ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

วิบากกรรมของผู้ห้ามคนทำบุญ ตักบาตร


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 23 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 05:22 PM

ผู้ขัดขวางการทำบุญของคนอื่น จะมีวิบากกรรมอย่างไร


[๔๙] เทวดาทูลถามว่า
คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น
บริภาษผู้อื่น ทำอันตรายแก่คนเหล่าอื่นผู้ให้(ทาน)อยู่
วิบากของคนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และภพหน้าจะเป็นเช่นไร
ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าจะรู้ความนั้นได้อย่างไร

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น
บริภาษผู้อื่น ทำอันตรายแก่คนเหล่าอื่นผู้ให้(ทาน)อยู่
คนเหล่านั้นย่อมบังเกิดในนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก
ถ้าพวกเขามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เกิดในตระกูลคนยากจน
ซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความยินดี และความสนุกสนานได้ยาก
คนพาลเหล่านั้น ต้องการสิ่งใดจากผู้อื่น พวกเขาย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้น
นั่นเป็นวิบากในภพนี้ และภพหน้าก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย

ที่มา-พระไตรปิฎก มจร.(แปล) 15/49/62-64.



#2 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 06:03 PM

น่าสงสารคนที่ขวางทางบุญของคนอื่นนะครับ

ความไม่รู้นี่ ทำอันตรายสรรพสัตว์ได้มากเห็นปานนี้


#3 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 07:21 PM

อัตตภาพมนุษย์...มีโอกาสสร้างบุญบารมีแล้ว...กลับปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป...แถมยังกีดขวางทางมาแห่งบุญของผู้อื่น...เสียดายที่...เกิดมาตายฟรี...เพราะความเขลาความไม่รู้
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#4 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 08:11 PM

มนุษย์เกิดมากับความไม่รู้ และจำไม่ได้ น่าสงสารเขาเหล่านั้นมาก ก็ขอให้บุญเก่าเขามาตักเตือนให้กลับใจในเร็ววันจะได้ไม่ไปตกในอบายภูมิ และไปเผชิญความจนข้นแค้นอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน ขอแผ่เมตตาจิตมา ณ ที่นี้ด้วย สาธุ

#5 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 08:18 PM

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สัพพัญญู ทรงตรัสไว้ว่า

น เว กทริยา เทวโลก วชนฺติ
พาลา หเว นปฺปสสนฺติ ทาน
ธีโร จ ทาน อนุโมทมาโน
เตเนว โส โ หติ สุขี ปรตฺถ ฯ

พวกคนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้เลย
พวกคนพาลไม่สรรเสริญการให้ทาน
ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาการให้ทาน

เพราะเหตุนั้นแล เขาจึงได้รับสุขในปรโลก

ที่มา-พระไตรปิฎก มจร. (แปล) 25/167-178/85-88.


#6 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 August 2008 - 08:49 PM

กราบอนุโมทนาบุญกับสาระธรรมดีๆจ้า.. สาธุ สาธุ สาธุ..
ขอเสริมนิดนึงนะ.. ความจริงไม่อยากเล่าเท่าไรเพราะจะกลายเป็นกดดันตัวเอง
แต่นิดนึงละกัน.. เพื่อให้สิ่งดีๆเกิดขึ้น เพื่อให้พวกเราชาวพุทธช่วยกัน เพื่ออายุพระพุทธศาสนา

ส่วนผลบุญที่ได้รับทันตาเห็น(ที่เคยเจอมาจริงๆนะ.. อย่างอื่นไม่ขอกล่าวถึง)
สำหรับคนที่พยายาม Fight เพื่อให้คนทั้งหลายมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการตักบาตร
ด้วยความรักในพระพุทธศาสนา ห่วงใยอายุพระพุทธศาสนาและพุทธบุตร
จากหัวใจที่แท้จริง.. อย่างแรงกล้า.. คือ..
ใจจะเกาะเกี่ยวกับพระพุทธองค์แทบทุกลมหายใจ ทั้งหลับตาลืมตา นั่งนอนยืนเดิน..
นอกนั้นเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา.. (ลองคิดตามดูเด้อ ไม่อยากเล่ายาว)

ดังนั้น.. ช่วยกันสร้างเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการตักบาตร ว่ามันมีความสำคัญอย่างไร
ต่อการบำเพ็ญสมณะธรรมของพุทธบุตร และสำคัญอย่างไรกับอายุพระพุทธศาสนา..
จะดีมากๆกับพระพุทธศาสนา และตัวของท่านทั้งหลายเองอย่างทันตาเห็น.. สาธุ สาธุ สาธุ.. happy.gif
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#7 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 09:06 AM

เพื่อนกัลยาณมิตรเล่าให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้เขามีการระดมส่ง FW mail
ไปห้ามไม่คนไปร่วมงานตักบาตรด้วยนะครับ

เห็นแล้วน่าใจหาย เวรกรรมจริงๆ คนพวกนี้นี่

ครูไม่ใหญ่ท่านว่า อดีตเป็นพวกเดียรถีย์ (ห้ามคนใส่บาตรพระ)

ตามล้างกันไม่เลิกจริงๆ ไม่ว่ายุคสมัยไหนๆ กาลเวลาจะล่วงผ่านมานานเท่าไรแล้ว

เอ้อ สังสารวัฏ โดยพญามาร เขาเล่นตลกกับชีวิตคนเราเห็นปานนี้นะ


#8 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 09:07 AM

ขออนุโมทนาครับกับคนตักบาตรทุกวัดทุกคนสาธุ
ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#9 นักรบเผ่าพันธุ์ตะวัน

นักรบเผ่าพันธุ์ตะวัน
  • Members
  • 380 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 10:16 AM

สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
เพราะเป้าหมายของพวกเราคือ "ที่สุดแห่งธรรม"

#10 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 10:30 AM

ห้ามคนอื่นใส่บาตร ถึงเวลาตนเองบวชก็จะไม่มีใครใส่บาตรกระมังครับ

#11 Ray

Ray
  • Members
  • 168 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 10:47 AM

ใครเนอะ แปลกพิลึก ไม่ใช่มนุษย์

#12 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 11:37 AM

ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่ยาวนาน ว่ากันเป็นแสนๆ เป็นล้านๆ ปี
เทียบกับเวลาชีวิตบนโลกของมนุษย์ที่ ไม่ถึงร้อยปี เกินกว่านั้นก็ไม่มาก
ก็ต้องตายจากกันไปตามเวรตามกรรม ตามบุญตามบาปที่ตัวเคยประกอบไว้ตอนมีชีวิตบนโลกนี้

ซึ่งบรรดากรรมทั้งหลายเหล่านี้ ที่ทำด้วยทางกายก็ดี ทางปากก็ดี ทางใจก็ดี ไม่ถึงร้อยปีในโลกนี้เอง
แต่กลับต้องไปเสวยผลวิบากกรรมกันชนิดที่ ถ้าไปสู่สุคติ ก็บันเทิงเริงรมย์กันลืมตายทีเดียว
ส่วนว่าถ้าไปทุคติ ก็แทบจะไม่ได้ผุดได้เกิดกันอีกเลย

ดังนั้น การที่คนเราไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตนี้
เป็นเรื่องอันตรายอย่างใหญ่หลวงของมวลมนุษยชาติทีเดียว

สมดังคำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีมาแล้วดังนี้ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย อวิชชา (ความไม่รู้) เป็นหัวหน้าแห่งความถึงพร้อมแห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย
อหิริกะ (ความไม่อายบาป) และอโนตตัปปะ (ความไม่กลัวบาป) เป็นไปตาม

ภิกษุทั้งหลาย ส่วนวิชชา (ความรู้) เป็นหัวหน้าแห่งความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริ (ความอายบาป) และโอตตัปปะ (ความกลัวบาป) เป็นไปตาม”

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว ในพระสูตรนั้น
จึงตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

ทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้และในโลกอื่น ทั้งหมดมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ
เกิดขึ้นด้วยความปรารถนาและความโลภ
อนึ่ง เพราะมีอวิชชาเป็นมูลเหตุ คนจึงมีความปรารถนาชั่ว ไม่มีหิริ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ
เขาประสพบาปอยู่เสมอ เพราะบาปนั้น เขาต้องไปเกิดในอบายแน่นอน
เพราะฉะนั้น ภิกษุเมื่อละฉันทะ โลภะ และอวิชชาได้ ทำวิชชาให้เกิดขึ้น จึงละทุคติทั้งปวงได้


แม้เนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้แล้ว ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้แล.


ที่มา-พระไตรปิฎก มจร.แปล 25/40/388.



#13 สาธุธรรม

สาธุธรรม
  • Members
  • 1124 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 01:24 PM

ขออนุญาต เอาไปโปรดและปราบ คนที่ยังไม่รู้ ให้หูตาสว่างขึ้นค่ะ

สาธู๊......


ความดีคนดีทำง่าย คนชั่วทำยาก
ความชั่วคนชั่วทำง่าย คนดีทำยาก
หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ

สุนทรพ่อ

#14 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 02:14 PM

พระผู้มีพระภาค เคยตรัสโต้กับมารในการตกลงพระทัยเรื่องการปลงพระชนมายุสังขารไว้ว่า

‘มารผู้มีบาบ เราจะยังไม่ปรินิพพาน
ตราบเท่าที่ ภิกษุ...ภิกษุณี...อุบาสก...อุบาสิกา ผู้สาวก สาวิกาของเรา
ยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับการแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต
ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรมไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ปฏิบัติตามธรรม
เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว แต่ยังบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายไม่ได้
ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรับวาทะที่เกิดขึ้นให้รียบร้อยโดยชอบธรรมไม่ได้

ที่มา-พระไตรปิฎก มจร.(แปล) 10/175/123.

ก็บัดนี้พระบรมศาสดาของเราก็ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
ทนายแก้ต่างชั้นเยี่ยมให้แก่พระศาสนาอย่างหลวงปู่ฯ ก็กลับไปสบทบกับทัพใหญ่ที่ดุสิตบุรีแล้ว
ความหวังของพระศาสดาและหน้าที่ที่หลวงปู่เคยทำนั้น ก็คงฝากไว้กับรุ่นลูกหลานอย่างเรานี่ล่ะครับ
ถ้าเราไม่สืบสานต่อมโนปณิธานนี้ พระพุทธศาสนาอันเป็นที่รักยิ่งของชาวเรา คงจะสูญหายไปจาก
แผ่นดินไทย แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองของเรา ภายในเวลาอันไม่สมควรเป็นแน่แท้


#15 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 05:48 PM

ชาวบ้านไม่ใส่บาตร ด้วยเหตุมารดลใจ ได้เกิดมีมาแล้วในครั้งพุทธกาล
อันเป็นเหตุให้ในวันนั้นพระพุทธเจ้าเราถึงต้องอดข้าวทีเดียว (ผู้ทำ บาปมิใช่น้อยนะนี่)
เหตุการณ์อันพิลึกพิลั่นนี้ จะเป็นอย่างไร ลองศึกษดูนะครับ



มารดลใจไม่ให้ชาวบ้านใส่บาตร


[๔๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บ้านพราหมณ์ใน ปัญจสาลคาม แคว้นมคธ ฯ

ก็สมัยนั้นแล ที่บ้านพราหมณ์ ในปัญจสาลคาม มีนักขัตฤกษ์แจกของแก่พวกเด็กๆ
ครั้นรุ่งเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จเข้าไปสู่บ้านพราหมณ์ในปัญจสาลคามเพื่อบิณฑบาต ฯ

ก็โดยสมัยนั้นแล พราหมณ์ผู้คฤหบดีชาวปัญจสาลคามถูกมารผู้มีบาปเข้าดลใจ
ด้วยประสงค์ว่า พระสมณโคดมอย่าได้บิณฑบาตเลย ฯ

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่บ้านพราหมณ์ในปัญจสาลคามเพื่อบิณฑบาต
ด้วยบาตรเปล่าอย่างใด ก็เสด็จกลับมาด้วยบาตรเปล่าอย่างนั้น ฯ

[๔๖๘] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า สมณะ ท่านได้บิณฑบาตบ้างไหม

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า แน่ะ มารผู้มีบาป ท่านได้กระทำให้เราไม่ได้บิณฑบาตมิใช่หรือ ฯ

มารผู้มีบาปกราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้มีพระภาคจงเสด็จเข้าไปสู่บ้านพราหมณ์ในปัญจสาลคาม
เพื่อบิณฑบาตครั้งที่สองอีกเถิด พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักกระทำให้พระผู้มีพระภาคได้บิณฑบาต ฯ

[๔๖๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

มารมาขัดขวางตถาคต ได้ประสพสิ่งมิใช่บุญแล้ว
ดูกรมารผู้มีบาป ท่านเข้าใจว่า "บาปย่อมไม่ให้ผลแก่เรา" ฉะนั้นหรือ
พวกเราไม่มีความกังวล ย่อมอยู่เป็นสุขสบายหนอ
พวกเราจักมีปีติเป็นภักษา ดุจอาภัสสรเทพ ฉะนั้น ฯ

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๓๖๘๙ - ๓๗๑๒. หน้าที่ ๑๖๑ - ๑๖๒.
http://84000.org/tip...amp;pagebreak=0

---------------------------------------------------

พระอรรถกถาจารย์ท่านได้อธิบายขยายความเพิ่มเติมไว้ว่า

ถามว่า พระศาสดาไม่ทรงทราบการดลใจของมารหรือ จึงเสด็จเข้าไป.
ตอบว่า ใช่ ไม่ทรงทราบ.
เพราะเหตุไร. เพราะไม่ทรงนึกไว้.

จริงอยู่ การนึกว่าเราจักได้หรือไม่ได้อาหารในที่โน้น ดังนี้ ไม่สมควรแก่พระพุทธทั้งหลาย.
ก็พระศาสดาเสด็จเข้าไปแล้ว ทรงเห็นความผิดแผกแห่งการปฏิบัติของเหล่าผู้คน
ทรงนึกว่า นี้อะไรกัน ก็ทรงทราบ ทรงพระดำริว่า การทำลายการดลใจของมาร เพื่ออามิสไม่สมควร
จึงไม่ทรงทำลายเสด็จออกไปเสีย
.

บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า มารดีใจเหมือนชนะศัตรู จึงแปลงเพศเป็นคนชาวบ้านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ไม่ได้อาหารแม้เพียงทัพพีเดียวในบ้านทั้งสิ้น กำลังเสด็จออกไปจากหมู่บ้าน.
คำว่า ตถาหํ กริสฺสามิ นี้เป็นคำที่มารพูดเท็จ.

ได้ยินว่า มารนั้นคิดอย่างนี้ว่า เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว
พระสมณโคดมเสด็จเข้าไปอีก ที่นั้น พวกเด็กชาวบ้านก็จักพูดเยาะเย้ยเป็นต้นว่า
พระสมณโคดมเที่ยวไปทั่วบ้าน ไม่ได้ภิกษาแม้แต่ทัพพีเดียว ออกจากหมู่บ้านแล้วยังเสด็จเข้าไปอีก ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า ถ้ามารนี้จักเบียดเบียนเราอย่างนี้ ศีรษะของเขาก็จักแตก ๗ เสี่ยงแน่ จึงไม่เสด็จเข้าไป ด้วยทรงเอ็นดูในมารนั้น


ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tip....php?b=15&i=467

#16 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 06:16 PM

อนุโมทนา เจ้าของกระทู้ ในธรรมะที่นำมาให้ศึกษาครับ สาธุ

ในช่วงนี้ อาจมีการวิพากษ์วิจารณ์ในโครงการตักบาตรพระฯ ตามกระดานสนทนาต่าง ๆ

ผมมองว่า หลาย ๆ ท่าน ก็เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ใจบุญสุนทาน กันดี
เีพียงแต่ท่านเหล่านั้น เลือกมองตามอัธยาศัยส่วนตนเท่านั้น

เราก็อย่าเพิ่งคิดว่า เพื่อนพุทธศาสนิกชนเหล่านั้น
รังเกียจการให้ทาน ขัดขวางการทำความดี ตายแล้วจะต้องมีทุคติในปรโลกเลยครับ

เขาแค่มีภาพในใจเกี่ยวกับวัดฯ ที่ตรงข้ามกับเรา
จึงเข้าใจอย่างนั้น จึง คิด พูด ทำอย่างนั้น
ก็แค่นั้นเองครับ

ที่เขาต่อว่าเรื่อง จัดงานใหญ่โตเกิน ไม่สันโดษ คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ฯล

ถ้าพิจารณาในยุคพุทธกาลอื่น ๆ หรือยุคที่ธาตุ ธรรมของมนุษย์ สะอาด มากกว่านี้
พุทธศาสนิกชน หรือพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน ท่านกระทำทานกุศล ยิ่งกว่า
โครงการตักบาตรพระ ๕oo,ooo รูปฯ มากกมายนัก

ในหลาย ๆ พุทธกาลที่ผ่านมา
การแสดงโอวาทปาฎิโมกข์ ก็มีภิกษุทรงบรรลุอรหันต์มารวมกัน นับล้านรูป นับโกฎิูรูป
แสดงว่า ในพุทธกาลนั้น ๆ มีภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์ พร้อมกันหลายล้านรูป หลายโกฎิูรูป

ฉะนั้นการถวายสังฆทาน ในยุคนั้น ๆ ก็ยิ่งกว่าโครงการตักบาตรพระ ๕oo,ooo รูปฯ มากกมายนัก

แม้อสทิสทาน ในพุทธกาลนี้ ก็ยิ่งอลังการงานสร้าง อย่างที่คนในยุคนี้เข้าใจตามได้ยาก

อสทิสทาน ** ทานที่ไม่มีใครทำได้เหมือน ** โดย นรอ. สาธุธรรม

http://www.dmc.tv/fo...showtopic=13907

หรือการบำเพ็ญทานกุศล แก่บุคคลทั่วไป ที่ไม่ใช่ ทักขิเนยบุคคล
นักสร้า้งบารมีในกาลก่อน ก็กระทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ดังเรื่อง บุพกรรมของอังกุระเทพบุตร
ที่ทำทานกุศลแก่คนทัวไป
จัดแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ให้ทานเป็นอันมาก ในกาลประมาณหมื่นปี
เขาก็ทำกันมาแล้ว

ดังนั้นเรื่องการบำเพ็ญทานกุศลขนาดใหญ่ เป็นเรื่องธรรมดาครับ
เพราะบุคคลมีเป้าหมายต่างระดับกัน
พระโพธิสัตว์ ก็ต้องบำเพ็ญกุศล บุญบารมียิ่งยวดกว่าสัตว์โลกทั่วไป
แม้พุทธสาวก เช่น มหาอุบาสก ท่านสุทัตตะมหาเศรษฐี และมหาอุบาสิกา วิสาขา
ก็ยังสร้างทานกุศล ในแบบที่มนุษย์ในยุคนี้ เข้าใจตามได้ยากเลยครับ

เพียงแต่ ท่านที่วิพากษ์วิจารณ์ ลืมมองเรื่องนี้ เท่านั้น
เอง

ที่จริงโครงการตักบาตรพระ ๕oo,ooo รูปฯ
สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้สังฆมณฑลและสังคมไทย มากมายนะครับ
จากคนที่ไม่รู้จักกัน
ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
ทั้งทหาร ตำรวจ พ่อค้า พุทธศาสนิกชน ทั้งนักเรียน นิสิต เยาวชน ถึงคนชรา
ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

มาร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีธรรม ทำความดีด้วยกัน
ใครที่มีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์ เตรียมงาน เก็บงาน
ย่อมเข้าใจและภาคภูมิใจ ในงานกุศลที่ได้สร้างทำด้วยตนเองครับ

แม้ใครยังไม่เข้าใจ
เพราะรับข้อมูลข่าวสารและทรรศนะที่อาจบิดเบือนเจตนากุศลและการกระทำความดี ให้ดูเลวร้ายไปบ้าง

ขอเพียง เราเข้าใจในสิ่งที่เขา คิด พูด ทำ
แล้วอย่าทำแบบเขา
และอย่านำมาเป็นระเด็นอะไรนัก

ใครยังไม่เข้าใจถูก หรือยังเืลือกเข้าใจตามอัธยาศัยของตน
หรือยังวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียหาย

ถ้าชี้แจงด้วยดีแล้ว ยิ่งบานปลาย ก็ต้องวางอุเบกขา ครับ

หน้าที่ของเรา คือ ทำความดีด้วยตนเองและเชิญชวนคนอื่นทำความดี กันต่อไป

ไม่สู้ [ด้วยการโต้ตอบด้วยวาจา] ไม่หนี ทำความดีกันต่อไป ครับ


#17 dudee

dudee
  • Members
  • 6 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 06:21 PM

เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงนะ เพราะเดี๋ยวนี้พวกมิจฉาทิฐิมักใช้สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นเครื่องมือ ยิ่งคนรุ่นใหม่มักจะชอบเสพสื่อเสียด้วยสิ เห็นมาแล้วคือเพื่อนในที่ทำงาน เรียนมาสูงซะเปล่าแต่ไม่มีวิจารณญาณในการแยกแยะเรื่องดีเรื่องชั่วเลย อะไร ๆ ก็เชื่อสื่อไว้ก่อน

#18 อริย 072

อริย 072
  • Members
  • 440 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 07:07 PM

อยากให้เพื่อนๆ มองอย่างนี้..
ถ้าเขาไม่สร้างข่าวตีวัดเรามา วัดเราก็คงไม่ดังขนาดนี้ เห็นที่สนใจเช่นนี้
...
ในความไม่ดี ยังมีข้อดีอยู่ ถ้าเราจะมองหา
เพราะพวกเรา เป็นกลุ่มพุทธศาสนิกชน ที่ไม่ได้มีความรู้ ความสามารถ แพ้ใครเลย ไม่เห็นต้องกังวล..
...
การที่มีคนออกมาเวียนอีเมลล์แอนตี้เรา
บางครั้ง ก็กลับ เป็นช่องทางที่เราจะมีโอกาสอธิบาย กับลูกพระธัมมฯที่ยังโดนกันไว้ ด้วยวิธีของพญามาร
ให้เขาได้เหลียวมาฟัง มามองบ้างไงจ๊ะ
...
พระพ่อ ท่านสอนไว้ว่า ถ้าเป็นพี่น้องวงบุญ พอเขามาเห็นพวกเราทำงาน สร้างบารมี เขาจะคุ้นกับภาพเก่าๆ โดยง่าย
พอบุญส่งผล ก็จะเข้าใจได้ทันที ไม่ต้องเซ้าซี้
...
แค่ท่านให้เรานำข่าวบุญ หรือ ส่งอีเมลล์ไปอธิบายกับเขา ทุกรอบ ทุกครั้งที่มีโอกาส
เราจะได้คนใหม่ หัวใจเต็มร้อย..มาเป็นลูกพระพ่อของเรา ทีละท่าน ทีละท่าน
...
ส่วนถ้าจะเกรงว่าคนเก่าเห็นข่าว แล้วออกจากวัดไป
พระพ่อ..ท่านเคยอธิบายไว้ว่า เพราะอินทรีย์เขายังอ่อน เลยยังมีข้อสงสัย ก็อย่ากังวลไปเลย
พระนิพพานท่านส่ง ท่านที่มีธาติธรรมแก่ๆบารมีมากๆ มาตลอดเวลา...
...


#19 Smiling Girl

Smiling Girl
  • Members
  • 550 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 07:17 PM

โอ้โห.. กำลังอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอยู่พอดี ลงพาดหัวตัวโตซะด้วย อ่านแล้วก็นึกสงสารพวกเขา คนให้ความเห็นในข่าวก็เป็นระดับด๊อกเตอร์ซะด้วย เฮ่อ.. ไม่รู้จะไปอยู่ขุมไหน

เจ้า "ก.ท.ม.ข.อ." นี่ร้ายจริงๆ พวกเราต้อง "อดทน..จนกว่าจะชนะ" นะจ๊ะ smile.gif

เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)


#20 kasaporn

kasaporn
  • Members
  • 870 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 08:46 PM

ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพิมพ์เลย ข่าวก็ดูน้อยมาก ดูแต่ DMC ซะส่วนใหญ่ โลกทัศน์จะแคบไหมเนี่ยเพราะรู้สึกว่าอ่านข่าวหรือดูข่าวก็มีแต่เรื่องไม่จรรโลงใจเลย มีแต่ข่าวไม่เป็นมงคลซะส่วนใหญ่ ฟัง อ่าน แล้วใจเศร้าหมอง บางทีก็เกิดกิเลสมากขึ้น

#21 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 09:39 PM

QUOTE
Smiling Girl โพสต์แล้ว วันนี้ 19:17
โอ้ โห.. กำลังอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอยู่พอดี ลงพาดหัวตัวโตซะด้วย
อ่านแล้วก็นึกสงสารพวกเขา คนให้ความเห็นในข่าวก็เป็นระดับด๊อกเตอร์ซะด้วย เฮ่อ.. ไม่รู้จะไปอยู่ขุมไหน

เจ้า "ก.ท.ม.ข.อ." นี่ร้ายจริงๆ พวกเราต้อง "อดทน..จนกว่าจะชนะ" นะจ๊ะ


นี่แหละจ้ะ คือความหมายที่แท้จริง ของคำที่คนรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรากล่าวไว้ว่า
‘ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด’ แม้จะจบปริญญากี่ใบ ได้ด๊อกเตอร์กี่สาขา ก็อาจเอาตัวเองไม่รอด(จากอบายภูมิ)
คือเขารู้แต่ ‘วิชาชีพ’ ที่ใช้ทำมาหากินกันในทางโลก รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้เงินได้ทองมาเยอะๆ
โดยบางครั้งหนักเข้าก็ไม่เลือกแล้วว่า ‘วิธีการเพื่อให้ได้ทรัพย์นั้นมา’ มันจะผิดศีลผิดธรรมหรือไม่

ส่วน ‘วิชาชีวิต’ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องราวความจริงของชีวิตทั้งหลาย
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแล้ว พร่ำสอนแล้ว พร่ำบอกแล้ว พร่ำเตือนแล้ว
ก็มีแค่มนุษย์เราเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเองที่เชื่อ ที่ฟัง ที่ปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระสัพพัญญูนี้
ซึ่งทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว สรรพสัตว์ในสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้
ต่างก็ตกอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมเดียวกัน แต่กลับไม่รู้เรื่อง ‘ความเป็นจริงของชีวิตนี้’
โดยเฉพาะ จำพวกกิเลสหนาหนักเข้า ธาตุปิดธาตุบังคืออวิชชาคลุมหนาแล้ว
ใจก็จะยิ่งมืดมนไม่ยอมรับรู้เรื่องเหล่านี้เอาเสียเลย

จำพวกหลังคือวิญญาณบาปนี่ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็โน่นแหละ
ตายละจากโลกนี้ไปแล้ว ไปเที่ยวคร่ำครวญอยู่ใน อบาย(ที่เสื่อมทราม) ทุคติ(ที่ชั่วช้า)
วินิบาต(ที่ตกต่ำ) นรก (ที่ทัณฑ์ทรมาน) ว่า
“โอ้ย เชื่อแล้ว นรกมีจริง สวรรค์มีจริง” เป็นอย่างนี้แทบทุกราย

ถึงตอนนั้น ก็สายเสียแล้ว ‘เขา’ ไม่ปล่อยออกมาง่ายๆ หรอก
โน่นแหละ จนกว่ากรรมหนักนี้จะถูกชดใช้จนเบาบางลงแล้วโน่นแหละ
จึงจะได้เลื่อนภพเลื่อนภูมิกับเขาบ้าง
ซึ่งบางที่โทษนั้น ก็ยาวนานเหมือนจะไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลยล่ะ

ดังนั้น ความรู้ทางธรรม หรือความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ย่อมสำคัญยิ่งกว่า ความรู้ทางโลก มากมายหลายขุมนัก
(ขุมอบาย ๕๔๓ ขุม)

และแม้ว่ามนุษย์เราจะต้องเรียนรู้ควบคู่กันไปทั้งสองด้านนี้
ก็ควรที่จะให้ความสำคัญ และเน้นหนัก ในเรื่องความรู้ทางธรรม ให้มากว่าทางโลก

เราจะไม่ได้ชื่อว่ามี ‘ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด(อบาย)’ จ้ะ

#22 peter10

peter10
  • Members
  • 331 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 August 2008 - 11:17 PM

เพราะการปฏิบัติดีนั่นแล จะนำมาซึ่งการกระทำอันประเสริฐเท่านั้น
เลือกเอา บัวมีสี่เหล่า
เลือกเอา ใจใสๆ

#23 ยุทธ

ยุทธ
  • Members
  • 27 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 August 2008 - 01:52 PM

อย่าอ่านให้ใจขุ่นเลยครับ ผมเคนเข้าไปดูกระดานต่างๆ อยากทราบว่าเขามีความคิดอย่างไร (แม้รักษาใจดีแล้ว..แต่เผลอใจไม่ใสเลย) ทางที่ดีอย่าเข้าไปอ่านเลยครับ แนะนำอย่าให้หมู่คณะเข้าไปอ่าน เพราะจะทำให้ไม่ปิติในบุญเท่าที่ควร
สาธุครับ

#24 Katinmom

Katinmom
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 April 2016 - 09:48 PM

จะนำหัวข้อนี้ไปเสนอพระอาจารย์
ในรายการเด็กเล่าธรรมะ
Dream Kids Teacher
คิดว่าต้องใช้เวลาหน่อยกว่าเด็กๆจะจำบทได้
อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ^^
สาธุ!