ชาดก 500 ชาติ
กัจฉปชาดก-ชาดกว่าด้วยลิงสัปดน
เจ้าลิงทุศีลซุกซนต้องได้ความทุกข์ทรมานจากการกระทำของตัวเองครั้งเมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ได้ทรงปรารภการสงบระงับความทะเลาะแห่งอำมาตย์ทั้งสองของพระเจ้าโกศล จนเป็นที่โจทย์ขานคุณ
ของพระศาสดาว่าสามารถสั่งสอนให้อำมาตย์ทั้งสองเลิกทะเลาะกันได้ ซึ่งทั่วทวีปนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้เลยอำมาตย์ทั้งสองของพระเจ้าโกศลซึ่งมีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลาเรื่องราวของมหาอำมาตย์ทั้งสองนั้น มีอยู่ว่า คนทั้งสองเป็นหัวหน้าทหารเป็นเศวตของพระเจ้าโกศล ทั้งตำแหน่งลาภยศก็มีทัดเทียมกัน แต่ทุกครั้งที่เห็นกันและกันเข้าก็ทะเลาะกัน
การจองเวรของเขาทั้งสองเป็นที่รู้กันทั่วนคร “วันนี้เห็นท่าฤกษ์จะไม่ดีซะแล้วอำมาตย์ทั้งสองทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้ากันอยู่ๆ ก็ดันมาเจอคนพาลซะจนได้” “เจ้าหาว่าใครเป็นคนพาล ชิชะ ถ้าข้าเป็นคนพาลหน่ะ แล้วเจ้าไม่ใช่รึ ที่พาลกว่าหรือไง” มหาอำมาตย์ทั้งสองนั้นทะเลาะกันรุนแรง ถึงขั้นที่แม้พระราชาญาติและมิตรก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาทั้งสองสามัคคีกันได้ “ท่านอำมาตย์ทั้งสองเลิกทะเลาะกันเสียเถอะแม้ต่อหน้าพระพักตร์อำมาตย์ทั้งสองก็ยังคงทะเลาะกันทุกครั้งไปนี่ขนาดว่าอยู่ต่อหน้าเราแท้ๆ ท่านยังทะเลาะกันอีกรึ ท่านทั้งสองเนี่ยอายุอานามก็มากแล้วนะ สามัคคีกันหน่อยเถอะ” “สิ่งที่พระราชาทูลขอนั้นกระหม่อมขออภัยที่ไม่สามารถ
ทำตามได้ ข้อขัดแย้งของกระหม่อมนั้นทั้งสองนี้มิอาจปรองดองกันได้เลยพะย่ะคะ” “หม่อมฉันยินดีถวายรับใช้พระองค์ทุกอย่างเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูเผ่าพันธ์ุสัตว์ที่ควรแนะนำให้ตรัสรู้มอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง แต่ขอยกเว้นปรองดองกับอำมาตย์ผู้นี้เถอะ พะย่ะคะ” เมื่อใครต่อใครห้ามปรามแล้วอำมาตย์ทั้งสองก็ยังไม่ฟัง เขาไม่สามารถปรองดองกันได้นับวันความขัดแย้งก็รุนแรงขึ้นทุกทีจนคนรอบข้างรู้สึกเบื่อหน่ายและเอือมระอาพระศาสดาออกบิณฑบาต ณ บ้านของอำมาตย์คนที่หนึ่ง“เจ้าออกไปให้พ้นทางเดินของข้าเดียวนี้ เห็นหน้าเจ้าแล้ว ข้าอยากจะอ้วกออกมา” “ชิชะ แผ่นดินนี้เป็นของเจ้าหรือไง ถึงจะมีสิทธิ์มาสั่งใครต่อใครให้ถอยไปได้ หน้าเจ้า ข้าก็ไม่อยากจะมองเหมือนกัน เห็นแล้วมันเหม็นเขียว” อยู่มาวันหนึ่งในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูเผ่าพันธุ์สัตว์พระศาสดาทรงตรัสอานิสงส์ของการเจริญเมตตาแก่ท่านอำมาตย์ที่ควรแนะนำให้ตรัสรู้ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปติมรรคของเขาทั้งสอง ทรงคิดช่วยปลดทุกข์ให้คนทั้งสองปรองดองกัน วันรุ่งขึ้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จสู่กรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาตเพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงประทับยืนที่ประตูเรือนของอำมาตย์คนหนึ่งพระศาสดาทรงนำอำมาตย์คนที่หนึ่งมายังบ้านของอำมาตย์คนที่สองอำมาตย์ผู้นั้นออกมารับบาตรแล้วนิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไปภายในเรือน ปูอาสนะให้ประทับนั่ง เมื่อพระศาสดาทรงประทับนั่งแล้ว ทรงตรัสอานิสงค์ของการเจริญเมตตาแก่อำมาตย์ผู้นั้นทรงทราบว่ามีจิตอ่อนแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัตย์ เมื่อจบอริยสัตย์ อำมาตย์นี้ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลพระศาสดาทรงประกาศสัจธรรมแก่อำมาตย์ทั้งสองพระศาสดาทรงทราบว่าเขาบรรลุโสดาแล้ว ให้เขาถือบาตรทรงพาไปยังประตูเรือนของอำมาตย์อีกผู้หนึ่ง องค์พระศาสดาพร้อมด้วยอำมาตย์ผู้บรรลุโสดายืนอยู่หน้าประตูเรือนของอำมาตย์อีกคนหนึ่ง เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นออกมาก็ถวายบังคมพระศาสดา ทูลเสด็จเข้าไปยังเรือนอำมาตย์ทั้งสองแสดงโทษขอขมาต่อกันและได้บริโภคร่วมกันเฉพาะพระพักตร์องค์พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังที่รับรอง โดยมีอำมาตย์ที่ตามเสด็จ ถือบาตรตามเสด็จด้วย พระศาสดาตรัสพรรณนาอานิสงส์เมตตา 11 ประการ ทรงทราบว่าอำมาตย์คนที่สองนั้น มีจิตสมควรแล้วจึงทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบแล้วอำมาตย์นั้นก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล อำมาตย์ทั้งสองบรรลุดาบันแล้ว ก็แสดงโทษขอขมากันและกันภิกษุทั้งหลายสนทนากันถึงคุณของพระศาสดาที่ทำให้อำมาตย์ทั้งสองคนเลิกทะเลาะกันได้มีความสมัครสมานบันเทิงใจ มีอัธยาศัยร่วมกันด้วยประการฉะนี้ วันนั้นเองเขาทั้งสองบริโภคร่วมกัน เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาเย็นภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันถึงคาถาแสดงคุณของพระศาสดาในธรรมสภาว่า พระศาสดาทรงฝึกคนที่ฝึกไม่ได้พระตถาคตทรงฝึกอำมาตย์ทั้งสองซึ่งวิวาทกันมาช้านาน พระราชาและญาติมิตรเป็นต้นก็ไม่สามารถจะทำให้สามัคคีกันได้พระศาสดาทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสให้ภิกษุทั้งหลายได้รับฟัง ณ ธรรมสภาแต่พระองค์ทรงกระทำได้เพียงในวันเดียวเท่านั้น เมื่อองค์พระศาสดาทรงทราบเรื่องที่เหล่าภิกษุถกธรรมกันก็ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ทำให้ชนทั้งสองเหล่านี้สามัคคีกันมิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเราก็ทำชนเหล่านี้ให้สามัคคีกัน” ลำดับต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสว่าบัณฑิตผู้เพียบพร้อมทุกอย่างแต่เขาไม่สามารถหาความสุขในชีวิตตามที่ตนต้องการได้ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี ครอบครัวหนึ่งในตระกลูพราหมณ์แคว้นกาสิกรัฐได้ให้กำเนิดบุตรชาย แม้จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเพียงไรบัณฑิตผู้นี้ก็ไม่สามารถหาความสุขที่ตนต้องการได้ จึงละจากกามทั้งหลายออกบวชเป็นฤาษี สร้างอาศรมบทอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาบัณฑิตหนุ่มออกบวชเป็นฤาษีทรงบำเพ็ญอุเบกขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้หิมวันตประเทศใกล้หิมวันตประเทศ ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดในที่นั้น แล้วเล่นฌานสำเร็จกาลอยู่ในที่นั้น ฤาษีผู้นี้เป็นผู้มีตนเป็นกลางอย่างยิ่ง ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีอย่างยิ่งยวดณ สถานที่แห่งนั้นได้มีลิงซุกซนตัวหนึ่งมักจะมาก่อกวนฤาษีตนนี้อยู่เสมอ แต่ด้วยความตั้งมั่นในสมาธิ(Meditation)มีลิงซุกซนตัวหนึ่งชอบกลั่นแกล้งก่อกวนการทำสมาธิของฤาษีหนุ่มลิงตนนี้ก็ไม่สามารถทำให้ฤาษีผู้ทรงศีลนี้รำคาญใจได้แม้แต่ครั้งเดียว “ทำอะไรอยู่เอ่ย นั่งหลับตาทำไม มาเล่นกันหน่อยน๊า เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ ลืมตามาเร็วสิเจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ ทำไม่เราไม่สามารถก่อกวนฤาษีนี้ได้เลยน่ะ” เมื่อก่อกวนตอนนั่งสมาธิไม่ได้ผล ลิงน้อยจึงรอจังหวะที่ฤาษีผู้ทรงศีลนี้บริโภคผลไม้ มันคิดแย่งผลไม้กินจากฤาษีไปกินเจ้าลิงซุกซนได้กลั่นแกล้งและก่อกวนด้วยการแย่งผลไม้ของฤาษีเพื่อที่จะยั่วฤาษีนี้โมโหมันให้ได้ (อืม ต้องใช้แผนนี้ซักหน่อย เอาเถอะร้อยทั้งร้อย ถ้าโดนแย่งของกินไป ยังไงก็ต้องโกรธแน่ๆ) “ผลไม้นี้ขอเอาไปกินก่อนนะครับ เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆเป็นไงๆ เริ่มโกรธบ้างหรือยัง ฮ่าๆๆ ” เมื่อแย่งผลไม้มาได้เจ้าลิงน้อยก็เต้นไปเต้นมา ชูผลไม้นั้นแถมกัดกินยั่วให้ฤาษีโมโหแต่ก็ไม่สำเร็จตามแผนที่วางไว้เจ้าลิงซุกซนหันมาแกล้งเจ้าเต่าซึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำใกล้ๆ กับที่มันอาศัยอยู่ฤาษียังคงนิ่งอยู่ในสมาธิ ไม่มีทาทีตองสนองลิงซุกซนนี้เลย ลิงน้อยเมื่อใช้แผนสุดท้ายแล้ว มันก็ไม่สามารถยั่วให้ฤาษีโมโหได้ มันจึงเลิกแผนรบกวนฤาษี แล้วหันมาก่อกวนเต่าตัวหนึ่งในแม่น้ำที่อยู่ใกล้ต้นไม้ที่มันอาศัยนั่นเอง “เปลี่ยนมาแกล้งเจ้าเต่าตัวนี้แทนก็ได้ ฮืม หมั่นไส้มันนัก ได้แต่ว่ายน้ำการทะเลาะกันของสัตว์ทั้งสองอยู่ในสายตาของฤาษีมาโดยตลอดทำปากผะงาบๆ เชอะ หมั่นไส้จริงๆ นับตั้งแต่ครั้งนั้นเจ้าเต่ากับลิงซุกซนนี้ก็ทะเลาะกันเป็นประจำ พวกมันมักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งกันอยู่เสมอ “เจ้าเต่าเชื่องช้า เจ้าเต่าโบราณเจ้าเต่าหัวหด ฮ่าๆๆ แน่จริงก็ขึ้นมาสิ” “ชิชะ เจ้าลิงไม่รู้กาละเทสะ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ยั่วโมโหอยู่ได้ น่ารำคาญจริงๆ เล้ย”เจ้าลิงซุกซนคิดแผนการจะแกล้งเจ้าเต่าในขณะที่นอนหลับผึ่งแดดอยู่ริมแม่น้ำฤาษีเห็นเหตุการณ์ละรับรู้ถึงการทะเลาะวิวาทกันของสัตว์ทั้งสองนี้มาโดยตลอด แต่ก็มิได้ว่ากล่าวอะไร เนื่องด้วยเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาอันควรที่จะเข้าไปสั่งสอน“เฮ้อ เจ้าสัตว์ทั้งสอง ทะเลาะกันได้ทุกวี่ทุกวัน สักวันหนึ่งเถอะเราจะทำให้เจ้าทั้งสองสามัคคีกันให้ได้” อยู่มาวันหนึ่งเต่าคู่อริของเจ้าลิงขึ้นมาจากสระน้ำเจ้าลิงซุกซนนำองคชาตของมันเข้าไปใส่ไว้ในปากเจ้าเต่านอนผึ่งแดดอ้าปากอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เจ้าลิงซุกซนผ่านมาทางนั้นพอดี พอเห็นเข้าก็ดีใจ รีบคิดแผนกลั่นแกล้งเจ้าเต่านั้นทันที คิดได้ดังนั้นเจ้าลิงร้ายก็แอบย่องเข้าไปใกล้เต่าตัวนั้นแล้วสอดองคชาตของมันเข้าไปในปากของเต่า “เจ้าเต่าเอ๋ย หลับอยู่ใช่มั๊ย นี่แน่ะๆๆ ถ้าเจ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเราเอาองคชาตสอดเข้าไปในปากเจ้า เจ้าจะต้องโกรธแน่ๆ ฮ่าๆๆ”เจ้าลิงเดินทางมาหาฤาษีเพื่อขอให้ท่านเมตตาและช่วยเหลือตนและแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทันทีที่เจ้าลิงสอดองคชาตของมันเข้าไป เจ้าเต่าก็ตื่นขึ้นมาทันที และฮับองคชาตของลิงนั้นไว้ เหมือนกับใส่ไว้ในสมุคฉะนั้น เวทนาอย่างแรงเกิดขึ้นแก่ลิงนั้น มันไม่สามารถจะอดกกลั่นเวทนา ร้องเจ็บปวดครวญครางเสียงดังลั่น “ช่วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยเราด้วยใช่สิน่ะ ฤาษีตนนั้นต้องช่วยเราได้แน่ เจ้าเต่าร้ายนี่ โอ๊ะๆ โอ๊ย โอ๊ยเจ็บๆต้องรีบไปให้ฤาษีช่วยแล้ว โอ๊ย โอ๊ยเจ็บๆ เจ็บจังเลย”สัตว์ทั้งสองฟังคำสอนของพระฤาษีโพธิสัตว์ด้วยความตั้งใจเจ้าลิงทุศีลเมื่อได้รับความเจ็บปวด มันจึงได้คิดว่า ใครกันหนอจะปลดเปลื้องมันจากทุกข์นี้ได้ แล้วมันก็คิดได้ว่าคนที่จะสามารถปลดเปลื้องมันจากทุกข์นี้ได้ย่อมไม่มีใคร นอกจากพระดาบสเท่านั้น
มันจึงเอามือทั้งสองอุ้มเต่าไปหาฤาษีผู้ทรงศีล เจ้าลิงซุกซนเมื่อเข้าตาจนได้รับความลำบาก ก็สำนึกได้ในความผิดที่เคยทำไว้กับพระดาบส มันอ้อนวอนให้ฤาษีช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจสี่ฤาษีเมื่อเห็นว่าเจ้าลิงสำนึกผิดแล้ว จึงคิดช่วยให้พ้นทุกข์แล้วยังเมตตาให้สัตว์ทั้งสองตัวเลิกทะเลาะกัน “ธรรมดาเต่าทั้งหลายเป็นกัสสปโคตร ส่วนลิงทั้งหลายเป็นโกณฑัญญโคตร ก็กัสสปโคตรและโกณฑัญญโคตรต่างมีความสัมพันธ์กัน โดยอาวาหะและวิวาหะ คือนำเจ้าสาวมาบ้านเจ้าบ่าวและนำเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาวลิงตนนี้กันท่าน หรือท่านกับหรือท่านกับลิงทุศีลตัวนี้ คงจะได้กระทำเมถุนธรรมนั่นก็คือกรรมของผู้ทุศีลอันสมควรแก่เมถุนธรรม คือเหมือนกับที่โคตรของท่านทำมาแล้วเป็นแน่ เพราะฉะนั้น ดูก่อนเต่าผู้เป็นกัสสปโคตร ท่านจงปล่อยลิงผู้เป็นโกณฑัญญโคตรเสียเถิด” เต่าได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์ มีความเลื่อมใสในเหตุผล จึงปล่อยองคชาติของลิง ฝ่ายลิงพอหลุดพ้นเท่านั้น ได้ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วหนีไป ทั่งไม่กลับมามองดูสถานที่นั้นอีก ฝ่ายเต่าไหว้พระโพธิสัตว์แล้วก็ได้ไปยังที่อยู่ของตนทันที แม้ดาบสก็มิได้เสื่อมจากฌาน ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศอริยสัจสี่ แล้วทรงประชุมชาดกเต่าและลิงในครั้งนั้น ได้เป็นอำมาตย์ 2 คนในบัดนี้ส่วนดาบสในครั้งนั้น เสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
http://goo.gl/iaDc2P