ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ภูตคืออะไร


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 15 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:04 AM

ภูตคืออะไร ต่างจากสัมภเวสีอย่างไรอยู่ในปกครองของใครครับ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#2 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 07:52 AM

QUOTE
ภูตคืออะไร ต่างจากสัมภเวสีอย่างไรอยู่ในปกครองของใครครับ

ถ้าจำไม่ผิด ภูต ก็คือ กายละเอียดประเภทหนึ่งซี่งสามารถแสดงฤทธิ์ได้มากกว่ากายละเอียดชนิดอื่น อยู่ในสายคนธรรพ์ วิทยาธรนะครับ
ลองรอผู้รู้ท่านอื่นมายืนยันอีกทีนะครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#3 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 08:28 AM

ภูต ผี ปิศาจ
จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#4 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 09:16 AM

เรามาฟังฝันในฝันกัน หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะุ เอามาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากัน ฟังพอเพลินๆ ถ้ามีคติบ้างก็เอาติดขาติดแข้งเอาไว้ ไม่ต้องใส่บ่าแบกหามให้มันหนัีกนะจ๊ะ

วันนี้เรามาศึกษาเรื่องผี ผี กัน เพราะผี ก็คืออดีตมนุษย์ มีภพภูมิอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก แต่เป็นภพซ้อนภพ เรามักจะได้ยิน คำว่า "ภูตผีปีศาจ" กันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ จนทำให้เข้าใจว่าเป็นคำๆ เดียวกัน แต่จริงๆ แล้ว มันคนละอย่างกัน คือต้นเดียวกัน แต่ว่าคนละกิ่งคนละแขนง ภูตอย่างหนึ่ง ผีอย่างหนึ่ง ปีศาจอย่างหนึ่ง มีหน้าตา พฤติกรรม และความสามารถแตกต่างกัน

นี่แสดงว่าบรรพบุรุษของเราท่านไม่ใช่งมงาย แต่ท่านมีดวงปัญญาที่สว่างไสวมาก แต่คนในยุคนี้ไม่รู้ความหมายของคำที่ท่าน พูดทิ้งเอาไว้ บางคนไปเหมาเอาเองว่า ภูต ผี ปีศาจ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ ไม่มีจริง เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นบ้าง หรือปลอมปนกันขึ้นมาบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มีจริง และได้มีกล่าวไว้มากมายในพระไตรปิฎก จริงๆ แล้ว เมื่อเรายังไม่ได้พิสูจน์ หรือพิสูจน์ไม่ได้เพราะทำไม่จริงจังหรือไม่ถูกหลักวิชชา ไม่ควรไปสรุปอย่างนั้น เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ แต่ต้องพิสูจน์แบบพุทธวิธี และทุกคน ในโลกสามารถพิสูจน์ได้ ยกเว้นบุคคล ๒ ประเภท คือ คนตาย และคนบ้า ปัญญาอ่อน เพราะเขาสูญเสียระบบประสาทการเรียนรู้ แต่ถ้าคนดีๆ สามารถพิสูจน์ได้ทุกคน ไม่จำกัดกาลเวลา แค่ทำให้ถูกหลักวิชชาอย่างจริงจังก็ทำได้ทั้งนั้น

ผีอันที่จริงก็คือ อดีตมนุษย์นั่นเอง คำว่า "ผี" มีความหมายกว้างมาก เพราะรวมถึงกายละเอียดในระดับพื้นมนุษย์ หลายๆ อย่าง เช่น สัมภเวสี ภุมมเทวา ยักษ์ วิทยาธร เป็นต้น เราควรมาศึกษาทำความรู้จักกับเพื่อนอดีตมนุษย์บ้าง เราจะได้รู้ว่า ความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างไร ทำไมเขาต้องไปอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว

กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง วิบากกรรมที่ทำให้เป็นภูต ตอนเป็นมนุษย์หากินทางมิชอบ คือ หลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ เช่น นำ ของปลอมมาหลอกขายเป็นของจริง หรือของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ตายแล้วก็จะไปเป็นเปรตก่อน มีความหิวโหยมาก ชอบกินมูตรคูถ ของบูดของเน่า เพราะวิบากกรรมมีพฤติกรรมสกปรก โลภอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นในทางมิชอบ

พ้นสภาพจากเปรต หากกรรมยังไม่หมดก็จะมาเกิดเป็นภูต จะกินได้เฉพาะของสกปรก ของคาว ของเน่าเหม็น โดยจะเข้ามาสิงคนที่มีวิบากกรรมเหมือนที่ตัวเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ คือไม่ใช่จะเข้าสิงใครก็ได้ จะเข้าสิงได้เฉพาะบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ คือมีวิบากกรรมอย่างเดียวกัน มันถึงจะดูดไป หากันได้

ภูตมีลักษณะรูปร่างคล้ายๆ ผี แต่มีฤทธิ์มากกว่า คือสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้ แต่ผีแปลงกายไม่ได้ ภูตบางตนแปลงได้มาก บางตนแปลงได้น้อย บางภูตแปลงได้ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง บางภูตแปลงได้แค่เป็นหมาดำตัวใหญ่ บางภูตแปลงเป็นงูได้ เป็นต้น

ภูตจะมีชีวิตสิงมนุษย์อยู่เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ต่างๆ ยิ่งอยู่นานไปก็จะยึดทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้น เหมือนกาฝากที่ขยายขึ้นคลุมต้นไม้ พวกนี้จะชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง แต่ไม่มีหัวและไส้ตามที่เข้าใจ จะถอดจิตของเจ้าของร่างออกขณะเจ้าของร่างนอนหลับ เมื่อถอดไปแล้วเจ้าของร่างก็ไปไหนไม่ได้ จะเห็นเป็นดวงไฟสว่างเป็นสีๆ ส่วนใหญ่ ก็จะมีสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีส้ม ลอยขึ้นๆ ลงๆ เพื่อหาอาหาร

ดวงนั้นก็คือ ดวงจิตของมนุษย์ที่มีวิบากกรรม แล้วถูกบังคับให้ออกมา โดยภูตจะหุ้มดวงจิตนั้นไว้ ซึ่งมนุษย์จะเห็นแค่เพียงดวงลอยไปเท่านั้น แต่มองไม่เห็นตัวภูต

กระสือชอบกินของสกปรก ของคาว ของเหม็นเน่า เวลากินก็ต้องแปลงร่างเป็นภูตก่อน มีรูปร่างคล้ายๆ คน ผอมๆ ดำๆ น่าเกลียด ไม่นุ่งผ้า แต่คนจะมองเห็นแค่ดวง แต่ตัวก็จะแปลงพรึบขึ้นมาเลย มันจะกึ่งหยาบ กึ่งละเอียด แล้วก็กินของเน่าสกปรกด้วยความเอร็ดอร่อย เพราะวิบากกรรมบังคับ กินเสร็จแล้ว จะมาเช็ดปากกับเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้ง ไว้ค้างคืน แล้วทิ้งร่องรอยสกปรกไว้ มีความเชื่อ ว่า ถ้าเอาผ้าที่ผีกระสือเช็ดปากไปฟาดที่บันไดจะทำให้คนที่เป็นกระสือเกิดปากบวมบ้าง หรือเอาผ้าไปต้มให้ปวดแสบปวดร้อนบ้าง
นี่ก็เป็นเรื่องราวที่เสริมแต่งกันไป

ผีกระสือมีทั้งหญิงและชาย ชื่อนั้นก็แล้วแต่มนุษย์จะสมมุติเรียก เช่น ผู้หญิงก็เรียกว่าผีกระสือ ผู้ชายก็สมมติเรียกว่า ผีกระหัง แต่ผีกระหังไม่มีกระด้งเป็นปีกหรือมีหางเป็นสากตำข้าว อันนี้มนุษย์สมมติกันขึ้นมา

จะมีการสืบทอดจากร่างหนึ่งไปอีก ร่างหนึ่ง เมื่อวิบากกรรมนั้นยังไม่หมด และมีหลากหลายวิธี โดยผู้ที่จะมารับสืบทอดต้องมีกรรมชนิดเดียวกัน ถ้าไม่มีผู้มีกรรมแบบเดียวกัน ภูตก็ต้องตายไปพร้อมกับร่างที่สิงนั้น คล้ายต้นกาฝากตายพร้อมกับต้นไม้ที่ตัวเกาะอยู่ แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามวิบากกรรมต่อ เหมือนตายจากเปรตมาเป็นภูต ตายจากภูตก็ไปเป็นอะไรต่ออะไรตามวิบากกรรมที่ทำมา

ผีปอบ คือ ผีสายยักษ์ อยู่ในสายการปกครองของท้าวเวสสุวัณ ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ก็เพื่ออาศัยร่างมนุษย์กินอาหาร โดยเฉพาะอาหารดิบๆ หรือสัตว์เป็นๆ เช่น ไปหักคอเป็ดไก่ในเล้ากิน หรืออาศัยร่างเหมือนเป็นร่างทรง เพื่อยกระดับตัวเองว่ามีผู้นับถือมากๆ หรือเพื่อทำร้ายให้เจ็บป่วยหรือตาย เพื่อที่ว่าตายแล้วจะได้ไปเป็นบริวารหรือ สานุศิษย์ หรือตายแทน เพื่อตนจะได้ไปเกิดใหม่

ไม่ใช่ว่าเข้าสิงได้ทุกคน จะเข้าสิงร่างมนุษย์ที่มีวิบากกรรมทางนี้ คือ อดีตเคยนับถือผีเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกยามมีทุกข์ จนเป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา มีจิตผูกพันกับผี และกรรมทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี บางทีก็ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น เป็ด ไก่ บางทีก็ฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย เป็นต้น จึงทำให้พวกนี้มาเข้าร่างได้

การเข้าสิงเขาจะกดทับด้วยมนตร์ทำให้ขาดสติ หรือหมดสติไป ขึ้นอยู่กับว่าทับครึ่งตัวหรือว่าเต็มตัว ถ้าครึ่งตัวก็จะขาดสติ แต่พอรู้อยู่บ้าง แต่ว่าบังคับตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเต็มตัวนี่จะหมดสติไม่รู้สึกตัว

ทำไมคนเราจึงเกิดมาต่างกัน ทำไม บางคนจึงต้องไปเกิดในหมู่บ้านที่มีคนนับถือผี เลี้ยงผี ที่ไปเกิดตรงนั้นเพราะมีวิบากกรรมหลายอย่าง เช่น ทำทานมาน้อย มีความตระหนี่ อวดดื้อถือดีจัดจนเป็นนิสัย เลยทำให้ไปเกิดใน หมู่บ้านชาวป่าที่นับถือผี มีการฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี ตามความเชื่อถือของบรรพบุรุษ

ที่จริงการฆ่าสัตว์ใหญ่สัตว์เล็กเซ่นไหว้ผีนั้นเป็นเพราะความไม่รู้ว่าจะไปพึ่งอะไรในยาม ที่มีทุกข์ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่รู้สาเหตุมาจาก อะไร ก็เลยคิดว่าผีทำ จึงทำการเซ่นไหว้ผี ซึ่งบางทีก็หาย บางทีก็ไม่หาย ที่หายเพราะว่าโรคมีน้อยกับหมดกรรม จึงคิดว่าผีช่วย จิตก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องผีๆ ตายแล้วก็กลายไปเป็นผีบ้าง ปีศาจบ้าง ก็หมุนเวียนวนกันอยู่อย่างนี้

ซึ่งแต่เดิมก็ไม่ได้รู้ว่ามีผีหรือไม่มี เมื่อมีความทุกข์ก็คิดว่าผีแกล้ง จะต้องเซ่นไหว้ แล้วผีจะช่วย นานวันเข้าเมื่อนับถือผีแล้ว ใจก็ ผูกพันอยู่กับผี ตายแล้วก็ไปเป็นผี ต่อมาจึงกลายเป็นเลี้ยงผีจริง แต่เดิมผียังไม่มี แต่คิดว่ามี พอคิดว่ามีใจก็ไปผูกพันกับความไม่รู้ตรงนี้ เอาของมาเซ่นไหว้ แล้วยิ่งบังเอิญเซ่นแล้ว หายป่วย ก็เซ่นไหว้ด้วยการฆ่าสัตว์ทำปาณาติบาตเข้าไปอีก ก็ยิ่งเห็นผิดเข้าไปอีก พอตายไปแล้ววิบากกรรมทำให้ไปเกิดเป็น ผีอยู่แถวนั้น

เมื่อความเชื่อสืบทอดมาถึงชนรุ่นหลัง คราวนี้ก็ได้นับถือผีจริงๆ แต่ผีก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตัวเองก็ลำบาก อดๆ อยากๆ ต่อมาผู้ที่ตายก็กลายเป็นผี มีผีบางตนไปพบกับวิทยาธร ก็ขอเรียนมนตร์เรียนไสยเวท ซึ่งส่วนมากมักจะเรียนเพื่อมุ่งทำลายล้างกันเป็นส่วนใหญ่ ก็จะมีวิชาพวกนี้ มากระซิบข้างหู ให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เลยนับถือสืบๆ กันต่อๆ กันเรื่อยมา

เพราะฉะนั้น คนที่ถูกผีเข้า ผีสิง หรือเกิดในครอบครัวนับถือผี จะพ้นจากกรรมพวกนี้ได้ ต้องเลิกนับถือผี แล้วให้ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ทำบุญทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ให้สม่ำเสมอจนตลอดชีวิต ก็จะพ้นจากกรรมเหล่านี้ได้

เพราะใจผูกพันกับอะไรก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น ผูกพันกับคนก็ไปอยู่กันคน ผูกพันกับสิ่งของ ผูกพันกับสัตว์ ผูกพันกับวิชา หรือผูกพันกับสิ่งที่ตัวนับถืออย่างไร มันก็จะไปอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้ผูกพันกับสิ่งใดที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร แต่ให้มาผูกพันกับ พระรัตนตรัย เพราะพระรัตนตรัยเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง

Ref: http://www.kalyanami...n/feb47/c53.htm




#5 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 09:33 AM

พี่ๆ กัลฯ สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "ภูติ ผี ปีศาจ" ได้จาก...
โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาประจำเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2546

#6 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 12:46 PM

สรุปได้สั้นๆ ตามคุณครูนะครับว่า ทั้งภูติ ผี ปีศาจ นั้นบาปยังไม่เพียงพอลงนรก และบุญไม่เพียงพอขึ้นสวรรค์ ดังนั้น
1. ถ้าตายด้วยจิตที่มีโลภะนำหน้า จะไปเป็นภูติ
2. ถ้าตายด้วยจิตที่มีโทสะนำหน้า จะไปเป็นปีศาจ
3. ถ้าตายด้วยจิตที่มีโมหะนำหน้า จะไปเป็นผี น่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#7 ชาร์ป

ชาร์ป
  • Members
  • 985 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ปทุมธานี

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 12:49 PM

เคยฟังในฝันในฝันว่ามีการรวมหัวกันแกล้งคนด้วย... ภูตอ่ะ (กลัวพวกประเภทนี้แหละ)

#8 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 01:55 PM

เอ๋ แล้วพวกเวตาลล่ะครับ จัดอยู่ในจำพวกภูตหรืออสูรกายอ่ะครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#9 panu

panu
  • Members
  • 530 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 04:09 PM

QUOTE
เวตาลล่ะครับ


เดาว่าเป็นปีศาจ

#10 นับดาว

นับดาว
  • Members
  • 422 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 05:25 PM

สาธุค่ะคุณ Niwat และคุณหัดฝัน

ช่างให้รายละเอียดดีสมกับเป็นนักเรียนแถวหน้าจริงๆ

ว่าจะเข้ามาช่วยตอบซะหน่อย เลยต้องถอยกลายมาเป็นผู้อ่าน

ดีเหมือนกันค่ะ..ความรู้จะได้แน่นๆ
ถ้าใจใส

เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน

#11 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 14 September 2006 - 09:20 PM

ง่ะ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#12 เฉย เฉย

เฉย เฉย
  • Members
  • 618 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:เรื่องกฎแห่งกรรม การกระทำ สมาธิ

โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 09:46 AM

ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว
แม้มืดตื้อ..มืดมิด..ก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม

#13 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 11:22 AM

ผีบางตัวอาจเป็นแค่นิยาย ไม่ใช่ผีจริงนะครับ เช่น เวตาล แดร็กคูล่า มอมมี่ ผีจีนที่กระโดดไปมา (ตลกๆ) หรือ อื่นๆ อีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ผีจริงผีนิยาย ก็ต้องฝันในฝันล่ะครับ แต่ก่อนจะฝันได้ ต้อง หัดฝัน เสียก่อน
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#14 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 02:56 PM

พวกภูตผีย้ายครอบครัวเช่นเดียวกับมนุษย์ ***



คัดมาจากหนังสือ ปฎิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน

(สายท่านพระอาจารย์มั่น ถูริทัตตเถระ)

โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน

วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี





ขอย้อนกลับมาดำเนินเรื่องอาจารย์องค์ที่ยังค้างอยู่ต่อไป คือ ท่านพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ การบำเพ็ญธรรมรู้สึกสะดวกมาก รู้สึกเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกมากมายกว้างขวางผิดกับที่ทั้งหลายอยู่มาก เห็นเป็นโอกาสดีท่านจึงพักบำเพ็ญอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือน การพิจารณาแจ่มแจ้งดีทั้งกลางวันกลางคืน อากาศก็ดี ถ้ำก็อยู่เปิดเผย รับลมได้ดีตลอดเวลา จึงไม่มีปัญหากับดินฟ้าอากาศ เย็นสบายสม่ำเสมอ



แต่ที่นั่นรู้สึกมีอะไรพิเศษอยู่บ้าง ทั้งภายในภายนอกเกี่ยวกับด้านสมาธิภาวนา เวลาพิจารณาภายในใจก็สงบได้อย่างละเอียดมาก เวลาออกเดินทางปัญญาก็คล่องแคล่วไม่อืดอาดล่าช้า อันเป็นลักษณะเกียจคร้านเข้าแอบแฝง ท่านว่าที่นั่นเทวดามักมาเยี่ยมเสมอ หลายชั้นหลายภูมิ ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ไม่ค่อยขาด เรื่องเหล่านี้ท่านถือเป็นธรรมดา



ที่แปลกอยู่บ้างก็คือ พวกผีพากันย้ายบ้านเรือนครอบครัวจากแถบบ้าน…. บ้าน…..ฯลฯ ใกล้ภูเขา….. จังหวัด….. ทางภาคอีสาน ไปอยู่ภูเขาทางจังหวัดเชียงใหม่กันมากมาย มีทั้งขี่ม้า ขี่วัว อุ้มลูก หาบกระบุงตะกร้าขนครอบครัว ผ่านไปหน้าบริเวณที่ท่านพักอยู่ พอไปถึงหน้าบริเวณนั้น หัวหน้าผีพาบริษัทบริวารเข้าไปกราบไหว้ท่าน



ท่านถาม : การไปมาของผีเหล่านั้น ได้รับคำตอบจากเขาว่า กำลังพากันย้ายครอบครัวลูกหลานมาจากบ้านนั้นๆ ดังกล่าวแล้ว มาอยู่ภูเขา.…. จังหวัดเชียงใหม่



โดยพวกผีบอกว่า : ทางโน้นอดอยากกันดารมาก ผู้คนไม่มีศีลธรรม มีแต่ฉกลักปล้นขโมยและฆ่าฟันรันแทงกันไม่เว้นแต่ละเวลา ผีก็มีนิสัยคล้ายกันกับมนุษย์ คือ กลายเป็นผีไม่มีศีลธรรมไปตามมนุษย์ เบียดเบียนกันทำลายกันเหมือนมนุษย์ ทำให้เกิดความเดือดร้อนระส่ำระสายอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนแต่ก่อน ทราบจากญาติๆ เขามาเยี่ยมบอกว่าทางเชียงใหม่นี้มีความผาสุข มนุษย์ก็มีศีลธรรมดีกว่าที่อื่นๆ สัตว์จำพวกมนุษย์ไม่รู้จักดังพวกผมนี้ที่เชียงใหม่ก็ดี และมีศีลธรรมดี มีความร่มเย็นเป็นสุขดีกว่าที่อื่นๆ จึงได้พากันย้ายครอบครัวมาตามคำญาติเล่าให้ฟัง (คำว่าญาติกรุณาทราบว่าเป็นผีเช่นกัน)



ท่านถามเขาว่า : คำว่าอดอยากกันดารนั้นอดอยากกันดารอย่างไร เพราะไม่ได้อาศัยข้าวปลาอาหาร บ้านเรือน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มใช้สอยเหมือนมนุษย์ จะต้องปลูกสร้างขวนขวายให้ลำบาก และมีการเบียดเบียนแย่งชิงกันกินเหมือนมนุษย์



เขาตอบว่า : ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่มีวิบากกรรมติดตัวอยู่แล้ว จะไปเกิด จะไปอยู่ที่ไหนก็มีวิบากกรรมเป็นเครื่องสนับสนุนและบีบคั้นราวีเหมือนกันหมด จะเกิดเป็นรูปร่างวัตถุหรือร่างใดไม่สำคัญหรอกท่าน มันสำคัญอยู่ที่กรรมดีชั่วมีอยู่กับตัวเท่านั้น ไปเกิดไปอยู่ในกำเนิดใดที่ใดก็คือผู้นั้นอยู่นั่นเอง สำหรับความสุขทุกข์ที่จำต้องอาศัย ฉะนั้นคำว่า อดอยากและสมบูรณ์จึงมีได้ในสัตว์ที่มีกรรมดีชั่วหนักเบาไปตามภูมิของตน




















--------------------------------------------------------------------------------




ท่านถาม : ที่ว่าผีมีศีลธรรมและไม่มีศีลธรรมนั้นเป็นอย่างไร ผีก็รู้จักศีลธรรมเช่นมนุษย์ทั้งหลายเหมือนกันหรือ



เขาตอบ : คำว่าศีลธรรมนั้นมีอยู่ทั่วไป ไม่เพียงแต่มนุษย์อย่างเดียว ความดีและความสุขในหลักธรรมชาตินั้น สัตว์รู้กันทั้งโลก แต่ชื่อนั้นอาจรู้หรือไม่รู้ก็ได้ เพราะไม่สำคัญเท่าธรรมชาติที่สัตว์ทั้งหลายชอบและจำต้องอาศัยโดยทั่วกัน ความดีนั่นแลคือศีลธรรม สุขที่เกิดจากความดีนั่นแลคือศีลธรรมอีกเหมือนกัน แต่เป็นฝ่ายเหตุกับฝ่ายผล ต่างกันเพียงเท่านั้น



ที่ว่าผีมีศีลธรรมคือผีผู้ดี มีนิสัยดี กิริยาที่แสดงออกต่อเพื่อนผีด้วยกันดี ที่ว่าผีไม่มีศีลธรรมก็คือผีผู้ไม่ดี มีนิสัยไม่ดี กิริยาที่แสดงออกทุกอาการต่อเพื่อนผีด้วยกันไม่ดี เช่นเดียวกับมนุษย์ผู้ดีและมนุษย์ผู้ไม่ดีแสดงออกต่างกันนั่นแลฉะนั้น ศีลธรรมมีอยู่ที่ไหนที่นั้นร่มเย็น ขาดศีลธรรมที่ไหนที่นั่นจึงร้อน



ท่านถาม : คำว่าญาตินั้นหมายความว่าอย่างไร และเคยเป็นญาติกันมาแต่เมื่อไร



เขาตอบ : ญาติผีกับญาติคนก็เหมือนกัน คือ เวลาตายไปกลับได้มาเกิดเป็นผีด้วยกัน คือ แต่เมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างสนิทติดจมเช่นเดียวกับมนุษย์เป็นกัน เวลาตายไปกลับได้มาเกิดเป็นผีด้วยกัน และต่างคนยังจำกันได้อย่างถนัดชัดเจน จึงเป็นญาติกันโดยสายโลหิตมาแต่มนุษย์จนปัจจุบันอย่างแยกไม่ออก นอกจากกรรมจะแยกให้ไปเกิดในต่างกันจึงสุดวิสัยที่จะจำ



ท่านถาม : เวลามาอยู่เชียงใหม่แล้วจะไม่คิดถึงบ้านเก่าที่เคยอยู่มา เช่นมนุษย์ย้ายบ้านใหม่แล้วยังคิดถึงบ้านเก่าละหรือ



เขาตอบ : ไม่มีอะไรให้คิดถึง เพราะผีไม่มีไร่นาสาโทบ้านช่องแบบมนุษย์ มีแต่สิ่งละเอียดติดตัวเท่านั้น จึงไม่คิดถึง



ท่านถาม : กระบุงตะกร้าที่พากันหาบพะรุงพะรังมานี้ เอามาทำไมกัน ม้า วัวเหล่านั้นเอามาทำไม ทิ้งไว้โน้นไม่ได้หรือ



เขาตอบ : ก็เครื่องใช้ของผี สมบัติของผี ผีต้องนำติดตัวไปด้วย หรือจะว่าวิบากกรรมของผี วิบากกรรมของคน สมบัติของผี สมบัติของคนก็ไม่ผิด เมื่อวิบากกรรมมีอยู่กับตัว



ท่านถาม : การอยู่ทางโน้นก็ดี การมาอยู่เชียงใหม่ก็ดี ต้องมีบ้านเรือนอยู่และมีหมู่มีเพื่อนอยู่ด้วย หรือต่างคนต่างอยู่



เขาตอบ : ต้องมีบ้านเรือนและมีหมู่เพื่อนลูกหลาน เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์อื่นๆ นั่นแลท่าน เพราะพวกนี้ก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย เป็นแต่มีรูปกายไม่ปรากฏในสายตามนุษย์และสัตว์บางจำพวกเท่านั้น แต่เปิดเผยในจำพวกกายทิพย์ด้วยกัน ความสุขความทุกข์มีเหมือนกัน เพราะใจผีกับใจสัตว์ทั้งหลายมีกรรมและวิบากเหมือนกัน จะเกิดในภพกำเนิดใดอยู่ที่ใด จึงมีวิบากกรรมเป็นเครื่องเสวยเหมือนกัน



ท่านว่า : เวลามองพวกผีที่หอบขนครอบครัว ผัวเมียลูกหลานผ่านมาเป็นจำนวนมากนั้น ไม่ผิดอะไรกับมนุษย์เราย้ายครอบครัวเหย้าเรือน ลักษณะการไปที่เต็มไปด้วยภาระแบกหามต่างๆ ย่อมแสดงให้เห็นความทุกข์ความกังวลหม่นหมอง เช่นเดียวกับมนุษย์ย้ายครอบครัว และสัตว์บางจำพวก เช่น มดขนไข่จากที่นี่ไปอยู่ที่นั้นนั่นแล ทำให้คิดในธรรมบทว่า…..



กรรมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นต่างๆ กันและเสวยผลต่างๆ กันตามวิบากของตนที่ทำไว้ ใครเกิดเป็นอะไร อยู่ที่ใด ย่อมตกอยู่ในอำนาจแห่งกรรมดี ชั่ว สุข ทุกข์ด้วยกัน ไม่มีพิเศษจากกรรมต่างกันอะไรเลย ผู้ทำดี ผลที่สนองตอบก็เป็นสุข ผู้ทำชั่ว ผลนั่นก็เป็นทุกข์



คำว่าสุขหรือทุกข์มีได้ในสัตว์ทั่วไปไม่นิยม แล้วก็คือเรือนร่างแห่งความสุข ทุกข์เราดีๆ นี่เอง จึงไม่ควรตื่นเต้นในการเกิดซึ่งเท่ากับการตายในขณะเดียวกัน ผู้ไม่อยากตาย แต่ยังปรารถณาอยากเกิดเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ก็เท่ากับปรารถณาความตายอยู่นั่นเอง



อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#15 iMac24

iMac24
  • Members
  • 437 โพสต์
  • Location:Dmoc
  • Interests:เกิดมาสร้างบารมี

โพสต์เมื่อ 15 September 2006 - 11:40 PM

ตอบได้ดีครับ
จงสู้และอย่าท้อ ลูกเอย
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง

สุนทรพ่อ

มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ

#16 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 September 2006 - 12:27 AM

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์


คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้!! อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ...

สดใสดูอ่อนกว่าวัย Stay looking young
เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย
1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู
2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก
3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว
4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอล นัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ
5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค
6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้
7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือด ผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย
8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว Stay feeling young
10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัส จากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว
11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน
12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ
13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง
14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า
15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย
16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำ วิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย
17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้
18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา
แข็งแรงได้ใจ Stay healthy!
จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ
19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี
20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่า สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)
21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม
22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ
23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือน ถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา
24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว
25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง รับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง
26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ
27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี
28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะ เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง
29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว

พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์