ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ใจที่เลื่อมใสปิดอบายภูมิ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 kuna

kuna
  • Members
  • 780 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 05:53 PM

[attachmentid=2499]

ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจที่ผ่องใส จะกล่าวอยู่หรือว่ากระทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้น เหมือนเงาตามตัว ฉะนั้น
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ คือ ทางสายกลาง เป็นทางเอกสายเดียวที่จะนำพาทุกๆ ชีวิตไปสู่อายตนนิพพานได้ พระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านหยุดใจได้สนิท มีดวงตาเห็นธรรม ท่านก็ดำเนินจิตเข้าไปสู่ภายใน โดยผ่านศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ การที่เราจะเข้ากลางของกลางภายในได้อย่างไม่มีอะไรติดขัดนั้น ใจของเราจะต้องเกลี้ยงเกลา โดยไม่ติดอะไรเลยในโลกนี้ มองโลกด้วยภาวะแห่งจิตที่เป็นปกติเป็นกลางๆ และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ด้วยการนำจิตของเราเข้าสู่เส้นทางสายกลางภายใน ตามรอยของพระอริยเจ้าทั้งหลายให้ได้ จนกว่าจะได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิต
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า

“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจที่ผ่องใส จะกล่าวอยู่หรือว่ากระทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้น เหมือนเงาตามตัว ฉะนั้น”
พระคาถานี้ เราต่างเคยได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ เป็นพระคาถา ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เริ่มต้นที่ใจ ใจเป็นใหญ่ หากมีใจที่ผ่องใสแล้ว ความคิด คำพูด การกระทำ ก็จะดีงามตามไปด้วย และเป็นทางมาแห่งมหากุศลที่ไม่มีประมาณ เพราะฉะนั้นนักสร้างบารมีที่ประสบความสำเร็จเมื่อครั้งในอดีต เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติของท่านเหล่านั้นแล้ว จะพบว่า ทุกๆ ท่านล้วนมีจิตใจที่ผ่องใส เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

*เหมือนประวัติการทำความดีของ พระสุสัญญกอรหันตเถรเจ้า ซึ่งท่านเป็นผู้หนึ่ง ที่มีมุมมองแตกต่างจากผู้อื่น รู้จักจับแง่คิดด้วยใจที่ผ่องใส จึงทำให้ท่านได้บุญพิเศษกว่าคนอื่นๆ เรื่องราวของท่านมีอยู่ว่า ตอนที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร พระสุสัญญกเถระก็เป็นดังเช่นบุคคลทั่วๆ ไป ซึ่งบางภพชาติที่ได้สร้างบุญไว้ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ บุญก็ส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เสวยทิพยสุข แต่มีบางชาติที่ขาดการสร้างบุญ เผลอไปทำบาปอกุศล อกุศลกรรมนั้นมีผลเผ็ดร้อน ก็ต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิ ชีวิตมีขึ้นมีลงเช่นนี้ตลอดเวลาที่เวียนว่ายตายเกิด
จนกระทั่ง มาถึงสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ติสสะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในยุคนั้นก็นับว่า เป็นยุคที่โลกสว่างไสวด้วยแสงแห่งธรรม มีผู้ไปสวรรค์นิพพานกันมากมาย เพราะพระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ ได้เสด็จจาริกไปทั่วพื้นชมพูทวีปทรงประกาศพระสัทธรรม ได้แสดงธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย ยังผู้ที่หลงผิด ให้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ ทรงแสดงธรรมได้แจ่มแจ้ง เหมือนหงายของที่ควํ่า เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
ในยุคนั้น พระสุสัญญกเถระบังเกิดในตระกูลมีชื่อเสียงตระกูลหนึ่ง เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสให้เห็นภัยในวัฏสงสาร และอานิสงส์ของการทำใจให้เลื่อมใส ท่านเกิดศรัทธาอย่างยิ่งจึงคิดว่า เวลาชีวิตของมนุษย์นี้ ประเดี๋ยว ก็วันประเดี๋ยวก็คืน ควรที่เราจะรู้จักจับแง่คิดในการเอาบุญ รู้จักระวังไม่ให้อกุศลบังเกิดขึ้นในใจ ตั้งแต่นั้นมา ท่านตั้งใจสำรวมระวังตลอดเวลา ไม่ให้อกุศลทั้งหลายเข้ามาในใจของตน
วันหนึ่ง หลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จจาริกไปประกาศพระสัทธรรม อุบาสกได้เดินทางไปทำกิจบางอย่าง ขณะนั้น ท่านมองเห็นผ้าบังสุกุลจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าคล้องที่ปลายไม้ หากเป็นผู้อื่นก็คงคิดว่า นี้เป็นผ้าสีเหลืองธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย แต่อุบาสกผู้มีปัญญาไม่ได้คิดอย่างนั้น เพียงแค่เห็นผ้าบังสุกุลโบกสะบัดที่ปลายไม้ ใจก็น้อมไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าคิดว่า โองามจริงหนอ ผ้าผืนนี้ เป็นผ้าของผู้ที่หมดสิ้นอาสวกิเลส ไม่ใช่ผ้าธรรมดาทั่วไปที่จะบังเกิดขึ้นในโลกนี้ง่ายๆ แต่นี่เป็นธงชัยของพระอรหันต์ คิดเช่นนี้ แล้ว ท่านจึงทำสักการะกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ทันที
ด้วยบุญที่ท่านทำสักการบูชาผ้าบังสุกุล ส่งผลให้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ได้เสวยเทวสมบัติและมนุษยสมบัติยาวนาน จนมาถึงสมัยพุทธกาลนี้ มีบารมีเต็มเปี่ยม ก็กลับลงมาเกิดในเรือนที่เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ เมื่อท่านเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็ออกบรรพชาประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์ และเมื่อย้อนดูบุญกรรมของตน ก็ยิ่งทำให้เกิดโสมนัสถึงกับเปล่งอุทานว่า
“เราได้เห็นผ้าบังสุกุลจีวรของพระบรมศาสดาห้อยอยู่บนยอดไม้ แล้วได้ประนมอัญชลีไหว้ผ้าบังสุกุลจีวร ด้วยบุญในครั้งนั้น ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ เราไม่รู้จักทุคติเลย ในกัปที่ ๔ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่า ทุมหระ ครอบครองแผ่นดิน มีสมุทรสาครทั้ง ๔ เป็นที่สุด มีพละมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว นี้เป็นผลแห่งสัญญาในผ้าบังสุกุลจีวร”
นี่เป็นเรื่องราวของพระอรหันตเถรเจ้าที่มีนามว่า สุสัญญกเถระ ที่ท่านได้ประสบผลแห่งบุญก็ด้วยใจที่ผ่องใส รู้จักจับแง่คิดในการสร้างบุญ เพียงแค่เห็นผ้าบังสุกุลสีเหลืองๆ เท่านั้น
ยังมีเรื่องราวทำนองคล้ายๆ กันอีกเรื่องหนึ่ง ขอถือโอกาสนำมาเล่าเพิ่มเติม จะได้มีแง่คิดมุมมองที่ดี และจะได้มีกำลังใจสร้างบารมี ทำใจให้เลื่อมใสกับเนื้อนาบุญอันเลิศ เป็นเรื่องราวของ พระฐิตัญชลิยเถรเจ้า ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล ท่านมีประวัติที่น่าสนใจมาก
เรื่องของท่านมีอยู่ว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ติสสะ องค์เดียว กันนั่นเอง ภพชาตินั้น พระเถระได้บังเกิดเป็นนายพราน ต้องลำบากยากแค้นตั้งแต่เกิด อาศัยอยู่ในป่า ไม่มีโอกาสได้พบปะผู้คนเท่าใดนัก วันๆ ได้แต่สร้างบาปอกุศล ฆ่าสัตว์ทุกวัน ไม่เคยขาดเลยแม้แต่วันเดียว
ใกล้รุ่งวันหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก เห็นนายพรานเข้ามาในข่ายพระญาณ ทรงรู้ว่า พรานผู้นี้ จักสิ้นชีวิตภายในวันนี้ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปอนุเคราะห์
ขณะนั้นเอง พรานกำลังนั่งพักผ่อนหลบฝนอยู่เพียงลำพัง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา ท่านประนมอัญชลีด้วยความเลื่อมใส อาราธนาให้พระพุทธองค์เสด็จมาประทับบนเครื่องลาด เพื่อหลบฝน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี รุ่งเรืองด้วยพระลักษณะ ๓๒ ประการ และทรงงดงามด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ
พรานเห็นดังนี้แล้ว เกิดมหาปีติ กระทำการนอบน้อม กราบถวายบังคมพระพุทธองค์ในขณะที่ตนกำลังยืนตากฝน ทันใดนั้น กรรมเก่าตามมาทัน ฟ้าได้ผ่าลงมาที่ตัวนายพรานนี้อย่างเต็มที่ ทำให้ถึงกับล้มลงทันที แต่มหาปีติที่ได้พบพระบรมศาสดายังไม่สิ้น ทำให้ยังมีสติอยู่ และก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง นายพรานระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ กระทำอัญชลีอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็หมดลมตรงนั้นเอง
เมื่อละจากโลกนี้ไป บุญส่งผลให้ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ ด้วยอานุภาพที่มีใจผ่องใสก่อนละโลก และตั้งแต่นั้นมาในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ท่านไม่ต้องไปอบายภูมิเลย ไม่รู้จักทุคติ ในกัปที่ ๕๔ แต่กัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีพระนามว่า มิคเกตุ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ ครั้นมาถึงสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ สุดท้ายก็ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา ไม่นานนัก ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วย คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖


เราจะเห็นว่า ใจที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย สามารถปิดประตูอบายภูมิ ใครก็ตามที่มีใจผ่องใส ฉลาดในการจับแง่คิดที่เป็นบุญเป็นกุศล วางใจไว้กับทักขิไณยบุคคล คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่ได้คิดบั่นทอนโอกาสที่ดีงามของตน แต่รู้จักไขว่คว้าเอาบุญในทุกสถานการณ์ ดังเช่นพระเถรเจ้าทั้งสองรูป ที่นำมาเล่าเป็นตัวอย่างให้พวกเราได้ศึกษากัน ดังนั้น หากเราทำใจให้ผ่องใสได้ในทุกๆ สถานการณ์ไปจนตลอดชีวิตของเรา เท่ากับว่าเราได้สมบัติใหญ่ยิ่งกว่าสมบัติทั้งหลาย ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตรสมบัติติดตัวไป จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม
*มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๒๗๙ และหน้า ๒๙๒

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  MO1_37__.jpg   165.56K   16 ดาวน์โหลด


#2 **[email protected]**

**[email protected]**
  • Guests

โพสต์เมื่อ 22 February 2006 - 04:13 PM

สาธุ... สาธุ... สาธุ...

#3 **[email protected]**

**[email protected]**
  • Guests

โพสต์เมื่อ 02 March 2006 - 12:33 PM

ดีใจที่พบพุทธศาสนา และขออนุโมทนาทุกท่านด้วยค่ะ