 07:27 PM

อนุโมทนาบุญครับ อ่านแล้วได้ทั้งความรุ้และสนุกด้วย

#19 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 June 2008 - 03:25 AM

อนุโมทนาในธรรมทานยิ่งครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#20 *sky noi*

*sky noi*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 01 July 2008 - 08:28 AM

สาธุ

#21 usr23545

usr23545
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 July 2008 - 12:42 PM

อนุโมทนาบุญกับธรรมทานในครั้งนี้นะคะ

#22 ชวนชมdmc

ชวนชมdmc
  • Members
  • 34 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 July 2008 - 05:43 PM

ได้ความรู้เพิ่ม ดีมากๆค่ะ
อนุโมทนากับธรรมทานเรื่องนี้ค่ะ
สาธุ ๆ ๆ

#23 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 05 July 2008 - 12:44 AM

แนบไฟล์  P1000582.JPG   164.95K   189 ดาวน์โหลด
อ่านเรื่อง พกพรหม แล้ว
ทำให้ได้ทราบอานุภาพของ มาร ?
ที่เหนือสัตว์โลกในภพสาม
ตั้งแต่มนุษย์มีกิเลสมาก ถึงมีกิเลสเบาบาง
หรือแม้กระทั่งพรหม ที่มีมหิทธานุภาพมาก และอาศัยภพที่ละเอียดกว่าโลกมนุษย์ ก็ตาม
ยังอยู่ในบังคับบัญชาของเขา

แล้วก็ทำให้นึกถึง บทสวดชัยมงคลกถา (พาหุงฯ)ที่คณะสงฆ์สวดในงานมงคล นะครับ
จึงขอนำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ ชัยชนะหรือการทำหน้าที่กัลยาณมิตรของพระบรมศาสดา
ต่อ พกพรหม มาเสริมเนื้อหาในกระทู้ครับ

ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัมมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะต เม ชะยะมังคะลานิ.


พระจอมมุนีได้ชนะพรหมผู้มีนามว่า พกาพรหม ผู้มีฤทธิ์
สำคัญตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์

มีมืออันท้าวภุชงค์ คือทิฏฐิ ที่ตนถือผิดรัดรึงไว้แน่นแฟ้นแล้ว
ด้วยวิธีวางยาวิเศษคือ เทศนาญาณวิธี

ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ท่านด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น.

http://www.kusol.com/supasit%20table/pahungk.doc

พกาพรหมบรรทมสถานทิพย์
สูงลิบลิบลิ่วลิ่วโพยมหน
เห็นผิดผิดคิดว่าตนอยู่คงทน
ดุจพิษร้ายทำลายคนทรามปัญญา

จอมมุนีกรุณารักษาพิษ
ด้วยตัวยาอมฤตคือญาณกล้า
ให้พรหมเห็นชั่วดีมีปรีชา
รู้ว่าสังขาราไม่ยืนนาน

ขอเดชะชัยชนะพุทธองค์
บันดาลมงคลชัยให้ไพศาล
เป็นมิ่งขวัญคุ้มเหตุเภทภัยพาล
แด่เราท่านด้วยทั่วทุกตัวตน

http://www.dhammajak.net/prayer/chaiya/c09.php

#24 mpbkkt

mpbkkt
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 July 2008 - 07:19 PM

แจ่มแจ๋วไปเลย

#25 mnk

mnk
  • Member_Facebook
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 March 2014 - 09:02 PM

สาธุ

#26 Souriya

Souriya
  • Members
  • 53 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ส.ป.ป.ลาว
  • Interests:วิชชาธรรมกาย

โพสต์เมื่อ 05 March 2014 - 12:01 PM

อนุโมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้นี้ด้วยครับ..

 

หลังจากอ่านจบแล้วผมมีคำถามว่า มารที่เข้าสิงพรหม นี้เป็นใคร มาจากไหน...ทำไมมีฤทธิ์ มีอานุภาพเหนือก่วาพรหมทังปวง แถมยังสามาดต่อแยกับพระอรหัน และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ด้วย. ไม่ว่าท่านจะไปไหน  ทำอะไร มารก่อรู้หมด..

 

เขาเป็นไคร...มาจากไหน...และคนที่อยู่เบื้องหลังมารมีไหม...ขอชาบข้อมูนเกี่ยวกับพะยามารตัวจริงเสียงจริงด้วยได้ไมครับ...

 

สาธุครับ.
 


สิ่งที่ต้องสะสมคือบุนกุสน สิ่งที่ต้องสะแหวงหาคือพระรัตนะไตรพายใน เป้าหมายชีวิดคือที่สุดแห่งทัม ที่พักละหว่างทางคือ ดุสิดบุรี วงบุนพิเสด เขดพระโพทิสัด.

ละชั่วทุกอย่าง ทำดีทุกรูบแบบ ทำใจให้พ่องใส อยากไปไหนก่อไปได้ทุกที่...


#27 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 05 March 2014 - 02:31 PM

1. พระอรหันต์  พรหม  เทวดา  เปรต  รวมไปถึง  มาร  เสนามาร  พญามาร  เหล่านี้เป็นเพียงสภาวะครับ  ไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใด  ผู้หนึ่งโดยเฉพาะ  และแต่ละสภาวะก็มีผู้เข้าถึงมากมาย  จะให้มาไล่ว่าชื่อใด  คงลำบาก  และที่สำคัญ  ถ้าในเนื้อหาไม่ได้กล่าวไว้  ก้แสดงว่าไม่ใช่ "สิ่งสำคัญที่ต้องใสใจ"  ควรสนใจที่เนื่อหาสาระ  จะได้ประโยชน์มากกว่ามานั่งถามชื่อว่าใครเป็นใคร  เพราะรู้ไปแล้วได้ประโยชน์อะไร

 

2.มาร คือ  ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ  มีความเห็นผิดเพี้ยนไปจากความจริงของชีวิต  เช่น  เข้าใจว่าตนเป็นผู้สร้างโลก  เข้าใจว่าตนเป็นนายแห่งวัฏฏสงสาร  เป็นต้น

 

3.ในทางพระพุทธศาสนา  ผู้ใดทำใจ หยุดใจนิ่งได้  ก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้มากน้อย  ตามกำลังแห่งบุญที่มี  และกำลังแห่งความหยุดนิ่งของใจ  ไม่ใช่เรื่องแปลกปาฏิหาริย์แต่อย่างใด

 

4.พระอรหันต์  ถ้ายังไม่เข้าสู่พระนิพพาน  ก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งกรรมทั้งสามฝ่ายนี้อยู่ดี  เพียงแต่กรรมเหล่านั้น  จะมีกำลังมากพอ  หรือมีช่องสำหรับส่งผลหรือเปล่าเท่านั้น

 

ขอแนะนำนะครับ  ในการพูดคุยกันในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา  ให้เราลืมตัวตนของเราไปเลยจะง่ายที่สุด  เพราะถ้าเราเอาตัวตนของเราเองเป็นตัวตั้ง  พูดถึงวิสัยของเทวดา  วิสัยของพระอรหันต์  หรือแม้แต่กระทั้งวิสัยแห่งมาร  เราก็จะคุยกันไม่รู้เรื่องครับ  เพราะวิสัยของท่านเหล่านั้น  เป็นอีกสภาวะหนึ่งที่เราไม่สามารถใช้สภาวะทางโลกมาประกอบให้เห็นภาพได้ชัดเจน

 

จริงๆ เรื่อง มาร นี้  ท่าน Souriya  เคยนำมาพูดคุยไปแล้วครั้งหนึ่ง  ยังไงถ้ายังสงสัยอยู่  ก็ลองเปิดกูเกิ้ลศึกษาพื้นฐานดูก่อนนะครับ  แล้วสงสัย "จริงๆ"  ตรงไหนค่อยมาพูดคุยกัน  จะทำให้การพูดคุยเราง่ายขึ้นเยอะครับ

 

ปล.ถ้าอ่านพระไตรปิฎกได้  จะเป็นการดีอย่างยิ่งเลยครับ  เพราะคำอธิบายทั้งหมดอยู่ในนั้นนั่นเองครับ  แต่ยังไงก็อย่าลืมทำทาน  รักษาศีล  และเจริญสมาธิภาวนาให้มากๆ ด้วยนะครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#28 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 06 March 2014 - 01:04 PM

หามาบรรณาการท่าน Souriya

 

เทวบุตรมาร  ตอนที่ 1   http://buddha.dmc.tv...ุตรมาร-(1).html

 

เทวบุตรมาร  ตอนที่ 2  http://buddha.dmc.tv...ุตรมาร-(2).html

 

เทวบุตรมาร  ตอนที่  3   http://buddha.dmc.tv...ุตรมาร-(3).html

 

ทำไมบนสวรรค์จึงมีทั้งเทวดาและมาร  http://www.dmc.tv/pa...่อตอบปัญหา.html
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#29 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 06 March 2014 - 01:17 PM

มีที่เราพูดคุยกันในบอร์ดไปแล้วด้วย   http://www.dmc.tv/fo...showtopic=17852

 

อีกการพูดคุย   http://www.dmc.tv/fo...showtopic=15849


พระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ  คุณครูไม่ใหญ่ฯ

 

http://www.dmc.tv/pa...งพระกับมาร.html


จริงๆ แล้วในเว็บไซต์ www.dmc.tv  นี้  มีข้อมูลอยู่มากมาย  เพียงแต่เราไม่ค่อยได้ค้นหากัน  ยึดติดแต่เรื่องราวที่มาใหม่ๆ  ทำให้ละเลย พระธรรมเทศนาอันทรงคุณค่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ทั้งสอง  พระเทศนาของพระอาจารย์ต่างๆ  คำสอนแสนวิเศษของคุณยายอาจารย์ฯ ของพวกเรา  ตลอดจนการพูดคุยของเหล่ากัลยาณมิตรต่างๆ  ที่ได้เคยแสดงไว้   กล่าวไว้   และพูดคุยกันเอาไว้

 

ยังไงใครอยากศึกษาจริงๆ จังๆ  ลองค้นหาดูนะครับ  แล้วจะเจออะไรดีๆ เพียบเลย


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ