ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิชชาธรรมกาย


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 23 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 March 2006 - 10:06 PM

สืบเนื่องจาก

QUOTE(เกียรติก้องธรณินทร์)
ขอเรียนถามว่า เมื่อเห็นดวงธรรมแล้ว ทำหยุดในหยุดต่อไปแล้วจู่ๆ ก็สามารถเห็นองค์ธรรมกายได้ทันทีแบบลัดข้ามขั้นตอนได้เลยเหรอครับ? ไม่ใช่เสียแล้วกระมังครับ



QUOTE(Muralath)
พระธรรมกายมี 2 ระดับนี่คะ

ระดับต้นคือเข้าถึงได้ทันที
กับแบบโคตรภู ต้องเดินกายก่อน



ว่าจะไม่พูดถึงรายละเอียดวิชชาแล้ว แต่คราวนี้คงต้องขอพูดเสียหน่อย


คุณเกียรติก้องธรณินทร์ กล่าวได้ถูกต้องแล้วครับ เห็นลัดข้ามขั้นตอนไม่ได้ครับ ถ้าเห็นอย่างนั้น ไม่ใช่จริงๆนั่นแหละครับ ตรงนี้แหละสำคัญทีเดียว ที่เห็นแบบลัดขั้นตอนน่ะ เห็นจริงครับ แต่ของที่เห็นไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงนิมิต ที่ใจสร้างขึ้น

ธรรมกายที่แท้จริงนั้น ไม่มีทางเห็นลัดข้ามขั้นตอนเด็ดขาด เพราะธรรมกาย รวมถึงกายต่างๆ ไม่ใช่นิมิตครับ แต่เป็นของจริงที่มีอยู่แล้ว ภายในกายของทุกๆคน แต่ที่เราไม่เห็นกัน เพราะ เห็น จำ คิด รู้ ของเรา ถูกทำให้เคลื่อนออกไป จากฐานที่ตั้งเดิม แต่เมื่อเราเอา เห็น จำ คิด รู้ กลับมาตั้งไว้ที่ฐานเดิม คือ ศูนย์กลางกายฐานที่๗ เมื่อถูกส่วนเข้า ก็จะเห็นของจริงที่มีอยู่แล้วนี้ได้ การเห็นของจริงที่มีอยู่แล้วนี้ จึงต้องเห็นไปตามขั้นตอนครับ คือ ๖ ดวง ๑ กาย จนครบทั้ง ๑๘ กาย เพราะของจริงที่มีอยู่แล้วนี้ เรียงกันอยู่ตามนั้น


หากผู้ฝึกวิชชาธรรมกาย ผู้ใดก็ตาม ไม่ได้เห็นตามนี้ ให้รู้ไว้เลยครับ ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ยังไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงนิมิต ที่ใจสร้างขึ้น แต่นิมิตที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ เพราะอย่างน้อยก็เป็น เครื่องวัด ว่าใจของเราเริ่มรวมหยุดแล้ว โดยมีนิมิต เป็นตัวรวมเกาะของใจ นอกจากนั้นยังช่วยสร้างกำลังใจในการปฏิบัติของเราด้วย ทำให้เรารู้ว่า การปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า แต่ก็ให้เรารู้ว่า นี่ยังไม่ใช่ของจริง ดังนั้น ไม่ควรไปยึดติดกับมัน แต่ให้ดูไปด้วย ใจนิ่งๆ สบายๆ มีอะไรให้ดูก็ดูไป นี่เป็นเหตุผล ว่าทำไม พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ รวมถึง พระเดชพระคุณ คุณครูไม่ใหญ่ ไม่เคยออกมาบอกว่า ผู้ที่ไม่เห็นตามขั้นตอน นั้นทำผิด เพราะจริงๆแล้ว มันไม่ผิด เพียงแต่ยังหยุดไม่ถูกส่วน จึงยังไม่เห็นของจริง ก็แค่นั้น แต่ถ้าเป็นของจริงแล้ว ต้องเห็นไปตามขั้นตอนเสมอ ซึ่งตรงนี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ รวมถึงพระเดชพระคุณ คุณครูไม่ใหญ่ ท่านยืนยันตรงกันครับ ว่าต้องเป็นเช่นนี้ และหากทุกท่านได้อ่านบันทึกพระธรรมเทศนา ของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ รวมถึงตำราในการเดินวิชชาต่างๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านพูดไว้อย่างชัดเจนหลายรอบทีเดียวว่า ถ้าไม่เห็นตามนี้ล่ะก็ เป็นเลอะเลือนเหลวไหล และจริงๆแล้ว พระเดชพระคุณ คุณครูไม่ใหญ่ เคยพูดออกสภา ตอนอาทิตย์ต้นเดือนด้วยซ้ำไป ไม่รู้ว่ามีใครเคยได้ยินหรือจำกันได้หรือเปล่า คุณครูไม่ใหญ่ ท่านพูดออกสภา อย่างชัดเจนว่า ใครที่ไม่เห็นตามนี้(๖ ดวง ๑ กาย จนครบ ๑๘กาย) ให้เอาใหม่เลยนะจ๊ะ ให้เริ่ม สัมมา อรหัง ใหม่เลย ไม่งั้นทำวิชชาไม่ได้


มีหลายๆคน เลยครับ ที่เข้าใจผิด คิดว่าตัวเองได้ธรรมกายแล้ว แล้วก็เที่ยวพูดออกไป ซึ่งตรงนี้แหละ ทำให้เกิดประเด็นการโจมตี วิชชาธรรมกายขึ้นมา ว่าเป็นพวกติดนิมิตบ้างล่ะ โดนนิมิตหลอกบ้างล่ะ เพราะผู้ที่เอาไปเที่ยวพูดน่ะ เห็นแค่นิมิตจริงๆ จึงทำให้คนที่เขารับฟัง เข้าใจผิด ว่าธรรมกาย เป็นเพียงแค่นิมิต ถึงตรงนี้ ผมขอบอกอีกครั้งว่า ธรรมกาย ไม่ใช่นิมิต แต่เป็นของจริง ที่เราจะเห็นได้ เมื่อเราเอาใจของเรา มาหยุดไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างถูกส่วน พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านบอกว่า "ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ จะต้องรวมหยุด เป็นจุดเดียวกัน เมื่อหยุดแล้วจึงดับ เมื่อดับแล้วจึงเกิด ถ้าไม่ดับไม่เกิด นี่ ของจริงอยู่ตรงนี้ ตรองดูเถิด ท่านทั้งหลาย"

มาถึงตรงนี้ หลายๆคน อาจจะแย้งว่า แล้วทำไมคนที่ผมบอกว่า ยังไม่เห็นของจริง หลายๆคน เขาถึงได้มีความรู้ความเห็นต่างๆเกิดขึ้นล่ะ และบางคนสามารถใช้วิชชาต่างๆได้ด้วย เช่น อภิญญาต่างๆ ตรงนี้ตอบได้ง่ายมากครับ เรื่องความรู้ความเห็น อภิญญาต่างๆ พวกฤษีชีไพรต่างๆ ที่เขาเล่นนิมิต ก็ทำได้ครับ ไม่ต้องเป็นความรู้ความเห็น ในพระพุทธศาสนาหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่พระพุทธศาสนามี แต่พวกฤษีชีไพรต่างๆ ไม่มี นั่นคือ อาสวักขยญาณ ครับ อันนี้แหละ ที่เป็นวิชชาที่แท้จริง ในพระพุทธศาสนา และอีกอย่าง เป้าหมายของกายฝึกวิชชาธรรมกาย ไม่ใช่เรื่องพวกนั้นนะครับ เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องทำเล่น แต่เป้าหมายที่แท้จริง คือ การกำจัดกิเลส และมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม


ดังนั้น ใครก็ตามที่เข้าใจผิด ให้เข้าใจใหม่ตามนี้ด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น ที่คุณMuralath บอกมาว่า ธรรมกายมี ๒ ระดับ จึงไม่ใช่เช่นกันครับ ธรรมกายที่แท้จริง ไม่มีระดับครับ ทุกๆคนจะเห็นเหมือนกันหมด เพราะว่าเป็นของจริงที่มีอยู่แล้ว เหมือนทีทุกคนในโลกนี้เห็นดวงอาทิตย์ เหมือนกันหมดทั้งโลก ว่าดวงอาทิตย์กลมและมีแสงสว่างจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ประเทศไทยจะเห็นดวงอาทิตย์กลมสว่าง แต่อยู่อเมริกาเห็นดวงอาทิตย์เป็นสี่เหลี่ยมมืดๆ


หวังว่า ทุกท่านที่ได้อ่านสิ่งที่ผมได้โพสต์ไป จะเข้าใจอะไรมากขึ้น และหวังว่า ท่านใดที่เข้ามาอ่านแล้ว รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นยังไม่ใช่ของจริง คงจะไม่หมดกำลังใจในการปฏิบัติธรรมนะครับ(นี่แหละ เป็นเหตุผล ว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยอยากพูด ถึงรายละเอียดวิชชา) ให้ประกอบความเพียรต่อไปเถอะครับ สิ่งที่เราเห็นถึงแม้จะยังไม่ใช่ของจริง แต่มันก็บ่งบอกว่า การปฏิบัติของเราก้าวหน้า ให้กระทำเช่นนี้ต่อไป และเมื่อใดก็ตาม ที่ใจเราหยุดถูกส่วน เมื่อนั้นแหละ ของจริงจะบังเกิดขึ้นกับเรา


อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ...สาธุ

ปล.หากท่านผู้ดูแลเวบบอร์ดทุกท่าน เห็นว่ากระทู้นี้ไม่เหมาะสม เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินไป ผมอนุญาตให้ลบกระทู้ได้เลยนะครับ

#2 ธุลีทอง

ธุลีทอง
  • Members
  • 8 โพสต์
  • Location:นนทบุรี

โพสต์เมื่อ 23 March 2006 - 11:41 PM

"แม้มือตี้อมือมิดก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม"

...อุ้ย เผลออุทานคาถาศักสิทธิ์ที่ยังต้องใช้อีกแล้ว 8-|

#3 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 March 2006 - 11:59 PM

ชัด ใส ปิ้งค่ะ
สาธุ


#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 01:41 AM

ขอยืนยันว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนเช่นเดียวกันกับที่พี่ Neung ได้บอกไว้ครับ ผิดไปจากนี้ไม่ใช่ และขอให้ทุกท่านได้นำเอาข้อมูลอันเป็นประโยชน์ดังกล่าวนี้ไปปรับใช้ ขอให้ท่านทั้งหลาย ได้เข้าถึงพระธรรมกายภายในอย่างถูกวิธีและตรงไปตามแนวทางแห่งการปฏิบัติ ทุกอย่างทุกประการ โดยถ้วนหน้ากัน จงทุกท่านเทอญฯ

#5 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 02:57 AM

พูดตามตรงเลยว่าที่ผมต้องลบกระทู้ไป ก็เพราะรายละเอียดบางอย่างมันไม่ใช่น่ะครับพี่ xlmen อีกประการหนึ่งก็คือ ผมกลัวคนอื่นมาอ่านเข้าจะเกิดความสับสนด้วย เพราะตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านได้สอนมาแต่ในอดีตนั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนนะครับ ไม่มีการลัดหรือข้ามขั้น ถ้าเช่นนั้นผมขอถามกลับว่า ความรู้ที่พี่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด อาจารย์ท่านใดเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับพี่เหรอครับ? ส่วนเหตุผลที่ผมต้องลบก็คือ การที่พี่บอกว่า เมื่อมนุษย์คนหนึ่งๆ ได้ทำการประกอบเทวธรรม (หิริ-โอตตัปปะ) ให้มีขึ้นภายในใจแล้ว คุณธรรมดังกล่าวจะก่อให้เกิดกายภายในที่เกิดขึ้นรองรับ คือ กายทิพย์ อันนี้ถูกต้องนะครับ แต่การที่พี่บอกว่ามีการเห็นแบบข้ามขั้นตอนโดยสามารถเห็นกายทิพย์ในทันทีนั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ได้ผ่านการเข้า ๑๘ กายแล้วจึงใช้ธรรมจักขุและญาณทัสสนะของพระธรรมกายตรวจสอบไปตามเหตุและผลตามสายแห่งปฏิจจสมุปบาทธรรมว่า กายทิพย์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะผลจากการประกอบเหตุเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ด้วยการเจริญให้ยิ่งในเทวธรรมเสียมากกว่าครับ สรุปแล้วก็คือ ต้องเข้า ๑๘ กายก่อน จากนั้นจึงพิจารณาไปตามเหตุและผล มากกว่าที่จะเห็นโดยฉับพลันทันที (นั่งปุ๊บเห็นกายทิพย์ปั๊บ) น่ะครับ

#6 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 06:10 AM

QUOTE(เกียรติก้องธรณินทร์)
พูดตามตรงเลยว่าที่ผมต้องลบกระทู้ไป ก็เพราะรายละเอียดบางอย่างมันไม่ใช่น่ะครับพี่ xlmen อีกประการหนึ่งก็คือ ผมกลัวคนอื่นมาอ่านเข้าจะเกิดความสับสนด้วย เพราะตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านได้สอนมาแต่ในอดีตนั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนนะครับ ไม่มีการลัดหรือข้ามขั้น ถ้าเช่นนั้นผมขอถามกลับว่า ความรู้ที่พี่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด อาจารย์ท่านใดเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับพี่เหรอครับ? ส่วนเหตุผลที่ผมต้องลบก็คือ การที่พี่บอกว่า เมื่อมนุษย์คนหนึ่งๆ ได้ทำการประกอบเทวธรรม (หิริ-โอตตัปปะ) ให้มีขึ้นภายในใจแล้ว คุณธรรมดังกล่าวจะก่อให้เกิดกายภายในที่เกิดขึ้นรองรับ คือ กายทิพย์ อันนี้ถูกต้องนะครับ แต่การที่พี่บอกว่ามีการเห็นแบบข้ามขั้นตอนโดยสามารถเห็นกายทิพย์ในทันทีนั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ได้ผ่านการเข้า ๑๘ กายแล้วจึงใช้ธรรมจักขุและญาณทัสสนะของพระธรรมกายตรวจสอบไปตามเหตุและผลตามสายแห่งปฏิจจสมุปบาทธรรมว่า กายทิพย์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะผลจากการประกอบเหตุเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ด้วยการเจริญให้ยิ่งในเทวธรรมเสียมากกว่าครับ สรุปแล้วก็คือ ต้องเข้า ๑๘ กายก่อน จากนั้นจึงพิจารณาไปตามเหตุและผล มากกว่าที่จะเห็นโดยฉับพลันทันที (นั่งปุ๊บเห็นกายทิพย์ปั๊บ) น่ะครับ


สาธุครับ ถูกต้องดีแล้ว

I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.

#7 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 09:12 AM

แล้วท่านที่พบเห็น กระทู้หรือข้อความ ที่ไม่เหมาะสม ใดๆ กรุณาแจ้ง Modiater ด้วยครับ มีคุณ เกียตริก้องฯ คุณฟ้าร้าง สิริปโภ Muralath หยุดอะตอมใจ คุณลิลลี่ ฯลฯ และอีกหลายๆท่านครับ
ช่วยๆกันเป็นหูเป็นตานะครับ พักนี้ มีผู้ไม่หวังดีเยอะครับ




#8 tnawut

tnawut
  • Moderators
  • 2398 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Laksi
  • Interests:Internet, Computer, Electronic, Security, Merit, Meditation, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, ทำบุญ, ปล่อยปลา, บูชาเจดีย์, ฝันในฝัน, DOU, หมู่บ้านปฏิบัติธรรม, บวช, บรรพชา, Web, CU, Chula

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 11:52 AM

สาธุ

#9 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 12:40 PM

ครับถูกต้อง ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ทีนี้บางคนอาจจะสงสัยว่า คนในอดีตบางท่าน เช่น พระพาหิยะ ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแค่ประโยคเดียว ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่า ลัดขั้นตอน แล้วจะเรียกว่าอะไร

คำตอบคือ ตามขั้นตอนครับ แต่ในการเป็นไปตามขั้นตอนนั้นมันมีทั้งเป็นไปตามขั้นตอนแบบช้าๆ เห็นความแตกต่างของขั้นตอนอย่างชัดเจนเป็นขั้นๆไป กับแบบที่เป็นไปตามขั้นตอนแบบเร็วๆ มาก จน(คนอื่น)แทบมองไม่เห็นความแตกต่างของแต่ละขั้นตอน เลยเข้าใจไปเองว่า ลัดขั้นตอน เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#10 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 01:42 PM

ความจริงผมอธิบายไปในกระทู้เดิมที่ถูกลบไปแล้วว่า เป็นการเห็นแบบเป็นไปตามขั้นตอนทุกประการแต่ที่เห็นเป็นกายทิพย์ หรือกายธรรมเลยที่ดูเหมือนจะลัดเป็นเพราะ จิตเข้าถึงกายในกาย เร็วมากเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ถ้าจิตมีสติแก่กล้า จะมองเห็นดวง และกายตามลำดับขั้น แต่ถ้าสติไม่แก่กล้าจะเผลอคิดไปว่าลัดขั้นตอนแต่แท้จริงแล้วไม่ลัดขั้นตอนครับ เพราะดวงและกายเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แม้แต่คำสอนของหลวงพ่อธัมมชโยก็ยังเคยมีเทศน์สอนบอกเลยครับว่า ถ้าเห็นเป็นกายธรรมเลยก็ไม่มีผิดนะให้ดูไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไร ดังนั้นความรู้ที่ผมนำมาแสดงจึงไม่ใช่ความรู้ใหม่ครับเป็นความรู้เก่าของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อสดเทศนาบอกนี่แหละ แม้หลวงพ่อธัมมชโยก็เคยกล่าวไว้ครับส่วนเทศนาอยู่เทปม้วนไหนผมคงไม่ชี้แจงหละครับเหนื่อยที่จะอธิบายแล้วครับ ปล่อยให้ไม่รู้ต่อไปดีกว่า

ดังนั้นก่อนจะลบกระทู้ช่วยอ่านให้ละเอียดซักนิดครับ เพราะคนพิมพ์ก็สละเวลามาอธิบายไม่มีอามิสสินจ้างครับ
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#11 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 02:01 PM

แล้วสำหรับการเจริญวิปัสนานี้ต้องทำยังไงบ้างครับ พวกเพื่อนๆผมหลายคนถามกันมาหลายครั้งแล้วตอนนี้กำลังรอคำตอบอยู่ครับ

#12 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 02:10 PM

เห็นด้วยค่ะ

พระอาทิตย์มีดวงเดียว ทั่วโลกมองเห็นเหมือนกันหมด แต่ว่าอันที่จริงแล้วการเข้าถึงพระธรรมกายนั้น มี 3 ระดับ เข้าใจถูกรึเปล่าคะ

คือ
1 "เห็น" แต่ไม่ได้เห็นตลอดเวลา เห็นแล้วมีความสุข ทำให้เกิดความรู้ถูก เห็นถูก ในการดำเนินชีวิต ซึ่งตรงนี้นี่เอง ที่อาจจะมีภาพ นรก-สวรรค์ มาให้เห็น และอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองเข้าถึงพระธรรมกายภายในแล้ว
2 "เข้าถึง" ต้องเห็นตลอดเวลา หลับ ตื่น นั่ง นอน ยืน เดิน ติดแน่นอยู่กับตัว พูดคุย ซักถามได้
3 "เป็น" เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกาย รู้สึกว่าตัวเองเป็นพระ ถึงแม้ว่าภายนอกไม่ได้เป็น ... อันนี้ไม่ทราบ ขอผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#13 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 04:46 PM

การเจริญวิปัสสนา ถ้าใช้คำตอบแบบตามตำรา ก็คือ การหยุดใจ (สมถภาวนา) จนถึงระดับละวิตก วิจาร ปิติ สุข จนใจรวมเป็นหนึ่งแล้ว อาศัยปัญญาที่เกิดจากใจที่หยุดนิ่งเป็นสมาธินั้น พิจารณาไตรลักษณ์ (ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน) ของภพสาม คือ มนุษย์ ทิพย์ พรหม แล้วจิตก็หลุดพ้นสู่สภาวะของพระอริยะ

ปัญหาอยู่ที่หยุดขนาดไหนล่ะ ใจเป็นสมาธิขนาดไหนล่ะ จึงจะสามารถทำวิปัสสนาได้ ตรงนี้พวกนักคิด หรือนักปฏิบัตินิดๆหน่อยๆ ทั้งหลายไม่เข้าใจถ่องแท้ จะตีความเป็นว่า ใจนิ่งจนเห็นความสว่างแล้ว (แสดงว่าปัญญาเกิดแล้ว) ตอนนั้นแหละให้พิจารณาไตรลักษณ์ ปล่อยวางความสว่างนั้นไป ได้ความโล่งสบายไม่ยึดติดอะไรเลย แต่พอถอนจากสมาธิมา ยังมีกิเลสเหมือนเดิม พวกนี้จะเข้าใจว่า ยังทำไม่ชำนาญ แล้วก็ทำแบบเดิมใหม่ ก็ได้เหมือนเดิมอีกไปเรื่อยๆ พวกนี้ถ้าจะเปรียบแล้ว เหมือนคนที่หาส้มจนเจอแล้ว ที่ปล่อยวางทิ้งส้มนั้นไป ย่อมไม่ได้กินส้มอร่อย

ที่นี้อีกพวกหนึ่งหนักกว่านั้น อ่านธรรมะเห็นพระพาหิยะฟังธรรมประโยคเดียวบรรลุเลย เพราะฉะนั้นพวกนี้จะคิดวิธีใหม่ อ้างว่าเป็นวิธีลัด ไม่ต้องทำสมถะ(ปัจจุบันพวกนี้ยังถกเถียงกันกับพวกนี้ 1 อยู่มาจนบัดนี้) แต่ทำวิปัสสนาเลย คือ อาศัยปัญญามนุษย์ธรรมดานี่แหละ มีสติ พิจารณาไตรลักษณ์เป็นเรื่อยๆ บ่อยๆ เดี๋ยวบรรลุเอง พวกนี้ถ้าเปรียบ ก็เหมือนคนเจอแต่รูปภาพส้ม ไม่ได้เจอส้ม แถมเจอรูปภาพส้มแล้วก็ปล่อยวางรูปภาพส้มนั้นทิ้งไปอีกด้วยเช่นกัน จึงไม่ได้กินส้ม

แล้ววิธีการที่ถูกเป็นอย่างไร วิธีการที่ถูกก็คือเหมือนคนกินส้มนั่นแหละครับ คือ ต้องหาส้มให้เจอก่อน พอเจอส้มแล้ว อย่ารีบทิ้งส้ม ให้ปอกเปลือกส้มเข้าไปในเนื้อ แล้วจะได้กินส้มอร่อย ซึ่งก็คือ ต้องทำสมถภาวนาก่อน (ทำสมาธิ) จนพบความสว่าง ที่นี้พอพบแล้ว ยังไม่ต้องทิ้งความสว่าง ให้หยุดเข้าไปในความสว่างนั้น ก็จะเห็นไปตามขั้นตอน ช้าเร็วก็แล้วแต่ความชำนาญที่สั่งสมมาของแต่ละบุคคล จนกระทั่งถึงธรรมกาย

แล้วอาศัยปัญญาของธรรมกาย(ใจที่หยุดนิ่งดีแล้ว) ไปพิจารณาไตรลักษณ์ของมนุษย์ ก็จะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในกายมนุษย์ บรรลุเป็นพระโสดาบัน

แล้วอาศัยปัญญาของธรรมกาย(ใจที่หยุดนิ่งดีแล้ว) ไปพิจารณาไตรลักษณ์ของกายทิพย์ ก็จะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในกายทิพย์ บรรลุเป็นพระสกิทาคามี

แล้วอาศัยปัญญาของธรรมกาย(ใจที่หยุดนิ่งดีแล้ว) ไปพิจารณาไตรลักษณ์ของกายพรหม ก็จะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในกายพรหม บรรลุเป็นพระอนาคามี

แล้วอาศัยปัญญาของธรรมกาย(ใจที่หยุดนิ่งดีแล้ว) ไปพิจารณาไตรลักษณ์ของการอรูปพรหม ก็จะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในกายอรูปพรหม บรรลุเป็นพระอรหันต์

ขั้นตอนเป็นตามนี้ ผิดจากนี้ กิเลสย่อมไม่หมดครับ แต่ถ้าปรารถนาสร้างบารมีรื้อสัตว์ขนสัตว์ต่อไป ก็อาศัยปัญญาของธรรมกายที่เข้าถึง ไปศึกษาวิชชาธรรมกายต่างๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่จะยังไม่หมดกิเลส เพราะไม่ได้ใช้ปัญญาธรรมกายไปตัดความยึดมั่นถือมั่นในมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหมนั่นเอง




ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#14 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 09:38 PM

อยากให้มีการระมัดระวังในการโพสธรรมะมากกว่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุที่จะทำให้ผิดใจกันได้ในภายหลังครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#15 Streamdhamma

Streamdhamma

    หยุด นิ่ง เฉย ได้ไหม

  • Members
  • 528 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 06:09 AM

สาธุค่ะ
"เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"



#16 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 26 March 2006 - 04:27 AM

สาธุ เข้าใจแล้ว แต่ยังเข้าไม่ถึง จะพยายามต่อไป

#17 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 26 March 2006 - 11:33 AM

การลบกระทู้ ไม่ใช่เป็นการดูถูกผู้อ่าน แต่เป็นการเฝ้าระวังคนโรคจิต มาป่วนบอร์ด เข้ามาสาดโคลนด้วยถ้อยคำรุนแรง จนสมาชิกบางท่าน (ซึ่งไม่ใช่พระอิฐพระปูน) โต้ตอบกลับ พวกโรคจิตเหล่านั้น ก็ได้ช่อง สาดโคลนซ้ำมาว่า พวกเราหยาบคาย กักขฬะ แล้วยังชอบอวดอุตริ....




#18 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 March 2006 - 05:19 PM

ใจเย็นๆนะคะ ดิฉันเห็นว่าถูกต้องถ้าจำเป็นต้องลบกระทู้ใดกระทู้หนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ควรอธิบายให้ผู้ตั้งกระทู้เข้าใจเหตุผลในการลบนะคะ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาว่าลบทำไม อาจจะเป็นการอธิบายตัวต่อตัวก็ได้ ทุกคนที่เข้ามาให้ความคิดเห็นก็หวังให้ธรรมะเป็นธรรมทานทั้งนั้น ผู้ที่อ่านแล้วเห็นไม่ควรก็มีความเป็นห่วงเป็นใยผู้อ่าน สรุปทุกท่านมีแต่ความหวังดีกันถ้วนหน้า อธิบายกันจะได้ได้บุญเน็ทๆยังไงละคะ happy.gif
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#19 CEO

CEO
  • Members
  • 577 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย

โพสต์เมื่อ 26 March 2006 - 10:21 PM

สาธุครับ เข้าใจแล้วครับ

สร้างบารมีทุกวินาที
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้

#20 ลูกหลวงพ่อ

ลูกหลวงพ่อ
  • Members
  • 17 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 09:40 PM

ทุกท่านจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิชาธรรมกายได้ดียิ่งขึ้น ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามหลักวิชาและได้เข้าถึงด้วยตัวเองครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ตั้งใจขยันฝึกตนเดินตามรอยเท้าพ่อครับ สาธุ สาธุ สาธุ

#21 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 10:11 PM

QUOTE
การลบกระทู้ ไม่ใช่เป็นการดูถูกผู้อ่าน แต่เป็นการเฝ้าระวังคนโรคจิต มาป่วนบอร์ด เข้ามาสาดโคลนด้วยถ้อยคำรุนแรง จนสมาชิกบางท่าน (ซึ่งไม่ใช่พระอิฐพระปูน) โต้ตอบกลับ พวกโรคจิตเหล่านั้น ก็ได้ช่อง สาดโคลนซ้ำมาว่า พวกเราหยาบคาย กักขฬะ แล้วยังชอบอวดอุตริ

...
ใช่ครับผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เพราะสังคม DMC นี้เป็นสังคมที่ผมใฝ่ฝันอยากเห็นและอยากเป็นมานาน ดารแสดงความเห็นแต่ละท่านก็เต็มไปด้วยความปราถนาดีต่อกัน เป็นสังคมที่โลกนี้กำลังต้องการมากครับ ในยามที่โลกกำลังขาดแคลนมนุษย์ (ส่วนมากเต็มไปด้วย ปุถุชน) สมาชิกในเวปบอร์ด DMC มีระบบระเบียบและมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน เพื่อสร้างเครือข่ายคนดีครับ
................................................................
ถ้าอะไรที่ฌาณ หรือการหยั่งรู้ของเราไปไม่ถึงก็อย่าพึ่งไปบอกว่ามันไม่มีก็ยิ้มๆ ฟังๆไว้ก่อนครับ (ทัศนคติผมนะครับ) ผมก็ได้แต่ท่องๆไว้ว่า เป้าหมายที่สุดที่ยังหายใจอยู่ก็ทำจิตให้ผ่องใส เหมือนตอนที่ผมบวชแล้วผมได้มีโอกาศไปถวายปัจจัยใกล้ๆหลวงพ่อ ที่ประตูทางเข้าโรงเรียนอนุบาล (บ้านคุณยาย) แบบยืนใกล้ๆหลวงพ่อท่านให้พรว่า ใสๆๆๆนะลูกนะ ใสในใสนะลูกนะ ก้องกังวาลในดวงจิตผมตลอด เวลาที่จิตผมจะตก ผมก็จะนึกเห็นภาพนี้ตลอด จิตผมก็จะฟูขึ้นมา อัศจรรย์จริงๆครับ ส่วนการปฎิบัติธรรมของผมยังไม่ไปใหนครับ แค่ตัดวิตก ตัดวิจารณ์ และมีปิติ ขนลุกขนพอง ซู่ซ่าเป็นบางครั้งก็ต้องฝึกกันต่อไป ความรู้ในเรื่องวิชชาธรรมกายนั้นผมก็ยึดตำราของหลวงพ่อเป็นหลักครับ...
........
อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านนะครับ สาธุ

ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#22 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 05:30 PM

ครับต้องขอโทษแทนคุณ #22 ด้วยว่า ตอนที่ผมโพสต์ครั้งก่อนๆ ไม่ได้ระบุรายละเอียดไว้ชัดเจนกว่าท่อนไหนมาจากพระไตรปิฎก ส่วนท่อนไหนเป็นธรรมภาคปฏิบัติที่หลวงพ่อวัดปากน้ำได้เทศน์ไว้ ท่อนที่คุณถามมานี้ เป็นท่อนที่เป็นธรรมะภาคปฏิบัติที่หลวงพ่อปากน้ำท่านได้เทศน์ไว้ครับ

คุณอาจจะเห็นว่า ไม่มีอยู่ ในพระไตรปิฎก แต่ผมกลับเห็นตรงข้ามครับว่า มีรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่ทรงกล่าวไว้ย่อๆ ในพระไตรปิฎกครับ
ทีนี้อาจจะถามอีกว่า ทำไมเทศน์มากกว่าพระพุทธเจ้าได้ ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่า สมัยพุทธกาลนั้น ผู้มีบุญมีบารมีที่จะบรรลุธรรม (เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า) ลงมาเกิดกันมากมาย หลายๆ ท่านล้วนแต่ไปบวชรอไว้ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เสียอีก ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมแต่เพียงย่อๆ เท่านั้น ท่านเหล่านั้นก็ล้วนแทงตลอดในธรรมขึ้นมา โดยเฉพาะพระพาหิยะ บรรลุแค่ประโยคเดียวว่า "จงเห็นสักแต่ว่าเห็น" เป็นต้น

แต่ในสมัยปัจจุบัน ผู้คนยังต้องบำเพ็ญบารมีกันอีกมากครับ กว่าจะบรรลุธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ถามว่า ใครคิดจะบวช ประพฤติพรหมจรรย์บ้าง สมัยนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะครับ คนที่จะคิดแบบนี้ ในขณะที่สมัยก่อนหาได้มากมาย ถึงกับเป็นประเพณีเลยว่าอย่างน้อย เมื่ออายุมากแล้ว ต้องสละเรือนไปบวช ถ้าอย่างมาก ก็บวชตั้งแต่ยังหนุ่มสาวเลย

เมื่อผู้คนยังต้องบำเพ็ญบารมีกันอีกมากเช่นนี้ ก็สอนธรรมะก็ต้องสอนละเอียดครับ ต้องแจงกันละเอียดเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งผมเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดา

ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ มงคลชีวิต 38 ประการ พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ให้เทวดาฟังย่อๆ แค่ หัวข้อมงคลชีวิต ผู้ฟังคือ เทวดาก็บรรลุธรรมแล้ว แต่เวลานำมาเรียนมาสอนกัน ต้องขยายความแต่ละหัวข้ออย่างละเอียดปลีกย่อยมากมาย ฟังแล้วยังไม่เห็นบรรลุธรรมกันเลย
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#23 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 20 April 2006 - 03:28 PM

ยังไงหนูก็ขอยืนยันค่ะ ว่ามี 2 ระดับ
หนูไปสอบถามมาจากเพื่อนที่มีประสบการณ์มาค่ะ

เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#24 SHO

SHO
  • Members
  • 15 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 19 December 2014 - 11:27 AM

ลองศึกษาดูครับ