ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

นักแสดงได้บุญไหม ?


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 02:16 AM

บางทีทำงานมาเครียด มานั่งดูตลกแล้วคลายเครียดได้

การทำให้คนยิ้ม หัวเราะ ก็คือทำให้ใจผ่องใส นักแสดงตลกเหล่านั้น (ไม่ลามก )
จะได้บุญหรือบาปบ้างหรือไม่ พระบางองค์เทศน์ตลก (มาก) เหมาะสมหรือไม่




#2 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 02:48 AM

ในกรณีที่เป็นตลกที่ไม่พูดจาอุจาดลามก แล้วทำให้คนดูรู้สึกคลายเครียดด้วยธรรมบันเทิงที่เป็นสาระ (เน้นว่าต้องเป็นธรรมะและมีสาระเท่านั้นนะครับ) กรณีนี้ ได้บุญครับ ส่วนกรณีของตลกที่ไม่อุจาดลามก แต่กลับพูดเพ้อเจ้อเรื่อยเจื้อย สุ่มสี่สุ่มหก ก็จะได้บาปอันเกิดจากการพูดเพ้อเจ้อ
(สัมผัปปลาปะ) ติดตัวไป สำหรับในกรณีของพระภิกษุนั้น การติดเทศน์ในลักษณะตลกโปกฮาจนเกินเหตุ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณสารูปอยู่แล้ว แถมยังทำให้ท่านต้องอาบัติอีกด้วยครับ


#3 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 03:02 AM

สาธุ ได้คำตอบเร็วดีครับ

ถ้าเราดูตลกแล้วหัวเราะ ทำให้ใจหายขุ่นมัว เรียกว่าใจผ่องใสได้หรือไม่
ผมได้ยินเปิดรายการ case study ว่ายิ้มแล้วรวยครับ แบบเดียวกันหรือไม่ครับ

ทางพุทธศาสนาถือว่าจิตที่ตลกขบขัน เป็นกิเลสหรือไม่


หยุดคือตัวสำเร็จ

#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 03:23 AM

กรณีดูตลกแล้วทำให้ใจหายขุ่นมัว ไม่ถือว่าเป็นการทำให้ใจผ่องใสนะครับ เพียงแต่เป็นการบรรเทาทุกข์ในใจของเราลงชั่วคราวเท่านั้นเอง หากวันหนึ่งวันใดที่เราไม่สามารถหาสิ่งนี้มาทดแทนให้กับตัวเราเองได้ มันก็จะย้อนกลับมากลุ้มรุมสุมเผาหัวอกหัวใจของเราอีกนั่นแหละ
ซึ่งความสุขที่แปรกลับเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่คงที่นี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า "วิปรินามทุกข์" อันแปลว่า สุขที่ไม่คงที่ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ได้เสมอ เห็นไหมครับ แม้พระพุทธองค์ยังไม่ทรงตรัสว่า สิ่งที่มนุษย์พากันหลงใหลเพลิดเพลิน แล้วทำให้ทุกข์นั้นบรรเทาลงว่าเป็นสุขเลย

QUOTE
ผมได้ยินเปิดรายการ case study ว่ายิ้มแล้วรวยครับ แบบเดียวกันหรือไม่ครับ

คนละอย่างกันนะครับ ในกรณีนี้เป็นการใช้เพื่อเป็นธรรมบันเทิงเพื่อยกใจ ให้มีกำลังใจในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปครับ

QUOTE
ทางพุทธศาสนาถือว่าจิตที่ตลกขบขัน เป็นกิเลสหรือไม่

ถือเป็นกิเลสอย่างหนึ่งในสายของตระกูลราคะนะครับ ซึ่งพระอริยบุคคลที่จะสามารถทำการประหารให้หมดไปจากขันธสันดานได้ ต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไปเท่านั้นครับ


#5 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 06:32 AM

สาธุ ..ครับ ตอบได้ครอบคลุมทุกแง่มุมดีมากครับ

ในกรณีนี้นักแสดงทุกคน คงต้องมีวิบากกรรมแน่ ๆ เพราะไม่มีการแสดงด้วย
ธรรมะเลย คนดูได้กิเลสไปเต็ม ๆ ทีแรกนึกว่าจิตที่ได้รับความบันเทิงตลกขบขัน
มีความสุข แต่มันก็คือกิเลสนี่เอง






หยุดคือตัวสำเร็จ

#6 ideal

ideal
  • Members
  • 605 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:TRANG
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 10:18 PM

นั้นทุกอาชีพ ที่สุจริต ก็ได้บุญหมดรึเปล่า เช่นครู ให้ความรู้ ตำรวจรักษาความปลอดภัย

แต่ พวกดารา และทุกอาชีพ ทำเพื่อเงินนี้นา + + หรือบางท่านทำเพื่อการกุศล + +

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 10:37 PM

มันต้องดูที่วัตถุประสงค์และการกระทำของในแต่ละอาชีพเป็นหลักน่ะครับ ว่าเขาทำเพื่อส่วนรวม (เสียสละเผื่อแผ่) หรือทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน (หวังผลประโยชน์) หากเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและสิ่งที่กระทำลงไปนั้น ไม่กระทบโลก ไม่กระทบธรรม ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ทุกฝ่ายแล้ว การทำเช่นนี้ย่อมได้บุญมากครับ ส่วนกรณีของดาราที่ทำเพื่อการกุศลนั้น จะได้บุญมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่า เขาทำบุญถูกเนื้อนาบุญ ถูกจุดแห่งบุญ ถูกอู่แห่งทะเลบุญ ถูกทักขิเณยบุคคลหรือเปล่า? หากเป็นการทำบุญกับพระสงฆ์ (ที่ประพฤติดี-ปฏิบัติชอบ) บิดามารดา ผู้เป็นพระอรหันต์ประจำตัวของลูก และครูบาอาจารย์ทั้งโลกและทั้งธรรม (ที่เป็นสัมมาทิฏฐิและมีเบญจศีล-เบญจธรรมประจำใจ) ดังนี้ ย่อมเปรียบได้กับการหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวลงในนาดีดินอุดม ผลที่ได้ย่อมงอกงามไพบูลย์เกินควรเกินค่า คือ "ได้บุญมาก" นั่นเองครับ

#8 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 17 April 2006 - 02:12 PM

ความจริง แทบทุก อาชีพ มีโอกาส ก่อบาปก่อเวรทั้งสิ้นน่ะครับ เช่น
อาชีพครู ถ้าสอนความรู้ความเข้าใจที่ผิดให้กับลูกศิษย์ เช่น ครูวิทยาศาสตร์บางท่าน สอนลูกศิษย์ว่า ตายแล้วสูญ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ถือว่า วิญญาณไม่มี อย่างนี้ ก็เป็นบาปกรรมไปเรียบร้อยแล้ว
อาชีพข้าราชการ ถ้ามีเงินประเภท กินตามน้ำ ขึ้นมา (เคยออกเป็นเคสเคสหนึ่ง) ก็เป็นบาปเป็นกรรมไปเรียบร้อยแล้วครับ จะมีวิบากคือ ป่วยเป็นโรคเลือด หรือ โรคไต
อาชีพหมอ ถ้ารักษาคนไข้ผิด ทำให้คนไข้ตาย พิการ ก็กลายเป็นกรรม เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
แม้แต่การเป็นพระ ถ้าสอนให้คนเข้าใจผิด ก็เป็นบาปกรรมเช่นเดียวกัน

ดังนั้น อย่าไปกังวลกับอาชีพเลยครับ ตั้งใจสร้างบุญดีกว่า เพราะไม่ว่าจะทำอาชีพไหน ก็รอดจากบาปกรรมยากครับ ยกเว้น นอนอยู่เฉยๆ แต่การนอนอยู่เฉยๆ หรือที่เรียกว่า ถือศีลหมูนั้น แม้ไม่เป็นบาป ก็ไม่เป็นบุญเช่นเดียวกัน ละโลกไปแล้ว ก็จะไปเกิดเป็นหมู ดังเช่น เคส study หมูแสนรู้ ที่เคยเป็นพระที่กินแล้วก็นอนมาก่อน นั่นแหละครับ

ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#9 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 April 2006 - 02:13 PM

ตาลปุตตสูตร

[๕๘๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์
ครั้งนั้นแล พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ
กล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้างในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง
ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรพระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย ฯ

[๕๙๐] แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตรก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่าม
กลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร ฯ

[๕๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราห้ามท่านไม่ได้แล้วว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย แต่เราจักพยากรณ์ให้ท่าน ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะอันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรำย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น นักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะ

****อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ
ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด ดูกรนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่างคือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็นผิด ฯ

[๕๙๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตรร้องไห้สะอื้น น้ำตาไหล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าเลย นายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด อย่าถามข้อนี้กะเราเลย ฯ

คามณี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้กะข้าพระองค์หรอก แต่ว่าข้าพระองค์ถูกนักเต้นรำผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ ล่อลวงให้หลงสิ้นกาลนานว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะรื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชื่อปหาสะข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางหรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคนายนฏคามณีนามว่าตาลบุตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้วท่านพระตาลบุตรอุปสมบทไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่ ฯลฯ ก็แลท่านพระตาลบุตรเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

ที่มา : http://84000.org/tip...8&A=7768&Z=7822

สรุป ขึ้นชื่อว่าการบันเทิงการละเล่น การประโคมดนตรี จะดีหรือร้ายเพียงใดโปรดพิจารณาเอาเองเทอญ

#10 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 17 April 2006 - 02:19 PM

QUOTE
ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะอันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรำย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น นักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะ

จริงครับ ปหาสนิรย ยังเป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งของอเวจีมหานรกอีกด้วยครับ


#11 Jengiskhan

Jengiskhan
  • Members
  • 560 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กุงเท่

โพสต์เมื่อ 17 April 2006 - 09:06 PM

ผมทำงานในวงการบันเทิง (วงการเพลง) ก็รู้สึกว่างานทางนี้ ผลิตออกมาแล้วก็ช่วยให้คนผ่อนคลายได้ แต่สิ่งที่ผ่อนคลายที่สุดคือการทำสมาธิครับ

#12 glouy.

glouy.
  • Members
  • 605 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 June 2006 - 11:49 PM

ความจริง แทบทุก อาชีพ มีโอกาส ก่อบาปก่อเวรทั้งสิ้นน่ะครับ เช่น
อาชีพครู ถ้าสอนความรู้ความเข้าใจที่ผิดให้กับลูกศิษย์ เช่น ครูวิทยาศาสตร์บางท่าน สอนลูกศิษย์ว่า ตายแล้วสูญ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ถือว่า วิญญาณไม่มี อย่างนี้ ก็เป็นบาปกรรมไปเรียบร้อยแล้ว
อาชีพข้าราชการ ถ้ามีเงินประเภท กินตามน้ำ ขึ้นมา (เคยออกเป็นเคสเคสหนึ่ง) ก็เป็นบาปเป็นกรรมไปเรียบร้อยแล้วครับ จะมีวิบากคือ ป่วยเป็นโรคเลือด หรือ โรคไต
อาชีพหมอ ถ้ารักษาคนไข้ผิด ทำให้คนไข้ตาย พิการ ก็กลายเป็นกรรม เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
แม้แต่การเป็นพระ ถ้าสอนให้คนเข้าใจผิด ก็เป็นบาปกรรมเช่นเดียวกัน


ลูกพระธรรม