เมื่อทราบว่าทุกคนต่างเห็นด้วยในหลักการแล้ว อาจารย์เสนกะก็ได้แบ่งหน้าที่ให้ทุกคนไปทำ จากนั้นจึงได้แยกย้ายกันกลับไปทำตามแผนที่ได้วางไว้ ต่อมาไม่นาน ที่หน้าเรือนของมโหสถก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น คือมีนางทาสคนหนึ่งหาบหม้อน้ำมันเปรียง เดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าประตูเรือนของมโหสถ เหมือนเจาะจงจะขายให้เจ้าของเรือนหลังนี้เพียงผู้เดียว
นางไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา กลับวางพระจุฬามณีไว้ในหม้อตามเดิม เมื่อแม่ค้าเปรียงและสาวใช้มาถึง จึงซักถามว่านางเป็นใคร มาจากไหน แล้วจึงรับหม้อเปรียงนั้นเอาไว้ ครั้นแม่ค้าเปรียงกลับไปแล้ว นางอมราก็ได้บันทึกเหตุการณ์นั้นไว้อย่างละเอียด
วันต่อมา ก็มีแม่ค้าถือผอบดอกมะลิมาร้องขายอยู่ที่หน้าประตูเรือนของนางอมราเทวีอีก แล้วก็เป็นเช่นครั้งก่อน คือแม่ค้านั้นเที่ยวเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าประตูเรือนของนางเท่านั้น ไม่ยอมไปขายที่อื่นเลย กระทั่งนางอมราเทวีต้องเรียกแม่ค้าให้เข้ามา แล้วใช้อุบายเหมือนครั้งก่อน ในที่สุดนางจึงทราบว่าภายในผอบนั้นมีพระสุวรรณมาลาซุกซ่อนอยู่
นางแกล้งสอบถามดู จึงได้รู้ว่า แม่ค้านั้นเป็นนางทาสที่มาจากเรือนของอาจารย์ปุกกุสะ นางจึงรับผอบดอกมะลินั้นไว้ แล้วก็บันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวไว้โดยละเอียด
นางอมราเทวีคาดการณ์ในใจว่า อีกไม่ช้าก็คงจะมีนางทาสจากเรือนของอาจารย์กามินทะและอาจารย์เทวินทะนำสิ่งของอื่นๆมาขายให้กับนางอีกเป็นแน่ แล้วก็เป็นไปตามที่นางคาดคิดไว้จริงๆ คือเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ก็มีแม่ค้าขายผัก หิ้วกระเช้าผักมาจากเรือนของอาจารย์กามินทะ ภายในกระเช้านั้น ปรากฏมีผ้ากัมพลคลุมพระแท่นบรรทมพับเก็บไว้อย่างดี ปกปิดไว้ด้วยผักหลากหลายชนิดอย่างแนบเนียน เช่นเดียวกัน คือแม่ค้าที่มาจากเรือนของอาจารย์เทวินทะ นางซุกซ่อนฉลองพระบาททองคำไว้ในฟ่อนข้าวเหนียวแล้วนำมาขายให้แก่นางอมราเทวีด้วยวิธีการคล้ายกัน
นางอมราเทวีจึงได้ให้สาวใช้รับของเหล่านั้นไว้ทั้งหมด แล้วก็ไม่ลืมที่จะบันทึกเรื่องราวนั้นไว้เป็นหลักฐานเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ต่อมา นางอมราเทวีจึงตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมโหสถผู้เป็นสามี พอมโหสถทราบว่าอาจารย์ทั้งสี่กำลังคิดมุ่งร้ายต่อตนเช่นนั้น ก็หาได้มีความวิตกแต่อย่างใด กลับเป็นฝ่ายปลอบภรรยาให้คลายความกังวลว่า “อมรา เจ้าอย่าได้วิตกไปเลย ก็ในเมื่อผลใดๆก็ยังไม่ปรากฏ แล้วเราจะต้องวิตกกังวลไปไย รอดูผลที่จะปรากฏต่อไปก่อนจะดีกว่า”
มโหสถปลอบนางแล้ว ในใจก็ตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นกับตนได้ทุกขณะ จึงได้คอยเฝ้าระวังเหตุร้าย และหมั่นสอบถามข่าวคราวจากทางราชสำนักอยู่เรื่อยๆ
ฝ่ายอาจารย์ทั้งสี่ ครั้นได้ดำเนินการตามแผนการในขั้นแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระราชาถึงที่ประทับ แสร้งทูลถามท้าวเธอว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมุติเทพ หมู่นี้พวกข้าพระบาทไม่เห็นพระองค์ประดับพระจุฬามณีเลย พระพุทธเจ้าข้า”
อาจารย์ทั้งสี่รับพระดำรัสนั้นแล้ว ก็พากันไปนำมา แต่ครั้นไม่พบพระจุฬามณีในที่เก็บ รวมถึงเครื่องราชาภรณ์ของพระราชาอีกสามอย่าง จึงได้รีบกลับมาทูลพระราชาด้วยท่าทีตื่นตระหนกว่า “ขอเดชะ พระจุฬามณีของพระองค์ได้หายไปจากที่เก็บโดยไม่ทราบสาเหตุ พระพุทธเจ้าข้า”
ท้าวเธอทรงสดับดังนั้น ก็ทรงตกพระทัย พลันรับสั่งถามว่า “ท่านว่าอย่างไรนะ จุฬามณีหายไปอย่างนั้นรึ”
“ฮึ อย่างไรกัน ใครบังอาจมาลักของๆเราไปได้” อาจารย์ทั้งสี่เมื่อรู้ว่าท้าวเธอเริ่มจะทรงพิโรธ ก็แสร้งทำเป็นนิ่งเสีย เพื่อรอให้ท้าวเธอตรัสถาม
“มันผู้ใดอาจหาญ กล้ามาหยามหยันเรา มันผู้นั้นสมควรตาย” พระราชาตรัสด้วยทรงกริ้ว พระสุรเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับจะทำลายผืนปฐพีให้พินาศลง ครั้นแล้วพระพักตร์ของพระองค์ก็พลันบึ้งตึง พระเนตรทั้งสองแดงก่ำด้วยความพิโรธ ตรัสถามขึ้นว่า “พวกท่านสงสัยว่าใครกันที่กล้ากระทำการถึงเพียงนี้”
อาจารย์ทั้งสี่ เมื่อเห็นว่าพระราชาเป็นฝ่ายตรัสถามเอง จึงหันมามองหน้ากันและกันเป็นเชิงขอมติ ครั้นแล้วอาจารย์เสนกะจึงทูลว่า “ขอเดชะ ที่ข้าพระองค์ต้องทูลถามว่า พระองค์ไม่ทรงประดับพระจุฬามณีหรือ นั้นก็เพราะมีเหตุที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าข้า”
“เหตุผลอะไร จงพูดไปโดยเร็ว” พระราชาทรงเร่งเร้า อาจารย์เสนกะจึงทูลว่า “ขอเดชะ ก่อนหน้านี้พวกข้าพระองค์ได้ทราบข่าวมาเพียงเลาๆ ว่า มีผู้พบเห็นว่า มโหสถนำราชาภรณ์ของพระองค์ไปใช้ในเรือนของตน พระพุทธเจ้าข้า”“พวกข้าพระบาทไม่อาจคิดเห็นเป็นอย่างอื่นได้เลยพระเจ้าข้า” อาจารย์เสนกะทูลยุยง
ส่วนอาจารย์ทั้งสามก็กล่าวสนับสนุนเป็นแรงเสริมว่า “จริงพระพุทธเจ้า มโหสถคิดเป็นศัตรูกับพระองค์อย่างแน่นอน”พระราชาผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยพระราชอำนาจ เมื่อพิโรธคราวเดียว ย่อมทำความพินาศได้มากมาย ส่วนมโหสถและนางอมราเทวีซึ่งก็ทราบดีว่า ภัยจากพระราชาจะต้องมาถึงตนอย่างแน่นอน แล้วท่านทั้งสองจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/MOu27