ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เคยได้ยินพระเทศน์มาว่าพระอรหันต์ก่อนจะนิพพาน สามารถแสดงฤทธิ์ได้เพื่อให้ผู้ฟังธรรมหายสงสัยจริงหรือไม่


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 real_life

real_life
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 July 2014 - 05:12 PM

เคยได้ยินพระเทศน์มาว่า พระอรหันต์หลายองค์ก่อนจะนิพพาน จะเข้าเฝ้าทูลลาพระพุทธเจ้าและได้รับอนุญาติให้ สามารถแสดงฤทธิ์ได้เพื่อให้ผู้ฟังธรรมหายสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้า จริงหรือไม่  ถ้าหากเป็นจริง ขอข้อความอ้างอิงจากพระไตรปิฎก สำหรับพระอรหันต์ที่แสดงฤทธิ์ สัก 2-3 องค์ได้ไหนครับ



#2 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 28 July 2014 - 06:31 PM

เอ...ผมว่า  ไม่เคยอ่านผ่านตานะ

 

ถ้าจะมีเรื่องการแสดงปาฏิหาริย์เพื่อนิพพาน  เท่าที่เด่น ๆ  ก็คง  พระอานนท์  ที่ท่านแสดงปาฏิหาริย์สลายแบ่งพระธาตุ  เพื่อยุติข้อพิพาทที่อาจนำไปสุ่สงคราม

 

ยังไงเดี๋ยวจะลองค้นดูครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#3 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2014 - 08:49 AM

มีหลายองค์ เช่น พระภัททากัจจยนาเถรี(อดีตพระนางพิมพา) ค่อยๆค้นใน เถราปทาน ก็ได้นะ


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#4 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 29 July 2014 - 12:01 PM

 หลังจากที่พระนางยโสธราเถรีได้ทรงบรรลุพระอรหัตผล    (ผลคือความเป็นผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส)    เป็นพระอรหันต์
แล้ว  ได้ตรัสเล่าถึงพระชีวประวัติของพระนางไว้  มีอยู่ในบาลีคัมภีร์ขุททกนิกาย  อปทานว่า
  

        อนึ่ง  พระชีวประวัติบางตอนก็คล้ายกับที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อื่นๆ  ส่วนบางตอนก็มีเนื้อความแตกต่างกันไป  แต่จะขอนำมากล่าวไว้
ทั้งหมดดังต่อไปนี้  ตามพระวาจาที่พระนางยโสธราเถรีทที่ตรัสเล่าไว้  ว่าดังนี้

        ข้าพเจ้าผู้มีฤทธิ์มาก   มีปัญญามาก   มีพระภิกษุณี  ๑,๑๐๐  องค์เป็นบริวาร  ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ถวายบังคมแล้วจึงนั่ง  
ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ได้กราบทูลว่า

        "หม่อมฉันมีอายุไ้ด้   ๗๘   ปี    ล่วงเข้าปัจฉิมวัยอันเป็นวัยสุดท้ายแล้ว    หม่อมฉันถึงความเป็นผู้ที่มีกายโน้มลง   (หลังค่อม)   แล้ว 
หม่อมฉันขอกราบทูลพระมหามุนีว่า   วัยของหม่อมฉันแก่แล้ว   ชีวิตของหม่อมฉันเหลือน้อยแล้ว   หม่อมฉันจะลาพระองค์ไป   หม่อมฉัน
ได้กระทำที่พึ่งของตนแล้ว  มรณะ  (ความตาย)   ได้ใกล้หม่อมฉันเข้ามาในวัยสุดท้าย 

        ข้าแต่พระมหาวีระ     หม่อมฉันจะถึงความดับลงในคืนวันนี้     หมดสิ้นชาติ   ชรา   พยาธิ   มรณะ    จะไปสู่พระนิพพานอันไม่มีปัจจัย
ปรุงแต่ง   เป็นบุรีที่ไม่มีความแก่   ความตาย  และไม่มีภัย  บริษัทเข้าเฝ้าห้อมล้อมพระองค์อยู่เวลานี้   หม่อมฉันขอประทานโทษพระองค์  
ณ   เฉพาะพระพักตร์พระองค์

        ข้าแต่พระมหาวีระ        เวลาที่หม่อมฉันยังท่องเที่ยวไปในสงสาร     (การเวียนว่ายตายเกิด)     หากมีความผิดพลั้งพลาดต่อพระองค์  
ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดประทานอภัยโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด  พระเจ้าข้า"

        พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า    "ท่านจงแสดงฤทธิ์    และตัดความสงสัยของบริษัททั้งปวงในพระศาสนาของตถาคตเถิด"

        พระนางยโสธราเถรี   กราบทูลว่า   "ข้าแต่พระมหาวีระ   หม่อมฉันชื่อ  ยโสธรา  เป็นปชาบดี  (ภรรยา)  ของพระองค์  เมื่อยังดำรง
อยู่ในเพศฆราวาสได้เกิดในศากยสกุล   ตั้งอยู่ในองค์สมบัติของหญิง   ประเสริฐกว่าหญิง   ๑๖๙,๐๐๐   (หนึ่งแสนหกหมื่นเก้าพัน)  นาง

        ข้าแต่พระมหาวีระ    หม่อมฉันเมื่ออยู่ในพระราชวังของพระองค์   ได้เป็นประธาน    เป็นใหญ่กว่าหญิงทั้งปวง   สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ
และคุณสมบัติ   ดำรงอยู่ในความเจริญทุกสมัย

        นารีทั้งปวงย่อมเคารพหม่อมฉัน     เหมือนพวกมนุษย์เคารพเทวดา    ฉะนั้น     หม่อมฉันเป็นประมุขแห่งนางกัญญา   (นางสาวน้อย)  
๑  พันนาง ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์   นางกัญญาเหล่านั้นได้ร่วมสุขร่วมทุกข์กันปานประหนึ่งว่าพวกเทวดาในสวนนันทวัน  (สวนอยู่
ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์)    หม่อมฉันเป็นบัณฑิต   ล่วงกามธาตุ  (ธาตุคือกาม)  ด้วยรูปธาตุ  (ธาตุคือรูป)   ไม่มีใครๆ   มีรูปร่างเหมือนรูปร่าง
ของหม่อมฉัน    เว้นแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นนายกของชาวโลก   หม่อมฉันขอถวายอภิวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า    แล้วจะแสดงฤทธิ์ถวาย  
พระเจ้าข้า"

        พระนางยโสธราเถรี      ถวายบังคมพระชินศรี     แล้วทรงแสดงฤทธิ์ชนิดต่างๆมากมาย     เช่น    แสดงกายให้ใหญ่เท่าภูเขาจักรวาล  
แสดงศีรษะเท่าอุตรกุรุทวีป      แสดงแขนสองข้างเท่าทวีปทั้งสอง      แสดงสรีระเป็นต้นหว้าอันเป็นต้นไม้ประจำทวีป     มีกิ่งด้านใต้มีลูก
เป็นพวง    กิ่งต่างๆมีลูกดก     แสดงดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นนัยน์ตา   แสดงภูเขาพระสุเมรุเป็นกระหม่อม    แสดงภูเขาจักรวาลเป็น
หน้า  เอาต้นหว้าพร้อมทั้งรากทำเป็นพัดเดินไปเข้าเฝ้า  ถวายบังคมพระบรมศาสดาผู้เป็นพระโลกนายก

        ต่อจากนั้นทรงเนรมิตให้เป็นช้าง   เป็นม้า   เป็นภูเขา   เป็นทะเล  เนรมิตเป็นดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์  เป็นภูเขาพระสุเมรุ  เป็นสมเด็จ
อมรินทราธิราช  (พระอินทร์)  แล้วกราบทูลว่า

        "ข้าแต่พระมหาวีระผู้ทรงมีพระจักษุญาณ   หม่อมฉันชื่อ   ยโสธรา   ขอถวายบังคมพระยุคลบาท   แล้วพระเถรีเอาดอกไม้ปิดหนึ่งพัน
โลกธาตุไว้แล้วเนรมิตเป็นพรหมแสดงสุญตธรรม  (ธรรมะที่ว่างเปล่า)  อยู่  กราบทูลว่า 

        "ข้าแต่พระมหาวีระ   หม่อมฉันชื่อ  ยโสธรา   ขอถวายบังคมพระยุคลบาท   หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์  ในทิพโสต  เจโต
ปริยญาณ  (หยั่งรู้ใจผู้ือื่นได้)   ย่อมรู้บุพเพนิวาสญาณ   มีทิพยจักษุญาณอันหมดจดวิเศษ   อาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว  บัดนี้  ภพใหม่ไม่มี
อีกแล้ว   ข้าแต่พระมหาวีระ   หม่อมฉันมีความรู้ในปฏิสัมภิทา   ๔    คือ  ในอรรถะ  ธรรมะ  นิรุตติ  และในปฏิภาณ  ที่เกิดขึ้นในสำนักของ
พระองค์   ความพร้อมเพรียงแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย   ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของชาวโลก   พระองค์ทรงแสดงดีแล้ว   พระเจ้าข้า
        
        ข้าแต่พระมหาวีระ  ขอพระองค์พึงทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของหม่อมฉันเถิด  หม่อมฉันได้สร้างสมบุญไว้เพื่อประโยชน์แก่พระองค์
หม่อมฉันได้งดเว้นสิ่งที่ไม่สมควรประพฤติ   แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แ่ก่พระองค์ได้   พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้เป็นภรรยา
ผู้อื่นมาหลายพันโกฏิกัป    ก็เพื่อประโยชน์แ่ก่พระองค์     หม่อมฉันก็ไม่ได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย    พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่ออุปการะ
มาหลายพันโกฏิกัป   เพื่อประโยชน์แก่พระองค์    พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อประโยชน์เป็นอาหารมาหลายพันโกฏิกัป  หม่อมฉันมิได้
เสียใจในเรื่องนั้นเลย   หม่อมฉันบริจาคชีวิตมาหลายพันโกฏิกัป   เมื่อประชุมชนต้องการพ้นภัย   ก็ยอมสละชีวิตของหม่อมฉันให้ได้

        ข้าแต่พระมหามุนี  หม่อมฉันไม่เคยหวงเครื่องประดับและเครื่องนุ่งห่มนานาชนิด  และภัณฑะ  คือตัวหญิง  เพื่อประโยชน์แ่ก่พระองค์

        ข้าแต่พระมหามุนี    ทรัพย์  ข้าวเปลือก  ปัจจัย   เครื่องบริจาค  บ้าน  นิคม  ไร่  นา  บุตร  ธิดา  ช้าง  ม้า  โค  ทาสี   ภรรยา   มากมาย
นับไม่ถ้วน      พระองค์ทรงบริจาคแล้วเพื่อประโยชน์แก่พระองค์      เวลาที่พระองค์ทรงบริจาคทาน      หม่อมฉันไม่เคยมีใจขุ่นหมองเลย  
หม่อมฉันได้เคยเสวยทุกข์ต่างๆมาเป็นอันมากจนนับไม่ถ้วน   ในสงสารเป็นเอนก  (มิใช่น้อย)   เพื่อประโยชน์แ่ก่พระองค์    เวลาที่พระองค์
ทรงมีความสุขหม่อมฉันก็พลอยมีความสุขด้วย  แต่เวลาที่พระองค์ทรงมีความทุกข์  หม่อมฉันก็พลอยมีความทุกข์ด้วย   หม่อมฉันมีความ
ยินดีในที่ทั้งปวง   เพื่อพระองค์มาแล้ว

        ข้าแต่พระมหามุนี       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะโดยทางที่สมควร       เสวยสุขและทุกข์แล้ว       ได้บรรลุพระโพธิญาณ  
หม่อมฉันได้ร่วมมาเป็นอันมากกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   พระนามว่า  โคดม   ผู้ทรงเป็นพระโลกนายก   ทรงเป็นเทพผู้ประเสริฐ   พระองค์
ก็ได้ทรงร่วมกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆผู้ทรงเป็นนาถะ   คือที่พึ่งของชาวโลกมาจำนวนมาก

        ข้าแต่พระมุนี  อธิการ  (กิจการหรือการกระทำอันยิ่ง) ของหม่อมฉันมีมาก เพื่อประโยชน์แก่พระองค์  หม่อมฉันเมื่อแสวงหาพุทธธรรม
(ธรรมะของพระพุทธเจ้า)  อยู่  ก็ได้เป็นบาทบริจาริกา  คือผู้รับใช้ของพระองค์

        ใน   ๔   อสงไขยกัปกับอีก   ๑   แสนกัป  ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า   "พระทีปังกร"   ผู้ทรงเป็นพระโลกนายก  เสด็จ
อุบัติขึ้นในโลก    ประชาชนในปัจจันตประเทศ  (บ้านปลายแดน)   มีจิตใจยินดี   กราบทูลนิมนต์พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า   แล้วร่วมกัน
กระทำหนทางสำหรับเป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนินด้วยความยินดี

        ณ     กาลครั้งนั้น      พระองค์ทรงเป็นพราหมณ์      มีนามว่า     สุเมธ     ได้รับอาสากระทำหนทางยาวเพื่อถวายรับเสด็จพระทีปังกร
สัมมาสัมพุทธเจ้า    ในคราวนั้น    หม่อมฉันได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์   เป็นหญิงสาวชื่อ   สุมิตตา    ได้ไปสู่ที่ประชุมนั้น    และได้พบ
พระองค์      หม่อมฉันได้ถือดอกบัวไปด้วย   ๘   กำ      เพื่อจะบูชาพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า      แต่ได้ถวายแด่พระองค์ผู้ทรงเป็นฤาษี  
(ผู้แสวงหาธรรมะ)    ในท่ามกลางประชุมชนนั้น

        (อนึ่งการกระทำหนทางของพระผู้มีพระภาคเจ้า       ครั้งเป็นสุเมธฤาษีในบาลีคัมภีร์ขุททกนิกาย      พุทธวงศ์ว่า       สุเมธฤาษีรับทำ
หนทางยาวมาก    และกระทำไม่ทันเสร็จ     ก็ถึงเวลาเสด็จพระพุทธดำเนิน    ท่านจึงสยายผมใช้ผ้าคากรองและหนังสัตว์ปูลงบนเปือกตม  
แล้วท่านนอนคว่ำหน้าลง     ณ   ที่นั้น    เพื่อเอาตัวต่างสะพาน   ด้วยคิดว่า   ขอพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวก   จงทรงเหยียบเราไปเถิด  
อย่าทรงเหยียบเปือกตมเลย      เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เราและท่านได้คิดว่า     ขอให้พระพุทธเจ้าทรงเผากิเลสของเราและท่านปรารถนา
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ   แล้วช่วยหมู่สัตว์ให้พ้นทุกข์   เข้าสู่พระนิพพาน)

        ครั้งนั้น       หม่อมฉันได้เห็นพระองค์ทรงประกอบศุภกิจอยู่นาน    มีความกรุณา    เมื่อฤาษีนั้นเดินเลยไปแล้ว    ยังดึงจิตใจหม่อมฉัน
ให้นิยมอยู่    จึงได้สำคัญว่า  ชีวิตของเราจะมีผลดี  และในคราวนั้น   หม่อมฉันก็เห็นความพยายามนั้นของพระองค์เป็นของมีผลดี   จึงได้
ถวายดอกบัวแด่พระองค์  ผู้เป็นฤาษี    ด้วยบุญที่ทำมาก่อน  จิตของหม่อมฉันได้เลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อนแล้ว  หม่อมฉันยิ่งมี
จิตเลื่อมใสพระองค์ผู้เป็นฤาษีที่มีจิตใจสูง     มิได้เห็นสิ่งอื่นที่ควรถวาย     จึงได้ถวายดอกบัวแด่พระองค์ผู้เป็นฤาษี     พร้อมด้วยกล่าวว่า  
"ข้าแต่พระฤาษี    ดอกบัว ๕  กำ   จงเป็นของท่าน   ส่วนอีก  ๓  กำ   จงเป็นของดิฉัน   ข้าแต่พระฤาษี   ดอกบัวเหล่านั้นจงมีเสมอกับท่าน  
เพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณของท่าน  เจ้าค่ะ"

        ฝ่ายสุเมธฤาษี   รับดอกบัวแล้วก็นำไปบูชาพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า  ผู้ทรงแสวงหาพระคุณธรรมยิ่งใหญ่  มีบริวารยศมาก   เสด็จ
พระพุทธดำเนินมาในท่ามกลางประุชุมชน    เพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณ    พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทอดพระเนตรเห็นสุเมธฤาษี
ผู้มีจิตใจสูง  จึงทรงพยากรณ์ในท่ามกลางประชุมชนนั้น

        ข้าแต่พระมหามุนี   ในกัปอันนับประมาณมิได้  โดยนับถอยหลังไปจากภัทรกัปนี้  พระมหามุนีทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพยากรณ์
กุศลกรรมของหม่อมฉันอันเป็นกุศลกรรมตรงกันว่า

        "ดูก่อนฤาษีผู้ใหญ่   อุบาสิกานี้  จะเป็นผู้ที่มีจิตเสมอกัน  มีกุศลกรรมเสมอกัน  กระทำกุศลร่วมกัน  เป็นที่รักของท่าน   และเป็นผู้มีบุญ
กรรมเพื่อประโยชน์แก่ท่าน    จะเป็นที่น่าดูน่าชม  น่ารักน่าชอบใจยิ่ง  มีวาจาอ่อนหวาน  จะเป็นธรรมทายาทผู้มีฤทธิ์ของท่าน   อุบาสิกานี้
จะรักษากุศลธรรมทั้งหลายเหมือนพวกเจ้าของทรัพย์รักษาทรัพย์ที่เก็บไว้ในคลังฉะนั้น        ประชาชนจะอนุเคราะห์อุบาสิกาผู้เป็นที่รักของ
ท่าน    อุบาสิกานี้จะมีบารมี   (คุณความดีที่ควรบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด  เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงสุด)  เต็ม    จักละกิเลส   (ความชั่วที่แฝงอยู่
ในความรู้สึกนึกคิดทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์)   ได้ดังราชสีห์ละกรงขัง    แล้วจะบรรลุโพธิญาณในกัปอันประมาณมิได้จากกัปนี้ไป"


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#5 real_life

real_life
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 July 2014 - 04:45 PM

อนุโมทนา สาธุครับ