Case Study Special
พญานาคแม่น้ำโขง
โดย แก้วตาตะวัน
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
เพื่อความเหมาะสม จำเป็นต้องของสงวนนามของบุคคล หรือสถานที่ไว้
 
    วันออกพรรษาปี พ.ศ.2537 ข้าพเจ้าพร้อมครอบครัว ได้เดินทางไปชม บั้งไฟพญานาค ที่อำเภอโพนพิสัย โดยถือโอกาสทอดผ้าป่าด้วย ณ วัดแห่งหนึ่ง ที่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
 
 
    วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่มาก โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ ไม่มีเลย เพราะผุพังสลายไปตามกาลเวลา ตอนที่เราไปถึง เห็นเหลือแต่เสาหินโด่เด่ ชี้ฟ้าอยู่ไม่ถึง 10 ต้น กับพระพุทธรูปโบราณ ซึ่งเป็นพระประธานหน้าตักกว้างประมาณ 1 เมตร ตั้งตากแดดตากฝนอยู่องค์เดียว หลังคาก็ไม่มี เห็นแล้วน่าเศร้าใจมาก
 
    จ่าสิบตรี จ. (นามสมมุติ) ลูกน้องเก่า เคยอยู่ด้วยกันเมื่อครั้งที่สามีได้ย้ายมารับราชการที่อำเภอโพนพิสัย ปี พ.ศ.2509 ตอนนั้นเขาเป็นผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดน แต่ขณะนี้เป็นมัคทายกของวัดนี้ ได้ชวนให้มาทอดผ้าป่า โดยได้นำปัจจัยมาทอดผ้าป่าเป็นจำนวนประมาณ 60,000 บาท (เนื่องจากกะทันหัน ไม่ได้บอกบุญใครมาก) และได้แบ่งปัจจัยออกเป็นสองส่วนสำหรับ 2 วัด คือ ตอนเช้า ทอดผ้าป่า ณ วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดหนองคาย ตอนเพล ทอดผ้าป่า ณ วัดแห่งนี้ และพักค้างคืนที่บ้าน จ่าสิบตรี จ.เพื่อดูบั้งไฟในเวลากลางคืน เพราะที่นี่ มีบั้งไฟขึ้นเป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้คนมาก ไม่แออัดยัดเยียดเหมือนในตัวอำเภอ
 
    หลังจาก รับประทานอาหารเย็นกันแล้ว อาบน้ำอาบท่ากันจนสบายกายสบายใจ จึงได้นำเอาเสื่อมาปูที่ริมแม่น้ำโขง หน้าวัด นอนนับดาวกันไปพลางๆ ก่อนที่เวลาบั้งไฟจะขึ้น ปีนั้นวันออกพรรษาของไทยกับของลาวจะไม่ตรงกัน บั้งไฟจะขึ้นน้อย หรืออาจจะไม่ขึ้นเลยก็ได้ ต้องเป็นวันออกพรรษาของลาว จึงจะขึ้นมาก แต่เมื่อตั้งใจมาแล้วก็ต้องดู มีน้อยก็ต้องดู ไม่มีก็ดูเดือนดูดาวไป ตามประสาคนบ้านไกล เพราะดวงจันทร์ ดวงดาว ในคืนวันออกพรรษา จะสุกใสสว่าง สวยงามกว่าปกติมาก




    เรานั่งดู นอนดู บั้งไฟตั้งแต่ 18.00 น พระอาทิตย์ตกดินจนพระจันทร์ขึ้นมาให้ชมตอนทุ่มเศษๆ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ชมบั้งไฟพญานาคเลย เห็นว่าจะจริงอย่างที่คนเฒ่าคนแก่บอกไว้ว่า คืนนี้ (วันออกพรรษาของไทย) อาจไม่มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาให้ดู แต่พรุ่งนี้ (วันออกพรรษาของลาว) จะมีมากให้ได้ชมกันเต็มที่เต็มอิ่มกันทีเดียว
 
    พวกเราก็นอนกันริมแม่น้ำโขงนั้นเอง เพราะว่าอากาศดีลมพัดเย็นสบาย ชาวบ้านก็ปล่อยเรือไฟ ไหลลอยตามน้ำดูสวยงามมาก ชาวบ้านเรียกว่า “ไหลเรือไฟ” เป็นประเพณีของทางภาคอีสานที่ยังอนุรักษ์ไว้
 
 
    ประมาณสามทุ่ม ได้มีบั้งไฟพญานาค ขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ลูกเดียวโดดๆ ลักษณะคล้ายๆลูกรักบี้ ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำโขง ตรงหน้าวัดซึ่งเรานั่งกันอยู่ ลอยช้าๆอ้อยอิ่ง เหมือนตั้งใจจะให้เราดูให้ชัดๆ ดูให้เต็มตาเต็มอิ่ม เพราะตลอดทั้งคืนนี้จะมีบั้งไฟพญานาคลูกนี้เพียงลูกเดียวเท่านั้น เป็นสีรุ้งสวยงาม ดูแล้วเย็นตา พวกเราทั้งหมดที่ชมอยู่มีประมาณ 30 คน ต่างก็ร้องอุทานกัน ชมว่าสวย บั้งไฟนี้ลอยขึ้นสูงประมาณยอดมะพร้าว แล้วก็ค่อยๆสลายหายไป พวกเรารู้สึกตื่นเต้น เพราะบั้งไฟพิเศษลูกนี้ ขึ้นมาจากแม่น้ำโขงใกล้ฝั่งไทยที่สุดประมาณ 10 เมตรจากที่พวกเรานั่งดูอยู่
 
    ตกดึก อากาศเริ่มหนาวเย็น บางคนก็หลับไปเลย ครอบครัวของข้าพเจ้าหลับกันหมด เหลือเพียงข้าพเจ้ากับลูกสาวคนสุดท้องอายุ 11 ปี ยังคงนั่งตาสว่างเฝ้าดูอยู่ ยิ่งดึก พระจันทร์ยิ่งสว่าง ท้องฟ้าปราศจากเมฆหมอก น้ำในลำน้ำโขงสว่างด้วยแสงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับ ยามต้องสายลมพริ้ว เป็นคลื่นลูกน้อยๆ มองดูแล้วสบายตาสบายใจ
 
    น้ำในแม่น้ำโขงตอนนี้เต็มฝั่ง และไหลค่อนข้างแรง สังเกตได้จากกอผักตบชวา ซึ่งไหลตามกระแสน้ำนั้น ข้าพเจ้าเพลิดเพลินอยู่กับการชมดาวชมเดือน และเฝ้ามองดูประกายสีทองของผืนน้ำ คอยดูด้วยความหวังว่า อาจจะมีบั้งไฟพญานาค ผุดให้เห็นเป็นบุญตาอีก
 
 
    เที่ยงคืน ข้าพเจ้ากับลูกสาวคนเล็ก ยังมองดูสายน้ำโขงอยู่ ไม่สามารถไปไหนได้เลย และแล้วข้าพเจ้าและลูกสาว ก็ได้เห็นขอนไม้ขนาดใหญ่สองท่อน ผุดขึ้นมากลางแม่น้ำโขง ตอนนั้น ดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งตรงศีรษะ คือ กลางท้องฟ้าพอดี แสงจันทร์ยิ่งสว่างมากขึ้น มากขึ้นไปเรื่อยๆ สังเกตเห็นท่อนไม้ใหญ่สองท่อนนั้นลอยอยู่กับที่ ไม่ไหลตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ข้าพเจ้าได้แต่งุนงง สงสัย พูดกับลูกสาวว่า “ลูก...อยู่ๆท่อนไม้ใหญ่ๆสองท่อน ก็ผุดขึ้นมากลางแม่น้ำ ลอยอยู่นิ่งๆไม่ไหลไปตามน้ำ”
 
    ข้าพเจ้ามองดูดีๆก็เห็นว่า น้ำในแม่น้ำโขงหยุดไหลแล้ว ท้องน้ำดูสงบนิ่ง แม้แต่คลื่นน้อยๆก็ไม่มี มันน่าประหลาดใจมาก
 
 
    ต่อมา ได้ยินเสียงของคนในกลุ่มที่นั่งข้างๆข้าพเจ้าร้องขึ้นว่า “พญานาค...ดูพญานาคสองตัวกลางน้ำนั่นซิ” ข้าพเจ้าและลูกสาวมองตามเสียง เห็นคนพูดกำลังส่องกล้องส่องทางไกล ดูท่าทางตื้นเต้นมาก พูดตลอดเวลาว่า “พญานาค...พญานาคตัวใหญ่จังเลย”
 
 
    ท่อนไม้สองท่อนนั้น ข้าพเจ้าเห็นตั้งแต่ตอนเที่ยงคืน ตอนที่ดวงจันทร์ทอรัศมีอยู่กลางฟ้าตรงศีรษะพอดี ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้น กระเถิบเข้าไปใกล้ๆผู้พูด และได้ขอยืมกล้องส่องทางไกลมาดูบ้าง ซึ่งเขาก็ใจดีส่งให้ทันที
 
 
    ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นในกล้องส่องทางไกลนั้น ทำให้ข้าพเจ้าขนลุกไปทั้งตัว ภาพพญานาคตัวใหญ่ที่เห็นจากกล้องทำให้ใจเต้นแรง ยอมรับว่าตื่นเต้นจนระงับอาการไว้ไม่อยู่ เช่นเดียวกับเจ้าของกล้องส่องทางไกลที่ให้ข้าพเจ้ายืมดู ลมหายใจเหมือนจะหยุด แต่หัวใจกลับเต้นแรง ข้าพเจ้ารีบส่งกล้องให้ลูกสาวดูบ้าง “ตัวใหญ่จัง เห็นหงอนบนหัวด้วย” ลูกสาวร้องอย่างตื่นเต้นเช่นกันในภาพที่เธอเห็น “เห็นตั้งนานแล้ว นึกว่าขอนไม้เสียอีก เสียดายนะแม่ เราไม่ได้เอากล้องส่องทางไกลมา” ข้าพเจ้ารีบบอกว่า “ไม่เป็นไร ยืมเขาดูก่อนก็แล้วกัน...ให้แม่ดูอีกที แม่อยากดูอีก” พร้อมทั้งรับกล้องส่องทางไกลมาจากลูกสาวมาดูอีกครั้ง
 
    ข้าพเจ้าอยากจะพิมพ์ภาพนี้ติดไว้ในดวงใจ ในดวงตา เพื่อจะได้เก็บไปฝากเพื่อนๆให้ได้ดูกันบ้าง จะได้เชื่อว่า “พญานาคมีจริง” ในเวลาที่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าเฝ้าแต่ส่องกล้องดู ไม่ยอมส่งคืนเจ้าของ แต่เขาก็ไม่ทวงคืน ข้าพเจ้าดูแล้วดูอีกโดยไม่รู้จักเบื่อ ตื่นเต้น จนลืมเรียกคนอื่นๆที่หลับอยู่ ให้ลุกขึ้นมาดูด้วย จนถูกต่อว่าในตอนเช้า เมื่อได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง
 
    ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าคิดว่า พญานาคเป็นเพียงแค่ภาพบนกล่องไม้ขีดไฟ และมีอยู่เพียงในนิยายปรัมปราเท่านั้น แต่คืนนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นของจริงแล้ว เห็นจะจะด้วยตาเนื้อ เห็นจนเต็มอิ่มทีเดียว
 
 
    จนถึงเวลาประมาณตีสามของวันใหม่ ร่างของพญานาคทั้งสองจึงค่อยๆจมลงในลำน้ำโขง สายน้ำที่หยุดนิ่งก็ไหลเป็นปกติ ดวงจันทร์ยังส่องสว่างอยู่บนฟ้า ดาวยังระยิบระยับวับวาว แต่เปลือกตาของข้าพเจ้ามันค่อยๆปิดลงโดยอัตโนมัติ หลับไปโดยไม่รู้ตัว มาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไก่ขันระเบ็งเซ็งแซ่อยู่รอบๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นมันกรีดกรายป้องปีก หยอกล้อกับไก่สาวอย่างมีความสุข
 
 
    ข้าพเจ้ารีบไปอาบน้ำที่บ้านจ่าสิบตรี จ. แล้วออกมาเตรียมตัวตักบาตรที่หน้าวัด ตอนล้อมวงรับประทานอาหารเช้า ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องพญานาคที่ได้พบเห็นในแม่น้ำโขงเมื่อตอนกลางคืนให้ฟังด้วยความตื่นเต้น แต่...พวกชาวบ้าน ไม่มีใครตื่นเต้นเลย มีแต่ครอบครัวของข้าพเจ้า และเพื่อนๆอีก 6 คนซึ่งร่วมขบวนมาด้วยเท่านั้น ที่สนใจและตื่นเต้น
 
 
    เมื่อเล่าจบ พวกชาวบ้านและจ่าสิบตรี จ. ก็หัวเราะ และบอกว่า พญานาคสองตัวนี้ มาสักการะพระพุทธเจ้าที่วัดนี้ทุกปี ในวันออกพรรษา ถ้าอยากดูก็ให้มาดูได้อีก ในวันออกพรรษาของไทยในปีหน้า วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ สร้างเมื่อประมาณพันปีเศษมาแล้ว ในสมัยขอมเรืองอำนาจอยู่แถบนี้ แต่ก่อนตรงนี้ เป็นเมืองใหญ่มีกษัตริย์ปกครองอยู่ ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข
 
 
   และเล่าขานสืบต่อกันมาว่า กษัตริย์ที่สร้างวัดแห่งนี้ เมื่อตายไป ได้ไปเกิดเป็นพญานาคพร้อมกับมเหสี
 
 
    และได้มาสักการบูชาพระพุทธเจ้าที่วัดนี้เป็นประจำทุกปี ข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่า จะต้องพาหมู่คณะมาทำบุญที่วัดแห่งนี้ทุกปี เพื่อจะได้ชมบั้งไฟพญานาค และพญานาคตัวจริงในแม่น้ำโขงด้วย แต่จนแล้วจนรอดมาถึงปีนี้ นับได้ 10 ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ไปอีกเลย เพราะไม่มีเพื่อนไปด้วย และไม่มีเวลา จึงคิดว่า ปีนี้อาจจะได้ไปก็ได้ เพราะตั้งแต่เข้าวัดพระธรรมกาย ข้าพเจ้าก็มีแต่เพื่อนกัลยาณมิตรมากมาย ที่มีใจอยู่ในบุญกุศลกันทุกคน
 
    จ่าสิบตรี จ. ยังยืนยันว่า “เดี๋ยวนี้ พญานาคทั้งสองนั้น ยังคงมาสักการบูชาพระพุทธเจ้า ในวันออกพรรษาของไทย ณ วัดแห่งนี้ ทุกปี” เราจะได้ไปดูกันและพิสูจน์กันว่า “พญานาคในแม่น้ำโขงนั้นมีจริง และนับถือพระพุทธเจ้าด้วย”
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/casestudy/2547-03-15.html
เมื่อ 29 มีนาคม 2567 04:48
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv