ทศชาติชาดกตอนที่ 188จากตอนที่แล้ว พระเจ้าจุลนีได้ตรัสกับมโหสถว่า “เธอจะให้สัญญากับเราได้ไหมว่า เมื่อพระราชาของเธอเสด็จทิวงคตแล้ว เธอจะกลับมาอยู่กับฉันที่นี่ ฉันขอเพียงเท่านี้ล่ะ”มโหสถทูลรับสนองทันทีว่า “ขอเดชะ หม่อมฉันขอกราบถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อถึงเวลานั้น หากว่าหม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่ ก็จักกลับมาอยู่กับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าข้า”ครั้นถึงวันที่ต้องทูลลากลับมิถิลานคร มโหสถกราบทูลพระเจ้าจุลนีเป็นครั้งสุดท้ายว่า “พระองค์อย่าทรงวิตกถึงพระราชวงศ์เลย หากหม่อมฉันกลับไปถึงมิถิลานครแล้ว จะรีบส่งเสด็จพระราชชนนี พระเทวี และเจ้าชายปัญจาลจันทะ กลับมาโดยเร็วที่สุด พระเจ้าข้า”พระเจ้าจุลนีตรัสว่า “ขอบใจเธอมาก พ่อบัณฑิต ฉันจะรอ ฝากเธอช่วยนำบรรณาการเหล่านี้ไปมอบให้ลูกหญิงของฉันด้วย” แล้วตรัสประทานพรแด่มโหสถก่อนจะออกเดินทาง ด้วยพระดำรัสว่า “ขอพระเจ้าวิเทหราชจงทอดพระเนตรเห็นเธอกลับไปถึงมิถิลาโดยสวัสดิภาพเถิด”ข่าวการกลับมาของมโหสถบัณฑิตก็แพร่สะพัดไปทั่วพระนคร อาจารย์เสนกะทราบข่าวนั้น ก็สุดแสนจะดีใจ รีบกุลีกุจอขอเข้าเฝ้า เพื่อทูลถวายรายงานให้ทรงทราบข่าวนั้นทันที เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทรงสดับข่าวอันเป็นมงคลนั้นแล้ว ก็ทรงดีพระทัยยิ่งนัก รีบประทับยืนขึ้น แล้วทอดพระเนตรผ่านช่องพระแกลมองดู ณ เบื้องล่างในทันทีทันใดนั้นเอง พระองค์ทรงเห็นขบวนที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่พระนครในระยะไกล ใหญ่โตมโหฬารผิดสังเกต ก็ทรงฉงนพระทัยอย่างยิ่ง ทรงรำพึงว่า “คนของมโหสถมีน้อยกว่านี้มากนัก แต่เหตุไฉนขบวนที่ติดตามมาถึงได้ใหญ่โตถึงเพียงนั้น”พระเจ้าวิเทหราชทรงหวั่นพระทัย รับสั่งกับอาจารย์เสนกะว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเห็นไหมเล่า กองทัพมหึมาที่เคลื่อนใกล้เข้ามา ช่างน่าเกรงขามเหลือเกิน ทั้งกองช้าง กองม้า กองรถ กองราบ น่าสะพรึงกลัวนัก เห็นทีจะมิใช่ขบวนของมโหสถเสียแล้วกระมัง เป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจเป็นกองทัพของพระเจ้าจุลนียกมาแก้แค้นถึงที่นี่”อาจารย์เสนกะกราบทูลด้วยความมั่นใจว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดอย่าได้ทรงเคลือบแคลงพระทัยไปเลย พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์มั่นใจว่า มโหสถนั้นเป็นผู้มีปัญญา ย่อมสามารถคุมไพร่พลทั้งหมด เดินทางกลับมาถึงมิถิลาด้วยความสวัสดีมีชัยอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าข้า”พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทูลยืนยันของอาจารย์เสนกะแล้ว ก็ทรงสบายพระทัย ท้าวเธอจึงรับสั่งให้ทหารตีกลองป่าวประกาศไปทั่วพระนครว่า “ชาวมิถิลาทั้งหลาย จงพร้อมเพรียงกันตกแต่งพระนครให้งดงาม เพื่อต้อนรับการกลับมาของยอดมหาบัณฑิตเถิด”ชาวเมืองทราบข่าวมงคลเช่นนั้น ก็พากันประดับประดาบ้านเรือนสองข้างทางอย่างสวยสดงดงาม เฝ้ารอคอยต้อนรับการกลับมาของมโหสถบัณฑิตด้วยความยินดีปรีดา เมื่อมโหสถกลับถึงพระราชวังแล้ว ก็ตรงรี่ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชทันที พระเจ้าวิเทหราชทรงทอดพระเนตรมโหสถแล้ว ก็ทรงดีพระทัย รับสั่งถามด้วยความห่วงใยว่า “มโหสถเอย เธอรอดพ้นเงื้อมมือพระราชาจุลนีมาได้อย่างไร ไหนเล่าให้เราฟังซิ”มโหสถจึงทูลตอบว่า “ขอเดชะ ข้าพระองค์อาศัยปัญญาอันแยบคาย จึงสามารถหว่านล้อมพระเจ้าจุลนีให้ทรงยอมจำนนเสียได้ เหมือนมหาสมุทรที่ล้อมชมพูทวีปไว้พระพุทธเจ้าข้า”ครั้นแล้วมโหสถจึงทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ และไม่ลืมที่จะกราบทูลถึงเรื่องที่พระเจ้าจุลนีทรงพระราชทานเครื่องบรรณาการให้ตนอย่างมากมาย พระเจ้าวิเทหราชสดับดังนั้น ก็ทรงชื่นชมโสมนัส ถึงกับเปล่งพระอุทานขึ้นด้วยมหาปีติว่า “ท่านอาจารย์เสนกะ การอยู่ร่วมกับบัณฑิตเป็นสุขจริงหนอ มโหสถช่วยเปลื้องเราให้รอดพ้นจากเงื้อมมือศัตรู เหมือนปล่อยนกที่ถูกขังไว้ในกรงให้ได้รับอิสรภาพ ปฏิปทาของมโหสถช่างน่าสรรเสริญยิ่งนัก”พระเจ้าวิเทหราชตรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงมีประสงค์จะทรงเชิดชูเกียรติคุณมโหสถให้เป็นที่ปรากฏ ท้าวเธอจึงให้ทหารตีกลองร้องป่าวไปทั่วพระนครว่า “ผู้ใดมีความรักในเรา ผู้นั้นจงทำสักการะและยกย่องเชิดชูมโหสถลูกของเราเถิด”แล้วจึงชักชวนชาวเมืองทั้งหลาย ให้ร่วมกันสมโภชด้วยมหรสพครั้งใหญ่ เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนานรื่นเริงเป็นเวลาเจ็ดวัน เพื่อปรารภการกลับมาพร้อมชัยชนะอย่างงดงามของมโหสถ ที่มิใช่แต่เพียงปกป้องพระชนม์ชีพของพระองค์ และนำเหล่าข้าราชบริพารที่เหลือกลับคืนมิถิลานครอย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังสามารถเอาชนะพระทัยของพระเจ้าจุลนีให้ทรงยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย และยังหลีกเลี่ยงการสูญเสียเลือดเนื้อของไพร่พลทั้งสองฝ่ายอีกด้วยเมื่อถึงวันที่เจ็ด ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จัดให้มีเทศกาลมหรสพ มโหสถก็ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช ทูลขอให้ทรงส่งพระชนนี พระมเหสี และพระโอรสของพระเจ้าจุลนีกลับคืนสู่ปัญจาลนครในเร็ววัน พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงเห็นด้วย และรับสั่งให้ทำตามแต่มโหสถจะเห็นสมควร ครั้นได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว มโหสถจึงสั่งให้เตรียมขบวนส่งเสด็จกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ พร้อมกับถวายคืนหญิงงาม 100นาง และทาสีอีก 400นาง ที่ได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าจุลนี ให้คนเหล่านั้นตามเสด็จพระนางนันทาเทวีกลับคืนสู่ปัญจาลนครตามเดิมพระนางนันทาเทวีทรงดีพระทัยที่จะได้กลับไปหาพระราชสวามี แต่ก็ทรงเศร้าพระทัยที่จะต้องจากพระราชธิดาไป ในวันเสด็จกลับปัญจาลนคร พระนางทรงสวมกอดไว้แนบพระอุระ จุมพิตที่พระเศียรเบาๆด้วยความอาลัยรัก แล้วตรัสล่ำลาด้วยความเป็นห่วงว่า “ลูกรัก แม่ลาล่ะนะ เจ้าอยู่ทางนี้ ก็จงปรนนิบัติพระสวามีตามเยี่ยงอย่างขัตติยราชกุมารี อย่าให้เป็นที่ขุ่นเคืองเบื้องยุคลบาทนะลูก”ตรัสได้เพียงเท่านี้ พระนางก็ทรงกันแสง ครวญคร่ำรำพันด้วยศัพท์สำเนียงอันดัง “ลูกรักของแม่ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีวันใดที่เจ้าจะห่างไปจากอ้อมอกแม่ แต่บัดนี้ต้องมาพลัดพรากจากกันไกล แต่นี้ไปใครเล่าจะดูแลเจ้า”พระราชธิดาปัญจาลจันทีทรงตรัสอะไรไม่ออก พระนางสุดที่จะระงับพระทัยไว้ได้ ทรงเอาแต่กันแสงสะอื้นไห้ จนพระมารดาต้องตรัสปลอบอยู่นาน ทั้งๆที่พระนางนันทาเทวีเองก็สุดแสนจะอาลัยในพระธิดาผู้เป็นที่รักยิ่งดั่งดวงพระเนตร เมื่อต่างล่ำลากันและกันแล้ว กษัตริย์ทั้งสามพระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่ราชพาหนะ แวดล้อมด้วยเหล่าจาตุรงคเสนาอย่างสมพระเกียรติ ครั้นแล้วขบวนเสด็จก็ค่อยๆเคลื่อนออกจากมิถิลานคร เดินทางเข้าสู่เขตแดนปัญจาลนครโดยลำดับด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของมโหสถบัณฑิต ที่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆจากร้ายให้กลับกลายเป็นดีได้ ทำให้ทั้งสองเมืองมีสัมพันธไมตรีต่อกันประดุจเป็นสุวรรณปฐพีแผ่นเดียวกันได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ทุกอย่าง ส่วนว่าเรื่องราวของมโหสถบัณฑิตยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในบั้นปลายชีวิตของมโหสถบัณฑิตจะมีเหตุการณ์ที่ผันแปรอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปพระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/XkcPh