ทำไมคนไทยเมืองพุทธถึงกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศทางตะวันตก - หลวงพ่อตอบปัญหา

ทำไมคนไทยเมืองพุทธถึงกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศทางตะวันตก, นักธุรกิจมุ่งแสวงหาผลกำไรเป็นหลัก จะมีบาปกรรมติดตัวไปหรือไม่, คนเงินเดือนมาก แต่ไม่ค่อยพอใช้ควรจะแก้อย่างไร https://dmc.tv/a2037

บทความธรรมะ Dhamma Articles > หลวงพ่อตอบปัญหา
[ 26 มิ.ย. 2550 ] - [ ผู้อ่าน : 18268 ]
หลวงพ่อตอบปัญหา
 

 
โดย หลวงพ่อทัตตชีโว (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 
 
คำถาม:กราบนมัสการ...พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ด้วยความเคารพอย่างสูง กระผมมีความสงสัยว่า ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ก็นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งมีคำสอนที่ดีๆมากมาย แต่ประเทศไทยกลับมีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศทางตะวันตกครับ

คำตอบ:ประเทศไทยที่เรามองว่า เศรษฐกิจสู้ประเทศอื่นไม่ได้ ตรงนี้ก็ยอมรับ แต่ว่าอย่าไปมองว่าเป็นว่า เพราะหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไม่ช่วย อย่ามองอย่างนั้น มองใหม่ มองว่า

ประการแรก ชาวไทยทั้งประเทศนี่แหละในปัจจุบันนี้ที่บอกว่า นับถือพระพุทธศาสนานั้น ไปเรียกตัวกันมา แล้วให้แค่เล่าพุทธประวัติเท่านั้นแหละ เราจะพบว่า คนไทยและเด็กไทยที่เล่าพุทธประวัติตั้งแต่วันประสูติของพระองค์จนกระทั่งวันปรินิพพาน เอาแค่นี้
น้อยคนที่จะเล่าได้จบและถูกต้อง นี่ยังไม่ต้องพูดนะถึงหลักธรรมในพระพุทธศาสนา คือ ความจริงเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปัญหาใดๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่าเที่ยวเอาไปเปรียบเทียบว่า เป็นเพราะนับถือพระพุทธศาสนาแล้วเลยทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหา หรือทำให้ประเทศไทยตกต่ำ

แต่ต้องพูดใหม่ว่า ประชาชนคนไทยขณะนี้แม้ตัวเองจะบอกว่า ฉันเป็นชาวพุทธ  แต่ว่าความรู้ในพระพุทธศาสนามีไม่พอ หรือบางคนก็อย่างที่ว่า แค่จะให้เล่าพุทธประวัติเท่านั้น ยังเล่าไม่จบ

หลักธรรมพื้นฐานของชาวพุทธมีอะไรบ้าง ที่จะต้องมาใช้ในชีวิตประจำวัน แค่จะให้ไล่ว่า 
อบายมุข ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายเศรษฐกิจมีอะไรบ้าง เพียงแค่นี้ก็อาจจะตอบกันได้ แต่ไม่ครบ แถมบางคนเพียงแค่ศีล 5 ข้อ ก็ไล่ไม่จบ

เพราะฉะนั้น ปัญหาในประเทศไทย จึงไม่ใช่ปัญหาว่า เพราะนับถือพระพุทธศาสนาแล้วประเทศตกต่ำ ไม่ว่าในด้านไหน
แต่เป็นเพราะคนไทยเป็นชาวพุทธในทะเบียน คือลงทะเบียนว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าอะไร

เป็นชาวพุทธเพราะว่า พ่อแม่เป็นพุทธ หรือปู่ย่าตาทวดเป็นพุทธ แต่ใจของตัวเองไม่เคยได้ซึมซับเอาธรรมะในพระพุทธศาสนาเข้าไปไว้เลย 

จึงทำให้เมื่อดำเนินชีวิตประจำวัน จะไปประกอบธุรกิจการงานใดก็เคว้งคว้าง ไม่มีหลักธรรมจะยึด แล้วมันก็เลยทำให้ตัวเองก็ต้องตกต่ำ  แล้วประเทศชาติก็พลอยตกต่ำตามไปด้วย

ประการที่สอง ลูกเอ๊ย...มองอย่างนี้นะ ถ้าที่ไหนคนปฏิบัติธรรม ที่นั้นไม่ว่าเขาจะเป็นชนชาติไหน เผ่าไหน ถ้าเขาปฏิบัติธรรม แม้ปฏิบัติแล้วไม่รู้ด้วยว่า นี่เป็นหลักธรรมที่อยู่ในพระพุทธศาสนา เขาก็ต้องเจริญ

เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้มีความขยัน ให้มีความอดทน ถ้าเขาปฏิบัติธรรมข้อนี้ ทั้งขยัน ทั้งปฏิบัติธรรม แม้เขาไม่รู้ว่านี้เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็ต้องเจริญอยู่ดี

ตรงกันข้าม แม้รู้ด้วยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า เป็นคน ต้องขยัน ทำความดี ต้องอดทน ฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป
รู้แต่ว่าไม่ปฏิบัติ แม้บุคคลอย่างนี้ก็ไม่สามารถจะเจริญได้ และไม่สามารถจะพูดได้เต็มปากว่า เขาเป็นชาวพุทธ...ทำไม...เพราะว่าเขาเพียงแค่รู้ธรรมะ แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ

เพราะฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ คือปัญหาว่า ชาวพุทธไม่รู้จักพระพุทธศาสนา นี่พวกหนึ่ง คือ ไม่รู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เลยไปจนกระทั่งแม้ประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่รู้ พวกที่1 เป็นอย่างนี้

พวกที่2 แม้ประกาศตัวเป็นชาวพุทธ
 ได้ศึกษาธรรมะแล้วว่า ธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ดีอย่างนั้นอย่างนั้นๆ แต่เขามีไว้ท่องจำ...ท่องจำ 

ถ้าเป็นนักเรียนก็เอาไว้สอบ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็เอาไว้คุย เขาเพียงแต่ท่องจำได้  แต่เขาไม่ได้นำมาปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเขาเป็นเพียงชาวพุทธก็แต่ชื่อ ไม่ใช่พุทธตัวจริง

แต่ว่า
ถ้ารู้ธรรมะแล้วก็ปฏิบัติธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แหละชาวพุทธตัวจริง มองภาพตรงนี้ให้ชัด และชาวพุทธตัวจริงอย่างนี้แหละ ซึ่งทั้งรู้หลักธรรมะ และลงมือปฏิบัติธรรมะ 
คนอย่างนี้อยู่ที่ไหน เขาก็เจริญ  และพระพุทธศาสนาก็เจริญตามเขาไปด้วย

และถ้าจะให้ยิ่งดีกว่านี้...เป็นอย่างไร...ต้องทั้งรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็ทั้งสอน ทั้งชักชวนคนอื่นให้รู้และปฏิบัติธรรมะตามไปด้วย นี่แหละแสนจะวิเศษสุด
                                                                         
พูดง่ายๆ ชาวพุทธที่แท้จริง คือ บุคคลที่รู้และปฏิบัติธรรมะในระดับที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองได้ รวมทั้งเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ผู้อื่น ให้แก่ชาวโลกได้ นี่ชาวพุทธตัวจริง

และอยู่ที่ไหน รับรองว่าทำที่นั่นให้เจริญ ไม่เฉพาะต้องอยู่ในประเทศไทย อยู่ที่ไหนๆ ก็ทำให้ที่นั้นเจริญได้


คำถาม:ในฐานะที่กระผมเป็นนักธุรกิจ ก็มุ่งแสวงหาผลกำไรเป็นหลัก ผมอยากจะเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
ผู้ที่หวังผลกำไรเป็นหลักนั้น จะมีบาปกรรมติดตัวไปหรือไม่ครับผม

คำตอบ:ลูกเอ๊ย...ถ้าค้าขายแล้วไม่เอากำไร แล้วมันจะกินอะไรกันล่ะลูก ค้าขายมันก็ต้องเอากำไรเป็นธรรมดา แต่ว่าที่ไม่ใช่ธรรมดาก็มีอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่

1.
ค้าขายสิ่งที่ต้องห้าม ตรงนี้ไม่ว่าค้าแล้วจะเอากำไรหรือไม่เอากำไร ไอ้เจ้านี่บาป สิ่งที่ต้องห้าม อาชีพที่ต้องห้าม มีอะไรบ้าง ก็ตั้งแต่
  • ค้าอาวุธ เอาไว้ฆ่ากัน
  • ค้ามนุษย์ เช่น ค้าข้าทาส
  • ค้ายาพิษ เช่น ยาประเภท ยาฆ่าแมลง หรือยาเบื่อต่างๆ
  • ค้ายาเสพติด

อย่างนี้ไม่ได้ ค้าในสิ่งที่ไม่ควรค้าอย่างนี้ ยังไงเสียมันก็เป็นบาป

อย่าว่าแต่ค้าเลย เอาสิ่งเหล่านี้ไปแจกเขา มันก็เป็นบาป เอายาบ้า อย่าว่ายาบ้าเลยนะลูกนะ เห็นเดี๋ยวนี้ยังชอบทำกัน ในวันเกิด
เอาเหล้าเป็นของขวัญให้คนโน้นคนนี้...บาปทั้งนั้น

ตอนยังไม่กินเหล้า ยังพูดภาษาคนกันรู้เรื่อง พอกินเข้าไปแล้ว ภาษาคนพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว เพราะมันเมา

เพราะฉะนั้น ค้าเหล้าหรือแจกเหล้า เลี้ยงเหล้ากันนั่นน่ะ นั่นคือแจกความโง่ แจกความ...ถ้าว่าไปนะ...อย่าโกรธกันนะ...
นั่นน่ะแจกนรกให้กัน...อย่างนี้แค่แจกก็เป็นบาป

เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดว่าเอาไปค้า แล้วมีกำไรหรือขาดทุน บาปทั้งนั้น  ประเด็นนี้ต้องชัดด้วย 
ค้าในสิ่งที่ทำให้ความเป็นคนของผู้อื่นหมดไป เสียหายไป บาปทั้งนั้น จัดเป็นอาชีพต้องห้าม

ทีนี้ ถ้าค้าสิ่งที่ควรค้า อยากจะค้าอะไร ค้าเข้าไป ถ้าสิ่งนั้นๆ มันไม่ได้ทำลายใคร แล้วเราจะเอากำไรของเรา มันก็เรื่องของเรา ใครติไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อที่ควรระวังว่ามีสินค้าอยู่ 4ประเภท ที่ใครๆจะค้า และเอากำไรก็ไม่ว่ากัน แต่ว่าอย่าเกินควร ถ้าเกินควรล่ะก็
มันก่อให้ความเดือดร้อนกับคนส่วนรวมเขา ตรงนี้ก็เป็นบาป เพราะเกิดจากอกุศลจิตของเราที่อยากจะให้เขาเดือดร้อน มีอะไรบ้าง

สินค้าเกี่ยวกับปัจจัย4 ตรงนี้ต้องระวัง
1.อาหาร
2.เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
3.ที่อยู่อาศัย คือบ้านช่องห้องหอ ตลอดจนวัสดุก่อสร้าง
4.หยูกยาใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สี่อย่างนี้ ถ้าใครค้าขายเอากำไรเกินเหตุ หรือเข้าข่ายกักตุน นี่คือเจตนาที่จะให้เพื่อนร่วมโลกเดือดร้อน เสียหาย ตรงนี้ก็บอกว่าอย่าทำนะลูกนะ นรกจะกินหัวเอา

ถึงแม้ว่าการค้าขายในสิ่งเหล่านี้ หรือกักตุนในสิ่งเหล่านี้ด้วยการโก่งราคาอย่างที่ว่ามานี้  มันอาจจะไม่ผิดกฎหมายในบ้านเมืองนั้นๆ แต่ว่าลูก อย่าไปทำ ทำแล้วมันเป็นบาปติดตัว เกิดไปอีกกี่ภพกี่ชาติเบื้องหน้าล่ะก็ ไม่ว่าบังเกิดในภพไหนๆ เดือดร้อนตลอดชาติ เพราะฉะนั้นอย่าไปทำนะ

แต่ว่าสินค้าบางอย่างเสียอีก หลวงพ่อว่า โก่งราคาได้ โก่งเข้าไปเถอะ...อะไร...
พวกของฟุ่มเฟือยต่างๆ อยากจะโก่งราคาเอากำไรเยอะๆ ไม่มีใครว่ากัน เพราะมันเป็นของฟุ่มเฟือย มันไม่จำเป็น เช่นพวกเพชรนิลจินดา อยากจะตั้งราคาเท่าไหร่ ตั้งเข้าไปเถอะ ถ้าเขาซื้อล่ะก็ แพงเท่าไหร่แพงเข้าไป  อย่าไปกลัว ใครติเราไม่ได้

พวกน้ำหอมอะไรน่ะ...เราไปค้นมาได้...แหม...มันหอมแสนจะวิเศษเหลือเกิน แล้วถ้าเขายินดีจะจ่ายให้เราล่ะก็ โก่งราคาเท่าไหร่ เขาก็ยินดีจ่ายละก็ โก่งเข้าไปเถอะ...ลูกเอ๊ย จะได้รวยเร็วๆ รวยแล้วรีบเอามาทำบุญก็แล้วกันนะลูกนะ  ถ้าอย่างนี้เข้าท่าเชียว

เพราะฉะนั้น คำตอบสั้นๆ ในเรื่องว่าการค้าขายเอากำไรแล้วบาปไหม คือ
ถ้าค้าขายเอากำไรพอเหมาะพอควรไม่ว่าอะไร ก็ไม่บาป

และถ้าอยากจะได้ให้มันรวยเป็นพิเศษ รวยเร็วๆ
แล้วอยากจะโก่งราคาให้สูงๆ ก็มีทั้งที่บาป และไม่บาป

ถ้าไปค้าขาย ไปโก่ง ไปกักตุนสิ่งที่เป็นความจำเป็นในการยังชีพ สิ่งนั้นบาป ลูกอย่าทำ

แต่ว่าถ้าสิ่งนั้นเป็นของฟุ่มเฟือย แล้วเขายังอยากได้ ใครๆก็อยากได้ อยากประมูลแข่งกันแพงๆด้วย เอาไปเลย...ลูก...ทำได้...ไม่บาปหรอกนะ

คำถาม:มีคนรู้จักบางคนที่มีเงินเดือนมาก แต่ว่าพอใกล้สิ้นเดือนทีไร มักจะบอกว่าเงินเดือนไม่ค่อยพอใช้ อยากขอความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อแนะนำวิธีการใช้เงินให้กับเขาด้วยครับ
 

คำตอบ:ปัญหาเรื่องเงินไม่พอใช้...เงินเดือนมากก็ยังไม่พอใช้...ลูกเอ๊ย...ถ้าไม่รู้จักใช้ เท่าไหร่มันก็ไม่พอ อย่าว่าแต่ทำเงินเดือนใช้เลย เขายกโรงกษาปณ์มาให้เราพิมพ์แบงก์ ปั๊มแบงก์เอง พิมพ์เหรียญ ปั๊มเหรียญเอง ถ้าไม่รู้จักใช้ล่ะก็ เดี๋ยวเถอะ โรงกษาปณ์ก็ยังเจ๊งเลย

ปู่ย่าตาทวดเคยสอนเอาไว้ ในเรื่องการของใช้เงิน...เรื่องหาเงินไม่ต้องพูดกัน เพราะว่ายังไงๆถ้ามันได้น้อยละก็ โอกาสจะไม่พอใช้ มันก็เป็นไปได้อยู่แล้ว

แต่ว่าที่ถามมานี้ เท่าไหร่ๆก็ไม่พอใช้ อย่างนี้ โรคประเภทนี้ต้องแก้ไขด้วยตะพดเสียล่ะมั๊ง...ปู่ย่าตาทวดสอนไว้ว่า จะกินจะใช้อะไรนั้น  

ประการแรก ท่านว่าเอาไว้ จะกินจะใช้อะไร ท่านก็บอกว่า ลูก...
กินอีตอนหิว อย่าไปกินอีตอนอยาก ฟังชัดๆนะ เพราะว่า ถ้าจะไปกินอีตอนอยากล่ะก็ มันก็อยากอยู่เรื่อย ถ้าไปกินอีตอนหิวละก็ เออ...มันจำเป็น มันจะต้องกิน พูดง่ายๆหลักการตรงนี้ก็คือ

แยกให้ออกนะลูกนะ
Need กับ Want ความอยาก กับ ความจำเป็น
แยกให้ออก ความอยากไม่ใช่ความจำเป็น ความจำเป็นไม่ใช่ความอยาก
 
แต่ว่าคนส่วนมาก พออยาก อยากได้อะไรขึ้นมา อยากกินอะไรขึ้นมา เกิดความรู้สึกว่า ไอ้นี่คือจำเป็น ตรงนี้แหละที่มันทำให้ได้เท่าไหร่มันก็ไม่พอใช้ ก็พิจารณาตัวเองให้ดี นี่ข้อแรกก่อน คนที่จะบริหารเงินได้ดีล่ะก็ แยกให้ออกนะ Need กับ Want นี่เป็นประการแรก ถ้าแยกตรงนี้ออก โอ้...ชนะไปตั้งครึ่งค่อนแล้ว

ประการที่สอง ในการบริหารเงิน ปู่ย่าตาทวดก็พูดชัดดี โยมแม่ของหลวงพ่อเคยสอนหลวงพ่อเอาไว้ ลองฟังดู ท่านบอกว่า เออ...
เงินทองได้มา อย่าไปบริหารด้วยรายรับรายจ่าย แต่ให้บริหารด้วยรายเหลือ...ลูกเอ๊ย

คือคนส่วนมากคิดว่า ได้มากมันควรจะเหลือมาก ได้น้อยมันก็เหลือน้อย หรือไม่พอใช้ นี่มองเรื่องนี้ว่า เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ
 
ต้องอย่างนี้...โยมแม่ของหลวงพ่อท่านเคยอุปมาเอาไว้ ท่านบอกว่า เข่งใบใหญ่ๆ ชะลอมใบโตๆ เวลาจ้วงตักน้ำลงไป เมื่อเข่งหรือชะลอมยังอยู่ในน้ำ น้ำมันเต็มเข่งเต็มชะลอมนะลูก แต่พอยกขึ้นมาแล้วมันเหลือแต่เข่ง มันเหลือแต่ชะลอม มันไม่ติดน้ำหรอก หรือติดมา 2-3หยด

แต่กะลาใบเล็กๆ ขันใบเล็กๆ เออ...จ้วงลงไป มันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ว่ายกมา มันก็ยังเต็มขันเต็มกะลา

เพราะฉะนั้น เวลาจะบริหารเงิน จะใช้เงิน โยมแม่ก็เลยบอกหลวงพ่อว่า ลูก (ตอนนั้นยังไม่ได้บวช)
ได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญว่าเหลือเท่าไหร่

เพราะฉะนั้น ก่อนจะใช้เงิน รีบถามตัวเองว่า เดือนนี้อยากจะให้มันเหลือเท่าไหร่ ก็ตัดเอาไอ้ตัวนั้นออกมาเสียเลย เก็บมันเสียเลย จะเก็บไว้ที่ธนาคาร จะเก็บไว้ในรูปไหนก็ตามที เก็บมันไว้ เหลือนอกนั้นอาจจะไปใช้อะไรก็ไม่ว่า อย่างนี้คือ บริหารด้วยรายเหลือ

ถ้าลูกมองออกนะว่า Need กับ Want มันต่างกันตรงไหน แล้วใช้เฉพาะ Need ใช้เพราะว่ามันจำเป็น ไม่ใช่ว่าใช้เพราะอยากใช้ ไม่ใช่จ่ายเพราะอยากจ่าย
 
ลูกเอ๊ย...บริหารด้วยรายเหลือ ไม่ใช่บริหารด้วยรายรับรายจ่าย เราต้องรู้ประมาณว่า ควรจะให้มันมีเหลือเอาไว้ เผื่อเจ็บ เผื่อป่วย เผื่อไข้ บริหารให้ลงตัวตรงนี้ แล้วก็ไม่ตามใจปากตามใจท้องจนเกินไป เดี๋ยวเราก็บริหารได้ลงตัวเอง

แต่ที่แน่ๆ ก็จำไว้ก็แล้วกัน การเก็บหรือการเหลือเอาไว้ มันมีอยู่ 2อย่างนะลูกนะ เก็บส่วนหยาบ กับ เก็บส่วนละเอียด

เก็บส่วนหยาบก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ คือเอาส่วนเหลือไปฝากไว้ในธนาคาร มันก็ดี คราวป่วย คราวไข้ ก็จะได้มีใช้

แต่เก็บอีกอย่างนะ เก็บละเอียดนะลูก
เปลี่ยนทรัพย์นั้นให้เป็นบุญ รู้จักฝากธนาคารบุญ

ทำอย่างไร...ไปทำบุญทำทาน กับวัดวาอาราม สาธารณกุศลต่างๆ เปลี่ยนทรัพย์หยาบให้เป็นละเอียด
ทรัพย์ละเอียดนี้ จะติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ โจรก็ปล้นไม่ได้ ใครก็โกงไม่ได้ ไฟก็ไม่ไหม้ น้ำก็ไม่ท่วม

ดูวิธีเก็บทรัพย์ตรงนี้นะ ส่วนเก็บไว้ในธนาคาร หรือเอาไปเล่นหุ้น เอาไปเล่นแชร์ ก็ระวังด้วยก็แล้วกัน เพราะว่า IMF มันก็เคยอาละวาดให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว

บริหารทรัพย์ด้วยรายเหลือ เก็บทรัพย์ทั้งหยาบทั้งละเอียดเอาไว้จากรายเหลือนั้น

แล้วก็พิจารณาว่ามัน Need หรือมัน Want แล้วค่อยใช้เงิน ทำอย่างนี้ลูกเอ๊ย... ยังไงก็รวย

http://goo.gl/X1TeJ


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ทำอย่างไรจึงจะไม่ท้อไม่เหนื่อยในการทำงาน
      สาเหตุที่ทำให้โลกวุ่นวายมากขึ้น
      "สังคมเปลี่ยนไป" แนวทางการใช้ชีวิตเปลี่ยนตามพระพุทธศาสนามีคำแนะนำอย่างไร ?
      หลักการขยายกิจการให้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม
      คำสอนของวัดพระธรรมกายถูกต้องตามแนวทางคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาหรือไม่
      อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยก
      การสวดมนต์ให้พรของพระสงฆ์มีส่วนช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างไร
      ทำไม ? จีวรต้องเป็นสีเหลือง
      เราจะพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างไร ?
      เราจะปลูกฝังให้ลูกหลานทำหน้าที่ชาวพุทธให้สมบูรณ์ได้อย่างไร ?
      เราควรจะเลือกทำงานด้วยทัศนคติอย่างไรที่จะส่งผลให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
      การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร
      การดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจให้เหมาะสมแก่การฝึกสมาธิและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงธรรม




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  
  
  
  
  
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related