บทความธรรมะ Dhamma Articles > >
ทรงยื่นคำขาดว่า “น้องหญิงสีวลีผู้เจริญ หญ้ามุงกระต่าย ซึ่งเราถอนขึ้นแล้วนี้ ไม่อาจสืบต่อกันได้อีก ฉันใด การอยู่ร่วมกันระหว่างเธอกับฉัน ก็ไม่อาจสืบต่อได้อีก ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เธอจงอยู่ผู้เดียว ฉันก็จะอยู่ผู้เดียวเหมือนกัน” อ่านเรื่องต่อ
กุมาริกาได้กล่าวเตือนพระสติพระมหาสัตว์ต่อไปว่า “ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ย่อมไม่พาสตรีเที่ยวไป แต่ทำไมท่านจึงพาภรรยาซึ่งมีรูปงามดุจเทพอัปสรเที่ยวไปด้วยเล่า ภรรยาจะทำให้สมณธรรมของท่านมัวหมอง ท่านจงยินดีในการอยู่คนเดียวเถิด” อ่านเรื่องต่อ
“ใครหนอเป็นผู้แนะนำธรรมะสั่งสอนพระองค์ ถ้อยคำอันสะอาดนี้ เป็นถ้อยคำของใคร ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เพราะข้าพระองค์มิเคยเห็นพระองค์ได้ตรัสกับสมณะผู้มีวัตรปฏิบัติก้าวล่วง ทุกข์ ซึ่งแนะนำหนทางสู่ความหลุดพ้นแก่พระองค์เลย” อ่านเรื่องต่อ
นารทดาบสต้องการให้พระโพธิสัตว์สมาทานมั่น จึงถวายข้อคิดว่า “พระองค์ เพียงแต่ทรงเพศบรรพชิตนี้ จะสำคัญว่า เราข้ามพ้นกิเลสแล้วหาได้ไม่ กรรมคือกิเลสนี้ ไม่ใช่ว่าจะพึงข้ามได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพราะยังมีอันตรายอยู่มาก” อ่านเรื่องต่อ
เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกจากพระนครไปได้ระยะ หนึ่ง ก็มีพระดำริว่า เราจะให้พระเทวีและมหาชนกลับในบัดนี้ จึงทรงหยุดพระดำเนิน แล้วหันมาตรัสถามผู้ที่ติดตามพระองค์มาว่า “ราชสมบัติในมิถิลานครเป็นของใคร” เหล่าอำมาตย์ก็กราบทูลว่า “เป็นของพระองค์ พระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงลงราชทัณฑ์แก่ผู้ที่ข้ามรอยที่เราจะขีดนี้” อ่านเรื่องต่อ
พระเทวีได้ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์ทรงละทิ้งพวกหม่อมฉัน เสด็จหนีไปแต่ผู้เดียว ทรงทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร พวกหม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ พระองค์มุ่งเสด็จไปประดุจว่าปราศจากราชสมบัติเสด็จออกผนวช” อ่านเรื่องต่อ
ทรงคาดการณ์ว่า นี้จะต้องเป็นเส้นพระเกศาของพระราชสวามี พระองค์ทรงปลงพระเกศาแล้วก็ทรงเปลี่ยนชุดเป็นบรรพชิต สละเครื่องราชาภรณ์วางไว้แล้วก็เสด็จลงจากพระราชวังไป ก็ทรงทราบได้ว่า “บรรพชิตรูปนั้น คงไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าเสียแล้ว จะต้องเป็นพระราชสวามีสุดที่รักของเราอย่างแน่นอน” อ่านเรื่องต่อ
สิ่งที่ได้ยากที่สุดกลับเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสได้ด้วยใจ นั่นก็คือความสุขที่แท้จริงที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง เป็นสิ่งที่ชาวโลกมักมองข้ามกัน เพราะมัวเอาใจไปติดอยู่กับสิ่งของนอกตัวซึ่งเป็นเครื่องล่อให้ติดอยู่ในภพ ทั้งสาม อ่านเรื่องต่อ
“มะม่วงอีกต้นยังคงความสดเขียวเหมือนเดิม ไม่มีใครมารุกราน เพราะไม่มีผล แต่ต้นนี้ถูกหักกิ่งรานใบ เพราะอาศัยผลเป็นเหตุ แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล ส่วนบรรพชาเป็นเช่นกับต้นไม้ที่ไร้ผล ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของใคร ภัยย่อมมีแก่ผู้มีความกังวล แต่ไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล ตัวเรานี่แหละ จะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไร้ผล เราจักสละราชสมบัติออกบวช” อ่านเรื่องต่อ
นรชนผู้มีปัญญา แม้ประสบทุกข์แล้ว ก็ไม่พึงตัดความหวังที่จะเข้าถึงความสุข จริงอยู่ คนเป็นอันมาก เมื่อประสบทุกข์ ก็ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เมื่อได้รับความสุข จึงค่อยทำสิ่งที่มีประโยชน์ คนเหล่านั้นไม่ตระหนักถึงประโยชน์ จึงเข้าถึงความตาย อ่านเรื่องต่อ
พระมหาชนกโพธิสัตว์ได้ทรงผ่านบดทดสอบ และสามารถไข้ปัญหาแห่งขุมทรัพย์ได้ครบทั้ง ๑๖ ข้อ ได้ครองราชสมบัติด้วยพระอัจฉริยภาพอย่างเต็มภาคภูม อ่านเรื่องต่อ
ฝ่ายพระราชธิดาเพียงได้สดับคำว่า “มหาชนก” ความรักประดุจภรรยาสามีก็ได้บังเกิดซาบซ่านไปทั่วผิวกาย แทรกซึมเข้าสู่ภายในทุกอนูเนื้อกระทั่งจรดเยื่อในกระดูก อ่านเรื่องต่อ
เหล่าอำมาตย์และเสนาบดีผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย ต่างมีความหวัง ได้้อธิษฐานว่า “ขอให้ผุสสรถจงมาจอดอยู่หน้าบ้านของเราเถิด” แต่ปุโรหิตก็ห้ามชาวพระนครไว้ ปล่อยให้ผุสสรถแล่นต่อไป โดยกล่าวว่า ถึงจะแล่นไปสิ้นร้อยโยชน์ก็อย่าให้กลับ จนกว่าจะพบผู้มีบุญบารมี อ่านเรื่องต่อ
พระราชธิดาทรงทราบว่า เสนาบดีนั้นมาเพื่อราชสมบัติ จึงมีพระประสงค์จะทดสอบเสนาบดีว่า จะมีปัญญาพอที่จะรองรับสิริแห่งเศวตฉัตรได้หรือไม่ จึงรับสั่งให้ท่านเสนาบดีเข้าเฝ้า อ่านเรื่องต่อ
พระมหาชนกตรัสว่า “ท่านพูดอะไรอย่างนั้น เราทำความพยายาม แม้จะตายก็พ้นคำครหา บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ได้ชื่อว่า ไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ กับทั้งบิดามารดาและเทวดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง ดูก่อนเทพธิดา บุคคลเมื่อทำความเพียร แม้จะตายก็ไม่เป็นหนี้ ย่อมไม่ถูกติเตียนในระหว่างหมู่ญาติ แม้เทวดาและพรหมก็สรรเสริญ” อ่านเรื่องต่อ
ส่วนพระมหาชนกนั้น เมื่อทรงพ้นจากรัศมีการดึงดูดของน้ำและสัตว์ร้ายได้แล้ว ก็ทรงแหวกว่ายลอยคอเหมือนกับท่อนกล้วย ที่ล่องลอยอยู่ในคลื่นมหาสมุทร ท่านได้เพียรว่ายเพื่อจะข้ามข้ามมหาสมุทรด้วยกำลังแขนอยู่ถึง ๗ วัน อ่านเรื่องต่อ
คำของมารดานั้น มีความหนักแน่นประดุจขุนเขา ที่บุตรไม่ควรจะฟังเพียงผ่านๆ แต่ควรตระหนักไว้ในใจเสมอ เพราะมารดานั้นมีความรักและห่วงใยต่อบุตรเทียบด้วยชีวิตของตน จึงควรเคารพเชื่อฟังด้วยดี มีภาษิตที่สัตบุรุษทั้งหลายได้กล่าวไว้ ถึงความพิเศษของมารดาบิดาที่มีต่อบุตรถึง 4 ประการ คือ อ่านเรื่องต่อ
วันหนึ่ง ในขณะที่พระราชกุมารทรงดื่มน้ำนมจากพระถันของมารดาอยู่นั้น ได้้กัดพระถันของพระนางเอาไว้ แล้วตรัสถามว่า “แม่จงบอกความจริงแก่ฉัน ใครเป็นพ่อของฉันกันแน่ ถ้าแม่ไม่บอก ฉันจะกัดถันของแม่ให้ขาดเดี๋ยวนี้” อ่านเรื่องต่อ
“โอ จริงๆ ด้วย เธอเป็นถึงพระอัครมเหสี นี่พระนางทรงพระครรภ์ด้วยหรือนี่ หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยด้วย ที่แสดงอาการไม่สุภาพ” “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” “แล้วพระเทวีจะไปที่ไหนต่อ พระเทวีทรงมีพระประยูรญาติอยู่ในเมืองนี้บ้างหรือไม่ละ” “ฉันไม่รู้จะไปทางไหนเหมือนกัน เพราะไม่รู้จักใครในเมืองนี้เลย” อ่านเรื่องต่อ
“เมื่อก่อนข้าพระองค์ไม่เคยคิดเป็นศัตรูต่อเจ้าพี่เลย ทั้งไม่เคยแปรพักตร์คิดแย่งชิงราชสมบัติ แต่พระเจ้าพี่เชื่อฟังคำยุยงของอำมาตย์ผู้ใกล้ชิด จะสำเร็จโทษข้าพระองค์ บัดนี้ หม่อมฉันจะขอราชสมบัติหละ เจ้าพี่จะมอบราชสมบัติให้แก่หม่อมฉันหรือจะรบจงรีบตอบมา” อ่านเรื่องต่อ
ผู้ที่เป็นใหญ่คุมกำลังอำนาจ พึงสังวรให้ดีว่า หากไม่ฝึกกองกำลังนั้นให้มีศีลธรรมตั้งมั่นอยู่ในใจ ไม่ฝึกให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัย ในไม่ช้ากองกำลังของตนนั้นก็จะทำให้ตนเดือดร้อนจนได้ เหมือนที่พระโปลชนกทรงประสบอยู่ในขณะนี้ อ่านเรื่องต่อ
วันนี้ เราจะได้มาศึกษาประวัติการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ในอีกพระชาติหนึ่ง คือ พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี คือ อุปนิสัยอันเต็มเปี่ยมด้วยความเพียร อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หากจะถามว่า ทำไมจึงต้องทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์เช่นนั้น อย่างเช่น ในเรื่องพระเตมีย์ที่ผ่านมา แม้จะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ ทำอย่างไรพระองค์ก็ยังทรงนิ่งเฉย อ่านเรื่องต่อ