หลวงพ่อตอบปัญหา 
 

 
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 
Q1: คำว่า ศีล มีความหมายอย่างไร?
Q2: เรามีวิธีการรักษาศีลห้าให้ถูกต้องอย่างไร และมีกุศโลบายและยุทธวิธีอย่างไรหรือไม่ ในการที่จะทำให้เรารักษาศีลห้าได้มั่นคงตลอดไป?
Q3: ถ้าตั้งใจรักษาศีลห้าอย่างดี แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จะมีอานิสงส์อย่างไร?
 
คำถาม:กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ วันนี้กระผมมีปัญหาบางประการ เกี่ยวกับความหมายของคำในพระพุทธศาสนาครับ คือ คำว่า ศีล ซึ่งมีมากมาย ทั้งศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด กระผมจึงอยากทราบว่าจริงๆแล้วคำว่า ศีล มีความหมายอย่างไรครับ
 
คำตอบ:คุณโยม ในฐานะที่คุณโยมเป็นนักกฎหมาย ในทางโลกประเทศชาติจะอยู่กันได้ ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะกฎหมายจะเป็นตัวบอกให้เรารู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ที่ต้องมีกฎหมายก็เพราะว่า เพื่อป้องกันไม่ให้แต่ละคนน่ะล้ำเส้นกัน ถ้าล้ำเส้นกันด้วยเรื่องอะไรก็ตามทีเถอะ เดี๋ยวได้กระทบกระทั่งกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันในทางโลก ก็เลยต้องมีกฎหมายเอามาควบคุม จะเป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา หรืออะไรก็ตามทีล่ะนะ
 
แต่ว่าในศาสนาพุทธของเรานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดศีลเอาไว้ ก็คล้ายๆกัน พอจะเทียบกันได้ว่า ศีล เป็นเครื่องควบคุมทางกายทางวาจาของเรา ให้ประพฤติอยู่ในกรอบ เพื่อว่าบาปจะได้ไม่รั่วรดเข้าไปในใจเราได้ แล้วก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย
 
เรามาดูถึงคำแปลของคำว่าศีลก่อน ศีลไม่ใช่ภาษาไทยของเราเป็นภาษาอินเดีย ภาษาแขก ศีล แปลว่า ปกติ คำว่าปกตินี่เราพูดกันจนกระทั่ง ต้องมาถามอีก...ปกติ แปลว่าอะไร
 
สิ่งที่มันเป็นอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน เราเรียกว่า ปกติ เช่นร่างกายของเรานั้น ปกติมีความอบอุ่นหรือมีอุณหภูมิอยู่ในตัวประมาณ 37องศาเซลเซียส ถ้าสูงกว่านั้นหรือต่ำกว่านั้นล่ะก็ แสดงว่าป่วยแล้ว มันผิดปกติ
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงให้มาตรฐานแห่งความประพฤติปกติทางกายกับวาจาของคนเราเอาไว้ว่ามีอยู่ 5ข้อ ถ้าปกติล่ะก็ เป็นอย่างไร...
 
ปกติทางกายน่ะ ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ประพฤติผิดในกามหรือว่าไม่เจ้าชู้ ใครไปล่วงเกินจากสามสิ่งนี้ไปล่ะก็ เจ้ามนุษย์คนนี้ความประพฤติทางกายมันผิดปกติ นี่ผิดปกติทางด้านศีลธรรมทางด้านจิตใจไปด้วยในตัว ทีนี้ เมื่อมันผิดปกติไปอย่างนั้น นั่นแหละมันกำลังหาบาปใส่ตัว...เพราะอะไร เพราะมันกำลังทำให้ใจของมันขุ่นไปด้วยในตัว
 
ในเวลาเดียวกัน คนเรานั้นมันก็พูดกันด้วยเรื่องจริงๆ ไม่ใช่พูดเรื่องเท็จ ไปพูดเท็จกันเมื่อไหร่ หลอกลวงโกหกกันเมื่อไหร่ มันก็ผิดปกติคน ทีนี้พอไปหลอกไปลวงกันเข้า ใจมันก็ขุ่น ใจมันก็มัว แล้วกรรมแห่งใจขุ่นใจมัวนี้ มันก็จะบีบคั้นใจของเราให้เสียหายไปต่างๆนานา อีกเยอะแยะ
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทรงสอนเอาไว้ให้ ลูกเอ๊ย...รักษาความปกติของคนเราไว้ให้ดีนะ คือ ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่เจ้าชู้ แล้วก็ไม่พูดเท็จ
 
แต่ทั้งสี่ประการนี้ มันจะคงอยู่ได้ ต่อเมื่อเรามีสติ ถ้าขาดสติเมื่อไหร่ล่ะก็ ความปกติสี่ประการนี้ไม่อยู่หรอก
 
ทีนี้ สติ...มันแพ้อยู่เรื่องหนึ่ง แพ้อะไร...แพ้เหล้า แพ้ยาเสพติด มาเจอเหล้าเจอยาเสพติดเข้า สติมันจะขาดไป แล้วความประพฤติสี่อย่างนั้นก็จะผิดปกติขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บวกข้อที่5 เข้าไป
 
ความสำคัญที่เราจะต้องรักษาศีลทั้ง 5ข้อ มันอยู่ตรงไหน
 
มันอยู่ที่ว่า ทำให้เราไม่ไปก่อบาปก่อกรรมกับใคร ไม่ไปก่อความเดือดร้อนเสียหายให้กับตัวเอง นี้เป็นขั้นต้น เพราะว่าใครที่จะคิดฆ่าคนอื่นหรือฆ่าสัตว์ ความจริงแค่คิดใจก็เดือดร้อนแล้ว ไปลงมือฆ่าเข้า เดี๋ยวเถอะเดือดร้อนหนัก เพราะว่าอะไร...เดี๋ยวเขาจะฆ่าเอาบ้างแน่ะ ไปขโมย ไปโกงเขา ไปลักเขา ระวังเดี๋ยวเขาก็จะโต้ตอบเอาเข้าให้ ไปยุ่งกับลูกเขา เมียเขา ผัวเขา เดี๋ยวเถอะๆของรักของเขา เขาหวงนะ เดี๋ยวก็เกิดเรื่อง หรือแม้ไม่เกิดเรื่อง บางทีก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น เอดส์ มันก็มาได้อีกเหมือนกัน
 
การที่เราควบคุมตัวเองด้วยศีลได้นั้น มันก็เท่ากับว่าเราควบคุมตัวเองไม่ให้วิกฤต ไม่ไปก่อความเดือดร้อนให้ตัวเองเป็นคนแรก
 
แล้วก็ทำให้ไม่ไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นเป็นประการที่สอง
 
ที่แน่ๆ จากการที่มีศีลทั้ง 5ข้อนี้อย่างบริบูรณ์ เป็นผลให้เราพร้อมจะทำความดีรูปแบบอื่นๆอีกเยอะแยะเลย
 
เมื่อศีลทั้ง 5ข้อบวกเข้ากับกฎหมายทางโลก สองอย่างนี้รวมเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นความมั่นคงของประเทศชาติไปด้วยในตัวเสร็จ
 
แต่ว่าศีลห้านั้น รักษาตัวเองไม่ให้ผิดไม่ให้พลาด ยังมีศีลที่ยิ่งขึ้นไป คือ ศีลแปด ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ยิ่งขึ้นไปอีก ท่านเรียกว่า ศีลพรต เป็นอย่างไร...เป็นการรุกคืบกำจัดกิเลสให้มันวอดกันไป
 
ดังนั้น จึงแบ่งได้เป็นสองขั้นด้วยกัน
 
ศีลห้า รักษาความดีขั้นพื้นฐาน คือ ไม่ยอมให้ชั่ว ไม่ให้กิเลสกำเริบ
 
ศีลแปด ศีลสิบ ศีลที่ยิ่งกว่านั้นขึ้นไป เป็นการรุกคืบกำจัดกิเลสให้หมดไป หมดไปตามลำดับๆ ขึ้นอยู่กับความมานะพยายามของผู้นั้น
 
เพราะฉะนั้น คุณโยม พรรษานี้อย่าปล่อยให้พระเข้าพรรษาเพียงลำพัง คุณโยมเข้าพรรษาด้วยนะ สำหรับพวกเราที่เข้าวัดเป็นประจำ ศีลห้าจะน้อยไป เอาศีลแปดบ้างเถอะนะ แล้วมีโอกาสมาบวชอยู่กับหลวงพ่อนี่ก็เข้าท่านะ เอาพรรษาหน้าก็แล้วกันนะคุณโยมนะ
 
คำถาม:นอกจากนี้ กระผมอยากจะกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า เรามีวิธีการรักษาศีลห้าให้ถูกต้องอย่างไรครับ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีกุศโลบายและยุทธวิธีอย่างไรหรือไม่ ในการที่จะทำให้เรารักษาศีลห้าได้มั่นคงตลอดไปครับ
 
คำตอบ:เจริญพร...จำหลักง่ายๆก็แล้วกันว่าในการรักษาศีลให้ถูกวิธีก็คือ ต้องตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจล่ะก็ ไม่ถือว่าเป็นการรักษาศีล
 
ถ้าตั้งใจว่าจะไม่ละเมิด แล้วเมื่อมีโอกาสที่จะละเมิดก็ไม่ละเมิดตามที่ตั้งใจเอาไว้ นั่นคือการรักษาศีลตัวจริง
 
ทำไมจึงต้องใช้คำว่า ต้องตั้งใจ
 
ตั้งใจว่าจะไม่ฆ่า หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ฆ่า
 
ตั้งใจว่าจะไม่ลัก หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ลักไม่ขโมย
 
ตั้งใจว่าจะไม่ประพฤติผิดในกาม หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่เจ้าชู้
 
ตั้งใจว่าจะไม่พูดเท็จ หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่โกหก ไม่พูดเท็จ
 
ตั้งใจว่าจะไม่ดื่มสุรา หัวเด็ดตีนขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่กินเหล้า กินเบียร์ บรรดาแอลกอฮอล์ทั้งหลายแหล่ ยาเสพติดทั้งหลายแหล่ ที่ให้โทษ เลิก...ไม่ต้องมาพูดกัน
 
ใครจะเอามีดมาจ่อคอ เอาปืนมาจ่อหัวให้ละเมิดศีลทั้ง 5ข้อนี้ ตายก็ให้มันตายไปเถอะ เราไม่ทำหรอก
 
ที่ต้องพูดอย่างนี้ เพราะว่ามีหลายคนเข้าใจผิด เมื่อมีคนชวนเข้าวัด เขาว่าอย่างไร เขาว่า...ผมไม่ได้ไปทำความชั่วอะไร ทำไมจะต้องเข้าวัดด้วย นั่นแน่ะ ผมไม่ได้ทำชั่วก็ต้องถือว่าผมเป็นคนดีแล้ว โอ...อันตรายแล้วลูกเอ๊ย
 
ต้องมองใหม่ มองอย่างไร คนดีที่ได้มาตรฐาน คือ คนอย่างไร...คือ คนที่ตั้งใจทำความดี อย่างนี้เรียกว่าคนดี
 
ส่วนอีกพวกหนึ่ง ไม่ได้ทำความดีอะไรหรอก อยู่เฉยๆเลยไม่ได้ทำความชั่ว การไม่ได้ทำความชั่วแล้วจะถือว่าเป็นคนดีนั้น หาใช่ไม่
 
นักโทษที่ถูกขังอยู่ในคุกมืด มันร้ายกาจนัก เขาจึงเอาไปขังเดี่ยวอยู่ในห้องมืด เลยไม่มีโอกาสทั้งจะฆ่า จะลัก จะประพฤติผิดในกาม จะโกหก จะกินเหล้า ไม่มีเลย ถามว่า เจ้านักโทษคนนี้มีศีลห้าหรือไม่
 
คำตอบ คือ แล้วแต่
 
ทำไม…
 
ถ้าในใจเขาตั้งเอาไว้เลย ถึงมดสักตัว ยุงจะไต่ไรจะตอมอย่างไร ไม่บี้ไม่ตบกันล่ะนะ ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่าเขามีศีล
 
แต่ว่าถ้าในใจเขานึกว่าใครแหลมเข้ามาล่ะก็ พ่อบี้พ่อฆ่ากันหมด เมื่อเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่าเขายังไม่ได้ตังใจที่จะรักษาศีล เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่คนมีศีล
 
ต้องตีประเด็นไว้ก่อนว่า คนที่ยังไม่ละเมิดศีล ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนมีศีล เป็นแต่เพียงว่าเขายังไม่ได้ละเมิดต่างหาก
 
ส่วนคนมีศีล คือ คนที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะรักษาศีล จะไม่ล่วงละเมิดความประพฤติทางกายทางวาจา แล้วเมื่อถึงเวลาก็ไม่ล่วงละเมิดจริงๆ นั่นแหละ คือ คนมีศีล อย่างนี้คงชัดเจนนะ
 
ทีนี้ ก็มาถึงว่าเราจะมีกุศโลบาย จะมียุทธวิธีอย่างไร ที่จะรักษาศีลให้ได้ตลอดไป
 
ตรงนี้อยากฝากนิดหนึ่ง ถ้าจะเอาคนอื่นมาอ้าง มันก็คนอื่นนะ เอาว่าหลวงพ่อทำอย่างไรมาเองดีกว่าเมื่อเป็นฆราวาส
 
เมื่อสมัยยังเป็นฆราวาสอยู่ หลวงพ่อใช้วิธีง่ายๆ คือ ตั้งใจรักษาศีลไปทีละวัน ทำอย่างไร…
 
เช้าจะออกจากบ้าน ก็พระที่ห้อยคออยู่นั่นแหละ อาราธนาใส่มือเลย อาราธนาใส่มือตั้งนะโมสามจบ เสร็จเรียบร้อยก็สัญญากับหลวงพ่อในมือเลย
 
หลวงพ่อ วันนี้ปาณาติปาตา เวรมณี หัวเด็ดตีนขาดไม่ฆ่า ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ มดสักตัวยุงสักตัว เลิก ไม่บี้ไม่ตบจบกันแค่นี้ สัญญากับหลวงพ่อในมือเลย
 
อทินนาทานา เวรมณี วันนี้หัวเด็ดตีนขาดไม่ลัก ไม่ขโมย ทั้งนั้นแหละ ส่วนพรุ่งนี้ยังไม่ได้สัญญานะ เพราะเดี๋ยวสัญญาแล้วทำไม่ได้มันจะยุ่ง
 
กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี วันนี้หัวเด็ดตีนขาดไม่ยุ่งกับใครล่ะ ภรรยาใคร ลูกสาวใครไม่ยุ่ง ให้มันจบลงไปตรงนี้
 
มุสาวาทา เวรมณี วันนี้ถ้าพูดต้องพูดเรื่องจริง เรื่องไม่จริงไม่พูด พูดแล้วจะเสียหายคนโน้นคนนี้ สู้ไม่พูดดีกว่าพูดไม่จริง ให้มันเด็ดขาดกันลงไปอย่างนี้
 
สุราเมรยะ มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี วันนี้หัวเด็ดตีนขาด ไม่ว่าเหล้า ไม่ว่าเบียร์ ไม่ว่ากระแช่ ไม่ว่าสาโท อะไรไม่เอาทั้งนั้น
 
พรุ่งนี้ยังไม่รู้ สัญญากับตัวเองไปวันๆ ทำอย่างนี้ทุกวัน พอข้ามวันแล้วก็ชื่นใจ วันนี้ฝ่าอุปสรรคมาได้หนึ่งวัน เพราะว่าก็ต้องยอมรับกันนะ โลกทุกวันนี้ความวุ่นวายมันเยอะ สิ่งบีบคั้นที่จะทำให้เราละเมิดศีลมันมีพอแรงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อเราตั้งใจว่าจะรักษาศีลให้ข้ามไปทีละวันอย่างนี้ มันไม่หนักแรง หากินไปวันหนึ่งก่อน ไม่หนักแรงไม่ต้องวางแผนเยอะ
 
ทำอย่างนี้ไปทุกวันก็ได้ชื่นใจไปทุกวันทุกวัน พอครบปีเข้า มันกลายไปเป็นนิสัยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว มีอะไรจะยั่วยุให้เราผิดศีลขึ้นมานี่ ใจมันไม่ยอมรับที่จะละเมิด เพราะว่ามันมีศีลเป็นนิสัยไปเสียแล้ว มันซึมซับเข้าไปในใจ
 
เพราะฉะนั้น ตรงนี้อยากจะฝากเอาไว้ว่า คำว่ามีศีลมันมีเป็นขั้นเป็นตอนนะ รักษาศีลทีแรกน่ะ พอยุงมากัดปั๊บ มือมันเงื้อปุ๊บเลยนะ พอจะตบลงไปเท่านั้นนึกได้ว่าวันนี้มีศีล ก็เลยไม่ไปตบมัน นี้คือศีลแบบจิ้ม จิ้มน้ำตาล เหมือนมะขามจิ้มน้ำตาล ทีแรกมันก็เป็นอย่างนี้มันง่อนแง่นอยู่ แต่รักษาศีลจนเคย หนักเข้า หนักเข้า ผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน มันเริ่มเป็นศีลเชื่อมแล้วนะ ยุงกัดเข้าก็...เอ๊ย...เอ็งรีบไปๆซะไป ไอ้เงื้อมือจะตบนี้ไม่มีแล้ว เจ็บแล้ว แล้วไป
 
เมื่อรักษาศีลมากเข้ามากเข้าเป็นปี เมื่อยุงกัด ก็ได้คิดว่าตราบใดเรายังเวียนว่ายในวัฏสงสาร ไม่แคล้วเบียดเบียนกันอย่างนี้แหละ หมดกิเลสเมื่อไหร่ล่ะก็ จะได้ไม่ต้องมาเจอกับสิ่งเหล่านี้ ยุงกัดแต่คิดจะไปนิพพานโน่นแน่ะ อย่างนี้ล่ะศีลแช่อิ่มเลย
 
เพราะฉะนั้น การรักษาศีล ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องพอดีพอร้าย มันต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันนะลูกนะ
 
 
คำถาม:กระผมอยากจะทราบต่อไปว่า ถ้ากระผมตั้งใจรักษาศีลห้าอย่างดี แบบที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อว่าแบบมะขามแช่อิ่มแล้วนะครับ จะมีอานิสงส์อย่างไรบ้างครับ
 
คำตอบ:เจริญพร คุณโยมเมื่อเรารักษาศีลกันเต็มที่จริงๆอย่างที่ว่า คือ เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ใช่เหยาะๆแหยะๆ ไม่เอาศีลจิ้ม ศีลเชื่อม เอาศีลแช่อิ่ม
 
ถ้าศีลแช่อิ่มกันจริงๆล่ะก็คุณโยม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดว่า มีอานิสงส์มากมาย แต่ว่าโดยย่อก็แล้วกัน โดยย่อล่ะก็มีสามประการด้วยกัน ทุกครั้งเวลาเรารับศีลจากพระ พระจะสรุปอานิสงส์ของศีล แล้วเราก็กล่าวสาธุกัน มีอยู่สามข้อ ดังนี้
 
1.สีเลนะสุคติงยันติ ศีลทำให้ไปสู่สุคติ ขอยืมภาษาบาลีมาก่อน แล้วจะได้ไม่ตกไม่หล่น ศีลทำให้ไปสุคติ ถ้าแปลภาษาชาวบ้านก็แปลว่า ศีลนั้นเมื่อตั้งใจรักษากันเต็มที่ดีแล้ว เอาชีวิตเป็นเดิมพันกันจริงๆ ไปสุคติ คือ ไปดี หรืออนาคตดีนั่นเอง
 
เป็นอย่างไร รักษาศีลแล้วอนาคตดี…
 
ดีสิ ดีแน่นอน ลองว่ามีศีลแล้วล่ะก็ ไม่ต้องไปปรึกษาเรื่องกฎหมายกับคุณโยมล่ะ ไม่ไปคุกแน่เลยนะ เออ...ถึงอย่างไรก็ไม่ไปคุกแล้วชาตินี้ ชาติหน้ายังไม่ต้องพูดถึง ชาตินี้น่ะถึงอย่างไรไม่ต้องไปคุกไปตะราง ไม่ต้องไปเข้าห้องขัง เพราะฉะนั้น คำว่า สุคติ นี้ก็คือรักษาศีลแล้วอนาคตชาตินี้ มีแต่เจริญรุ่งเรืองไม่มีเวรไม่มีภัย
 
อนาคตชาติหน้า ตายไปก็ไม่ตกนรก กลับมาเกิดอีกทีเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีคู่แค้น เพราะไม่ได้ไปทำความแค้นไว้กับใคร ไปถึงไหนก็ยังมีคนรักต่ออีกนั่นแหละ นี้ชัดเจนลงไปเลย
 
2.สีเลนะโภคสัมปทา ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ หรือจะแปลว่าศีลทำให้ใช้ทรัพย์ได้เต็มอิ่มก็ได้
 
เป็นอย่างไร ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ คุณโยมไปดูเถอะเวลาเขาประกาศรับใครเข้าทำงาน ไม่มีประกาศไหนเลย ต้องการรับคนที่ชอบฆ่า ชอบลัก ชอบประพฤติผิดในกาม ชอบเที่ยวกลางค่ำกลางคืน ชอบโกหกอะไรอย่างนี้ ชอบเมาหัวตำดินนี่ ไม่มีใครรับไปทำงาน อยากจะได้แต่คนมีศีลมาทำงาน เพราะฉะนั้นใครมีศีล แล้วก็ประกอบกับคุณสมบัติ คุณงามความดีด้านอื่น ความสามารถด้านอื่น ถึงแม้ความสามารถด้านนั้นๆเท่ากับคนอื่น แต่ว่าความมีศีล ใครๆเขาก็รีบคว้ารีบเอาไปช่วยทำงานเลย เพราะฉะนั้น ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้ง่าย...ชัดเจนไหม
 
ยังไม่พอ นอกจากสมบัติจะเกิดได้ง่าย หรือเอาล่ะไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใคร ทำมาหากินเอง ถ้าทำมาหากินเอง เรามีศีลไม่ไปเมาหัวตำดินเสียแล้ว มันก็มีเวลามาทำงานได้เยอะ นี่ยกตัวอย่างนะ
 
ยิ่งกว่านั้น ศีลทำให้ใช้ทรัพย์สมบัติได้เต็มอิ่ม แปลกนะ คิดง่ายๆคนที่ร่ำรวย รวยเหลือเกิน เขาก็บอกว่าเขากินเหล้าทุกวัน สมบัติก็ไม่ได้พร่องไปเท่าไหร่ ไม่เดือดร้อน แต่ว่านั่นแหละ กินมากเข้ามากเข้า ตับพังไตพังไปเสียแล้ว พอตับพัง ไตพัง กระเพาะพัง มีสมบัติพันล้านก็กินไม่เต็มอิ่ม เพราะกระเพาะมันพังไปแล้ว มันจะไปกินเต็มอิ่มอย่างไร
 
หากเที่ยวไปยุ่งกับเมียเขาลูกเขา ถึงแม้ไปยุ่งได้กี่คนก็ตาม ไม่เต็มอิ่ม เพราะต้องผวาเดี๋ยวเจ้าของเขาจะตามมาเจอ นี่ยกตัวอย่าง
 
เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากรณีใด หากได้ทำผิดศีลไว้แล้ว ถึงจะมีทรัพย์สมบัติมากน้อยเท่าไหร่ บริโภคไม่เต็มอิ่ม...ชัดเจนนะ
 
เพราะฉะนั้น ใครมีศีลบริสุทธิ์ ถึงแม้ไม่ค่อยจะรวย แต่ว่าสมบัตินั้นๆมันใช้เต็มอิ่ม ใช้แล้วไม่ต้องผวาเลย มันเป็นอย่างนี้
 
3.สีเลนะนิพพุติงยันติ ศีลทำให้ไปพระนิพพาน พอบอกว่าศีลทำให้ไปพระนิพพาน เดี๋ยวจะไม่รักษาศีลกัน กลัวจะไปนิพพาน บางคนเขาว่าอย่างนั้น
 
เอาอย่างนี้ นิพพานหรือนิพพุติง มีหลายระดับลูกเอ๋ย นิพพานขั้นต้น เป็นอย่างไรล่ะ
 
ทำให้ใจสงบเย็น มีศีลแล้วใจมันสงบเย็นชุ่มฉ่ำอยู่ในใจ ไม่ต้องหวาดผวาอะไรทั้งสิ้น นี่นิพพานขั้นต้น สงบเย็น แต่เมื่อรักษาศีลมากเข้ามากเข้า เข้มข้นเข้าไปเรื่อยๆ...กลายเป็นศีลแช่อิ่มไปแล้ว ทีนี้ใครเอามีดมาจ่อคอเอาปืนมาจ่อหัวให้เราทำความชั่ว...เรายอมตายเสียดีกว่า
 
ใจมั่นคงขนาดนี้ล่ะก็ คนอย่างนี้ล่ะพระนิพพานรอแล้ว คนอย่างนี้ใจจะมั่นคงเป็นสมาธิง่าย เมื่อเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว เพราะอำนาจศีลที่มั่นคง หลับตาลืมตานี่สว่างโพลงยิ่งกว่าตะวันเที่ยงโดยอัตโนมัติ ความสว่างโพลงยิ่งกว่าตะวันเที่ยงนี่แหละ จะทำให้เราสามารถไปเห็นกิเลสที่อยู่ในใจ
 
เราลองได้เห็นกิเลสแล้ว เดี๋ยวเราก็จะปราบเสียให้เตียน เมื่อเห็นกิเลสในใจด้วยอำนาจแห่งความสว่างภายในนี้ คุณโยม...จะช้าจะเร็ว เดี๋ยวได้ปราบกิเลสหมด ไปนิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนได้นั่นแหละ
 
เพราะฉะนั้น คุณโยมตั้งใจรักษาศีลไป ขั้นต้น...อนาคตชาตินี้ก็ดี ตั้งหลักตั้งฐานก็ได้ ขั้นต่อ...มารักษาศีลดีแล้ว สมบัติก็เกิดง่าย สมบัติที่เกิดแล้วก็ใช้ได้เต็มอิ่ม ยิ่งกว่านั้น...ชาตินี้ทั้งชาติ มันสงบเย็นไม่มีเวรไม่มีภัย พระนิพพานก็รอท่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รักเรา...เจริญพร
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/good_QA/episode28.html
เมื่อ 19 มีนาคม 2567 12:06
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv