เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองก่อน แล้วจึงเป็นกัลยาณมิตรให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง

ถ้าจะกล่าวถึงหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์ เอาเข้าจริงๆแล้ว หน้าที่หลัก คือ การบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเอง และให้กับชาวโลก https://dmc.tv/a8128

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ช่วงเด่นฝันในฝัน > ปกิณกธรรม > นานาสาระ
[ 13 ก.ย. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18274 ]
ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 13 กัยนายน พ.ศ.2553
ตอน เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองก่อน แล้วจึงเป็นกัลยาณมิตรให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง
 
 
เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองก่อน
แล้วจึงเป็นกัลยาณมิตรให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง
พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
        ถ้าจะกล่าวถึงหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์ เอาเข้าจริงๆแล้ว หน้าที่หลัก คือ การบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเอง และให้กับชาวโลก และหน้าที่นี้ คือ หน้าที่แท้จริงตั้งแต่วันที่เราเกิดมา แต่ว่าบางคนไม่รู้หน้าที่นี้ของตัว ไปทำหน้าที่อื่นๆ...บางทีจนตลอดชีวิต แท้ที่จริงแล้ว ถ้าถามว่า “เราเกิดมาทำไม”_ก็ต้องบอกว่า “เราเกิดมามาแก้ไขตัวเอง”_เพราะตัวเรานั้นเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย เพราะความไม่รู้อะไรเลยของเรานี้เอง เมื่อเกิดมาก็อยู่ใต้กฎแห่งกรรม ถึงแม้ยังนอนแบเบาะ เราก็เริ่มทำกรรมแล้ว ทำกรรม...ทั้งดี ทั้งไม่ดี เมื่อก่อนหลวงพ่อก็ไม่ค่อยได้คิดอะไรมาก แต่วันนี้อายุเจ็ดสิบแล้ว จึงคิด...คิดแก้ไขตัวเองข้ามชาติ
 
        ถ้าเราสังเกต เราจะเห็นว่า เด็กที่นอนแบเบาะอยู่ เวลาหิวนม เด็กจะร้อง ทีแรกก็ร้อง แอ๊ะ...แอ๊ะ แต่ว่าพอร้องหลายแอ๊ะเข้า แล้วคุณแม่ยังไม่เอานมมาให้ เด็กก็จะเริ่มดิ้นเริ่มกระสับกระส่าย มือก็แกว่ง แล้วเดี๋ยวก็จะถีบเท้าด้วย เพราะแกหิว ต้องการเติมธาตุแก้หิว แต่ว่าเมื่อมาไม่ตรงเวลา เด็กก็เริ่มโกรธเป็น ถามว่าที่เด็กแกว่งมือหรือถีบเท้า แกอยากจะให้โดนใครหรือไม่ อยากจะให้ใครเจ็บหรือไม่ ลองก้มไปใกล้ๆ รับรองเลย ใครผมยาวๆแกทึ้งแน่ เราจึงได้คำตอบว่า ที่เด็กแกว่งมือหรือถีบเท้าก็เพื่อให้โดนใครๆ และต้องการให้เจ็บด้วย นี้เป็นสิ่งที่บอกว่า เด็กได้ทำกรรมเป็นแล้วตั้งแต่นอนแบเบาะ
 
        เพราะฉะนั้น ถ้าคุณแม่คนไหน แม้จะรักแสนรักลูก แต่อาจจะเป็นเพราะความจน หรือสาเหตุใดๆก็ตาม เพียงให้นมลูกไม่ตรงเวลาเท่านั้น แต่ลูกได้เพาะนิสัยเจ้าโทสะเอาไว้แล้วตั้งแต่เด็ก ถ้าใครมีเชื้อโทสะอยู่ในตัว ขอให้รับทราบไว้ว่า คงจะมาจากสองสาเหตุ คือ
 
1.เพาะติดตัวข้ามชาติมามาก (เพราะฉะนั้นชาตินี้ก็เริ่มแก้ไขเสีย)
2.คุณแม่ทั้งๆที่รักเรา แต่บางทีโดยฐานะบ้าง โดยเหตุขัดข้องบางประการบ้าง อาจจะให้นมไม่ตรงเวลา เราก็ดิ้นรนกระวนกระวาย ก็จะเพาะนิสัยเจ้าโทสะขึ้นมาได้ในชาตินี้
 
        ถ้าสองอย่างบรรจบกันเข้า แล้วปล่อยเรื้อรังเอาไว้ มันจะติดตัวข้ามชาติ มาถึงตรงนี้ ต้องขอฝากไว้ แก้ไขคนอื่นทั้งโลกยังเป็นเรื่องรอง แก้ไขตัวเองเป็นเรื่องหลัก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือนเอาไว้ว่า มนุษย์ส่วนมากมักจะคิดแก้ไขคนอื่น ไม่ค่อยได้คิดแก้ไขตัวเอง ดังนั้น ที่ถูกต้องก็คือ เรามีหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเอง แก้ไขตัวเองก่อน แล้วค่อยไปแก้ไขคนอื่นเท่าที่เราจะทำได้ จึงได้กล่าวในตอนต้นว่า หน้าที่นี้ คือ หน้าที่แท้จริงตั้งแต่วันที่เราเกิดมา
 
        ทันทีที่เกิด ทุกคนจะมีหน้าที่ติดมา กล่าวคือ ทันทีที่เกิดมาเป็นลูก ก็จะมีหน้าที่เป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ หากไม่ใช่พี่คนโต ก็จะมีหน้าที่เป็นน้องที่ดีอีกด้วย และต่อมาถ้าคุณแม่มีลูกเพิ่มขึ้น เราก็จะมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นพี่ที่ดี เมื่อโตขึ้นต้องไปโรงเรียน เราก็จะมีหน้าที่เป็นศิษย์ที่ดี เมื่อไปถึงโรงเรียนก็จะมีเพื่อน เราก็จะมีหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดี หน้าที่จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ที่กล่าวมานี้เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติ
 
        ครั้นจบการศึกษา ต้องประกอบอาชีพทำงานทำการ หน้าที่ก็เพิ่มขึ้นมา คือ มีหน้าที่เป็นประชาชนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี นี้เป็นหน้าที่โดยกฎหมาย และหากรับราชการ ก็มีหน้าที่ต้องเป็นข้าราชการที่ดี ถ้าไปทำงานตามบริษัท ห้างร้านต่างๆ ก็เช่นกัน หากไปเป็นหัวหน้า ก็มีหน้าที่เป็นหัวหน้าที่ดี หากไปเป็นลูกน้อง ก็มีหน้าที่เป็นลูกน้องที่ดี นี้เป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายกันเป็นทางการ
 
        ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่โดยธรรมชาติ หน้าที่โดยกฎหมาย และหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายกันเป็นทางการ ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แท้ที่จริงก็คือ การทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเอง และให้กับชาวโลก 
 
        ในวันที่เราประกอบพิธีวางแผ่นทองบรมจักรพรรดิ ณ บริเวณพื้นที่ก่อสร้างเสาจันทรา อาคาร 100-ปี คุณยายอาจารย์ฯ (วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ.2553)_ระหว่างที่นั่งดูพวกเรากำลังประกอบพิธีกันอยู่นั้น หลวงพ่อก็นึกอิ่มอกอิ่มใจไปด้วยว่า วัดของเราตั้งแต่เริ่มสร้างมา ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยหมด แม้แต่ในวันนี้...วันที่พวกเรามารำลึกถึงคุณยาย มากันมากมายเต็มวัด ผู้ที่มาวางแผ่นทองก็มีจำนวนมาก แต่เข้าแถวประกอบพิธีกันด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเห็นความเรียบร้อยอย่างนี้ ทำให้อดคิดถึงคุณยายอาจารย์ของเราไม่ได้ นึกถึงความที่คุณยายเคี่ยวเข็ญมา จนทำให้การประกอบพิธีใหญ่ๆอย่างนี้ คนมาเป็นหมื่นๆหรือบางครั้งมากันเป็นแสนๆ แต่เรายังรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ได้ จนมีวัดต่างๆหลายแห่งทั้งในและนอกประเทศ เริ่มทำตามมาได้อย่างงดงาม
 
        สิ่งเหล่านี้ ถือกำเนิดมาจากคุณยายอาจารย์ของเรา คุณยายสั่งนักสั่งหนา ตั้งแต่หลวงพ่อยังไม่ได้บวชว่า “คุณ...จำเอาไว้นะ ถ้าจะทำอะไรให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งหลาย จะต้องเกิดจากการยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับทำไม่ได้ และการที่จะยอมรับกันนั้น ต้องสะอาดนะคุณ ถ้าไม่สะอาดยอมรับกันไม่ได้”_คุณยายย้ำว่า “ถ้าสะอาดแล้วจะยอมรับ ถ้าไม่สะอาดแล้วจะจับผิดนะคุณ เมื่อยอมรับกันแล้วต่อแต่นี้จะทำอะไรก็จะง่าย ขอให้คุณช่วยดูด้วย ต่างหูต่างตาแทนยาย ไปดูเรื่องความสะอาดให้ดี แล้วมันจะทำให้ทุกคนที่มาถึงวัดเกิดความยอมรับกัน ถ้าความสะอาดไม่ถึง แต่ละคนที่มา นอกจากไม่ยอมรับแล้ว จะจับผิดด้วย”
 
        นี่จึงเป็นที่มาของชุดขาวที่เราใส่กันอยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าถ้ามีการใส่ชุดขาวแล้ว แต่ละคนที่มาวัดก็จะระมัดระวังกันว่า ของตัวเองจะต้องสะอาด เขาจึงต้องช่วยกันดูแลความสะอาดในวัดด้วย ไม่อย่างนั้น เขาก็นั่งไม่ลง และเป็นที่มาของวัดพระธรรมกายว่า แม้แต่เสื่อที่นั่ง อาสนะที่นั่ง เวลาเช็ดต้องเช็ดทั้งสองด้าน ต้องใช้สองคนช่วยกัน คนหนึ่งเช็ดด้านหน้า อีกคนหนึ่งเช็ดด้านหลัง ม้วนตามกันไป แต่มาวันนี้เราไม่ค่อยได้ใช้เสื่อกัน ภาพนี้จึงหายไป ยกเว้นเมื่อเวลาเราต้องออกไปประกอบพิธีต่างจังหวัด ภาพนี้จึงได้กลับคืนมา ทั้งหมดที่ทำนั้น มุ่งมาที่ทำอย่างไรจะเกิดความยอมรับกัน ถ้าไม่ยอมรับกันมันไปไม่ได้ ความรู้ที่คุณยายให้ไว้ อยู่นอกตำรับตำรา เป็นเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามองไม่เป็น...ก็มองไม่ออก
 
        ในระยะสามปีที่ผ่านมานี้ หลวงพ่อได้รับอาราธนาให้ไปช่วยอบรมครูบาอาจารย์ จะว่าทั่วประเทศก็ได้ มีทั้งครูบาอาจารย์ที่มาในโครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก เด็กดีวีสตาร์ และครูบาอาจารย์ที่ทางกระทรวงศึกษาธิการเปิดการอบรม หลวงพ่อไปพบเรื่องใหญ่ๆอยู่สองเรื่อง
 
        เรื่องแรก คือ เด็กไม่ค่อยยอมรับครูบาอาจารย์ จะว่า จะเตือนก็ยาก เมื่อซักถามต่อไป ครูบาอาจารย์ให้ข้อมูลว่า หากเตือนเด็ก เด็กก็จะโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน เดี๋ยวคุณแม่ก็จะมา มาต่อว่าครู ประมาณว่า “คุณให้วิชาความรู้ลูกฉันก็พอแล้ว”_ครูจึงต้องปล่อยเลยตามเลย จึงกลายเป็นว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้วระหว่าง บ้าน กับ โรงเรียน ในกรณีอย่างนี้ จะแก้ปัญหากันอย่างไร ก็ต้องยอมรับว่า เริ่มแก้ยาก เพราะที่บ้านควรที่จะต้องดูแลลูกหลานแต่ก็ไม่ได้ดูแล ครูจะทำงานของครูก็โดนที่บ้านเข้ามาก้าวก่าย
 
        เรื่องที่สอง คือ ปัจจุบันนี้ คุณพ่อคุณแม่บางท่าน แยกไม่ออกว่า ดีกับชั่ว เป็นอย่างไร
 
        หน้าที่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก (ในส่วนนี้จะกล่าวถึงเฉพาะเด็กเล็ก ในส่วนของเด็กโตของผ่านไปก่อน) มีดังนี้
 
1.ห้ามลูกทำความชั่ว
2.ส่งเสริมลูกทำความดี
3.ส่งเสริมการศึกษา
 
        แต่เมื่อคุณพ่อคุณแม่บางท่าน แยกไม่ออกว่า ดีกับชั่ว เป็นอย่างไร ปัญหาจึงเกิดขึ้น เรื่องการแยกว่า...ดีหรือชั่ว ไม่ใช่เฉพาะในยุคนี้ที่แยกกันไม่ออก แม้เมื่อสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก่อนที่พระองค์จะทรงออกบวช ทั้งโลกก็แยกไม่ออก ดังนั้น ในวันที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกบวช พระองค์จึงตรัสว่า...ที่ออกบวชนี้เพื่อต้องการแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล
 
        ตรงนี้ขอขยายความว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกบวชเพื่อแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล หมายถึง อะไรคือ ดี ซึ่งแน่นอน...ถ้ารู้ว่า อะไรดี ก็จะรู้ว่าอะไรชั่ว รวมถึงรู้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อยู่ในตัว เจ้าชายสิทธัตถะต้องเสด็จออกบวชเพื่อแสวงหาว่า อะไรดี อะไรชั่ว ให้ได้ก่อน เพราะพระองค์จะต้องเป็นผู้นำของชาวโลก แต่ถ้าพระองค์ตัดสินให้กับชาวโลกไม่ได้ว่า ดีกับชั่ว บุญกับบาป นั้นเป็นอย่างไร คนทั้งโลกก็ไปไม่รอด
 
        แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล แต่ว่าเจ้ากรรมจริงๆ คนมีปัญญาเท่านั้นจึงจะตามได้
 
        เนื่องจากในการตัดสินดี-ชั่วของโลกในยุคนี้ ปัจจุบัน เขาตัดสินโดยกฎหมาย เขาไม่ได้ตัดสินโดยศีล ไม่ได้ตัดสินโดยกุศลกรรมบถที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ เพราะฉะนั้น คุณแม่คุณพ่อในปัจจุบันนี้ ดี-ชั่ว ไม่ค่อยจะรู้จัก จะรู้จักแต่ว่าผิด-ถูกตามกฎหมาย อีกทั้งผิด-ถูกอย่างนี้ การตัดสินขั้นสุดท้ายก็ไปอยู่ที่ศาลฎีกา ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ผลสรุป นี้คือสิ่งที่เป็นในโลกปัจจุบัน
 
        ในช่วงที่หลวงพ่อเริ่มเข้าวัดแล้วได้ประมาณสักปีหนึ่ง แต่ยังไม่ได้บวช ผู้ใหญ่ในวงการยุติธรรมท่านหนึ่งได้ให้ข้อคิดกับหลวงพ่อไว้ว่า “คุณรู้ไหมว่าการตัดสินผิดถูกดีชั่วด้วยกฎหมายนั้น จริงๆแล้วเป็นการตัดสินชั้นต่ำสุด ไม่ใช่ชั้นสูงสุด ชั้นสูงสุดแล้วต้องตัดสินกันโดยธรรม หย่อนลงมาหน่อยตัดสินกันโดยศีล หย่อนลงมาอีกตัดสินกันโดยวัฒนธรรม แล้วที่แย่ที่สุด คือ พูดกันไม่รู้ภาษาคนแล้ว เขาจึงตัดสินกันด้วยกฎหมาย”
 
        แต่วันนี้ คนไทยทั้งประเทศกำลังเอากฎหมายเป็นตัวตั้ง เพราะฉะนั้นแม้พ่อกับลูก พอพูดกันไม่ลงตัวก็ฟ้องร้องกัน ขึ้นศาลกัน นี้เป็นตัวอย่าง นี้เป็นความผิดพลาด พ่อกับลูก คนในครอบครัว คนในวงศ์ญาติ หรือแม้กับเพื่อนบ้าน ต้องตัดสินกันด้วยธรรม คือ เอาความเมตตากรุณากันเป็นหลัก แต่ถ้าในกรณีนั้นๆ ตัดสินกันโดยธรรมบางทียังไม่รู้เรื่อง ก็ต้องตัดสินกันโดยศีล มันก็พอบันยะบันยังกันไป มันก็จบแค่นี้ไม่ต้องก่อเวรก่อกรรมกัน หย่อนไปจากนั้นอีก พูดโดยธรรมก็แล้ว พูดโดยศีลก็แล้ว ยังไม่ได้ ก็ต้องเอาขนบธรรมเนียมประเพณี มาว่ากันเอามาคุยกัน เช่น ในวงการค้าเรามีธรรมเนียมกันอย่างนี้ ในวงราชการหน่วยโน้นหน่วยนั้นเรามีธรรมเนียมปฏิบัติกันอย่างนี้ ก็ว่ากันไป
 
        เมื่อคุณพ่อคุณแม่มองไม่ออกว่า ดี-ชั่วตัดสินอย่างไรตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ก้าวก่ายไปหมด ก้าวก่ายไปทุกเรื่อง ถือเอา ดี-ชั่ว ผิดถูก โดยกฎหมาย จึงทำให้ครูบาอาจารย์เดือดร้อนหมด วันนี้คุณพ่อคุณแม่ลืมหน้าที่สองข้อแรกไป (1.ห้ามลูกทำความชั่ว 2.ส่งเสริมลูกทำความดี)_แต่เน้นที่หน้าที่ข้อที่สาม (3.ส่งเสริมการศึกษา)_มุ่งจะส่งลูกให้ไปเรียนในโรงเรียนดีๆ คุณครูจึงแย่กันหมด ตั้งใจจะสอนเด็กให้ดี แต่เมื่อเด็กเกเร จะห้ามจะดุจะว่ากล่าว แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอม คิดว่าเพียงแค่ครูให้วิชาความรู้แก่ลูกของตนก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเกิดปัญหา เป็นเรื่องวุ่นวายกันอยู่ขณะนี้
 
        ถ้าคุณพ่อคุณแม่ท่านใด มีความรู้สึกว่าลูกหลานในบ้านของตัวเอง...
 
1.ทำอะไรไม่เป็น
2.พูดอะไรไม่ค่อยจะเชื่อ
3.พี่น้องเกี่ยงงานกัน
 
        วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุด คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องลงมือทำความสะอาดบ้าน แล้วเรียกลูกๆทุกคนมาช่วยกันทำ ในวันหยุดโดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ หรือใครหยุดวันไหนก็ตาม ตามลูกมาทำของง่ายๆ คือ ปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดให้ยิ่งๆขึ้นไป ลูกที่เคยเกี่ยงกัน ก็จะไม่เกี่ยง หรือลูกประเภทที่อะไรอะไรก็ต้องรอคุณแม่รอคุณพ่อหมด ก็จะทำอะไรด้วยตัวเองได้ วันนี้คุณพ่อคุณแม่นำลูกๆทำความสะอาดก่อน สิ่งที่พบ คือ ลูกหลานหลายๆคนอยากจะทำงานบ้าน อยากจะเป็นคนเก่ง แต่คุณพ่อคุณแม่แย่งงานบ้านไปทำหมด ลูกเลยไม่ได้ทำ
 
        คุณแม่ท่านหนึ่งและลูกสาวได้มาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า หลังจากที่ลูกสาวได้ช่วยคุณแม่ทำความสะอาดบ้าน ทั้งๆที่ทำเรียบร้อยบ้างไม่เรียบร้อยบ้าง ลูกสาวก็รู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์ขึ้นมาก เสน่ห์อยู่ตรงไหน...ไม่ได้อยู่ที่ความสวย เสน่ห์อยู่ตรงที่เมื่อเข้าไปในหมู่พรรคพวกแล้ว พรรคพวกยอมรับ ไม่ว่าจะไปแค้มป์หรือจะไปทำอะไรกับพรรคพวก ไม่ว่าจะทำอะไร รู้สึกว่าเมื่อหยิบเมื่อจับแล้วมันทำเป็นไปหมด มันกลายเป็นเสน่ห์ ตรงนี้ก็ฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับหลายท่านที่ยังคิดว่า ถ้าให้ลูกทำงานบ้านแล้ว นี่มันเป็นงานของคนรับใช้ ให้ลูกไปอ่านหนังสือดีกว่า ก็เปลี่ยนความคิดได้แล้ว ให้ลูกลงมาช่วยแค่ทำความสะอาด แล้วลูกก็จะเริ่มมองสภาพของชีวิตจริงๆเป็น และความมีเสน่ห์ ความน่ารัก การยอมรับของเพื่อนฝูงของตัวลูกก็จะเกิดขึ้น สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวการพิจารณาในสิ่งที่ลึกซึ้งต่างๆจะเกิดขึ้นอีก
 
        สามปีที่หลวงพ่อต้องไปอบรมให้กับคุณครูตามโรงเรียนต่างๆ ก็ได้เจอปัญหาใหญ่ๆสองเรื่องดังที่กล่าวมานี้ สำหรับการแก้ไข ก็ต้องไปเริ่มแก้กันที่บ้าน โดยนำคำสอนของคุณยายที่ฝากไว้ว่า “ถ้าสะอาดแล้วจะยอมรับ ถ้าไม่สะอาดแล้วจะจับผิด”_เรื่องนี้ลองทบทวนกันให้ดี ถ้าความสะอาดที่บ้านยังไม่ได้ดี ดี-ชั่ว ก็ไม่ต้องพูดถึง ความสะอาดในบ้าน ความสะอาดทางกาย ยังทำไม่ได้ ความสะอาดทางใจก็คงจะยาก การแก้ไขในเรื่องต่างๆก็คงจะยาก เพราะจะไม่มีการยอมรับ ในวันนี้ ปรากฏว่าเมื่อตามไปถึงบ้านแล้ว แม้แต่ตัวคุณแม่เองบางท่าน ก็เริ่มไม่เป็นที่ยอมรับของคุณลูกเสียแล้ว นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัว
 
        มาถึงตรงนี้ทำให้หลวงพ่อ นึกถึงคำสอนของคุณยาย เมื่อครั้งที่หลวงพ่อบวชได้ประมาณสักสองสัปดาห์ คุณยายก็บอกว่า “ท่านต้องช่วยยายเทศน์แล้วนะ ยายอายุมากแล้ว”_หลวงพ่อได้บอกกับคุณยายว่า “ยาย...พระยังไม่ได้เรียนการเทศน์เลย เพิ่งบวชมาได้ไม่กี่วัน ไม่รู้ว่าจะเทศน์เรื่องอะไร จึงจะเหมาะสมกับผู้ฟัง และยังไม่ได้เรียนวิธีเทศน์ด้วย”
 
        ในส่วนของการที่จะเทศน์เรื่องอะไร คุณยายสอนไว้ชัดเจนว่า “คุณ...มันจะไปยากอะไร เรื่องที่คุณจะเทศน์นั้น คุณก็ถามตัวเองว่า ตั้งแต่มาอยู่กับยาย คุณแก้ไขตัวเองในเรื่องอะไรได้บ้าง ตรงนี้สำคัญนะ นั่นคือหลักการเทศน์ คุณก็เอาเรื่องนั้นแหละมาเทศน์ให้เขาฟัง”
 
        หลวงพ่อถามคุณยายว่า “แล้วมันจะตรงกับที่เขาต้องการหรือ”
 
        คุณยายตอบว่า “ถึงอย่างไรก็ตรง เพราะว่าคนทั้งโลกนั้น เมื่อร้อยปีพันปีที่แล้วเขาก็มีโลภ โกรธ หลง และเดี๋ยวนี้เขาก็มีโลภ โกรธ หลง แล้วต่อไปอีกกี่พันปีข้างหน้าเขาก็มีโลภ โกรธ หลง เพราะฉะนั้น เรื่องที่คุณแก้ไขไป มันก็เป็นเรื่องหนึ่งเรื่องใดในโลภ โกรธ หลง มันต้องตรงกับเขาจนได้นั่นแหละ คุณเอาเรื่องนั้นมาเล่าให้เขาฟัง ไม่ใช่ไปอ่านแล้วเอามาเล่าให้ฟังนะ ต้องเอาเรื่องที่คุณแก้ไขตัวเองได้แล้วมาเล่าให้เขาฟัง”
 
        ตรงนี้ต้องพิจารณาให้ดี ถ้าเราเอาเรื่องที่เราแก้ไขตัวเองได้แล้วมาเล่าให้เขาฟัง ถ้าเป็นอย่างนี้หมายความว่า เราเป็นกัลยาณมิตรให้ตัวเองก่อน แล้วค่อยเป็นกัลยาณมิตรให้คนอื่น ประเด็นอยู่ที่ตรงนี้
 
        วันนี้ คุณพ่อคุณแม่ตัดสินดี-ชั่วไม่เป็น รวมถึงคนทั้งบ้านทั้งเมืองก็เป็นทำนองเดียวกัน ตัดสินทุกอย่างโดยกฎหมาย เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ยังเป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองไม่ได้ เมื่อคุณพ่อคุณแม่เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองไม่ได้ ก็มีทางเดียว คือ ตามใจลูกกันหมด เมื่อตามใจลูกกันหมด ลูกฟ้องอะไรมาจากที่โรงเรียนคุณพ่อคุณแม่ก็เชื่อหมด และสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ในปัจจุบันนี้กลัว คือ กลัวลูกไม่รัก เพราะฉะนั้นจึงปล่อยหมด เมื่อปล่อยหมด ความดีขั้นต้นของมนุษย์ คือ ความสะอาด ลูกก็ทำไม่เป็น แม้แต่การทำความสะอาดบ้านก็ทำไม่เป็น ล้างถ้วยล้างจานก็ทำไม่เป็น ทุกอย่างในบ้าน...ลูกจึงรับผิดชอบอะไรไม่เป็น เมื่อเป็นอย่างนี้สอนดีสอนชั่วก็จะไม่รู้เรื่อง
 
        เพราะฉะนั้นก็ฝากด้วย รักษาความสะอาดให้ดี จากความสะอาดตรงนี้ จะเป็นการทำตัวอย่างให้ลูกดู แล้วให้ลูกลงมือทำด้วย จับมือลูกทำให้ได้ เมื่อลูกทำได้แล้ว การยอมรับอย่างอื่นก็จะตามมา ต่อไปข้างหน้า เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้ศึกษาธรรมะ แล้วเอามาสอนลูก ลูกก็จะรับได้ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ปล่อยให้ลูกไม่รักความสะอาดตั้งแต่ต้น วันหลังแม้คุณพ่อคุณแม่เรียนธรรมะ แต่ว่ารู้แล้ว จะเอามาสอนลูก จะยาก เพราะลูกคุ้นกับความสกปรกไปเรียบร้อยแล้ว แกไม่เอาหรอก ขอย้ำอีกครั้งว่า หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ข้อสำคัญ คือ ห้ามลูกไม่ให้ทำชั่ว สอนลูกให้ตั้งอยู่ในความดี คุณพ่อคุณแม่เวลาอบรมลูกอย่าเพิ่งไปมองเรื่องดีเรื่องชั่วทางกฎหมาย อย่าเพิ่งไปมองเรื่องดีเรื่องชั่วทางขนบธรรมเนียม แต่ขอให้มองเรื่องดีเรื่องชั่วโดยธรรมก่อน มองตรงนี้ก่อน
 
        หลวงพ่อขอฝากไว้ด้วย ใครจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ช่วยดูแลความสะอาดทุกจุดในบ้านเรือนของตัว รวมไปถึงความสะอาดทุกจุดในวัดที่ตัวไปอยู่ไปอาศัยไปสร้างบุญสร้างกุศล ช่วยกันรักษาความสะอาดให้ดี ถ้าทำกันได้ดีอย่างนี้ เดี๋ยวอย่างอื่นแก้ไขได้หมด อย่าให้เป็นอย่างที่มีคำอยู่ประโยคหนึ่งว่า “คนเดี๋ยวนี้ ขยะทิ้งได้ทุกแห่งยกเว้นถังขยะ”_เพราะนั่นเท่ากับบอกว่า เราพร้อมที่จะทำความสกปรกให้เต็มบ้านเต็มเมือง
 
        สิ่งเหล่านี้อย่ามองข้าม จะแก้ไขทุกอย่างที่บ้าน จะแก้ไขทุกอย่างที่ทำงาน แก้ไขที่ความสะอาดก่อน การแก้ไขที่ความสะอาด ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ใครเป็นหัวหน้าที่ไหนก็ให้ลงมือทำความสะอาดที่นั่น ทำก่อนเลย ไม่ต้องไปเกี่ยงใคร ถ้ามีลูกน้องมาก ก็นำลูกน้องทำความสะอาด เมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทำความเป็นระเบียบให้เกิดขึ้นด้วย จากนั้นการจับผิดจะค่อยๆคลายไปจากที่นั้น แล้วความลงตัวในเรื่องต่างๆก็จะตามมา เพราะเราได้เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองก่อน แล้วจึงเป็นกัลยาณมิตรให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง
 
        ในส่วนของวิธีการเทศน์ คุณยายได้สอนหลวงพ่อว่า “คุณชอบใจวิธีการเทศน์ของครูบาอาจารย์ท่านไหนที่คุณเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านมา ก็เอาวิธีนั้นมาก่อน เอาของหลายๆท่านมารวมกันก็ได้ แล้ววันหนึ่งคุณก็จะได้วิธีการเทศน์เป็นของตัวเอง”
 
        หลวงพ่อขอฝากพวกเราที่อบรมพระแสนรูปกันอยู่ในขณะนี้ด้วยว่า วัฒนธรรมของคุณยายในเรื่องของการรักษาความสะอาด ขอให้ช่วยไปทำให้ดี และช่วยกันขยายให้กว้างออกไปทั้งที่โรงเรียน ทั้งที่วัดที่เราไปอยู่ และที่บ้านด้วย ถ้าได้ช่วยกันอย่างนี้ เดี๋ยวอะไรต่ออะไรในบ้านเมืองของเรามันจะค่อยๆดีขึ้นเอง
 
        ในช่วงนี้เวลาที่หลวงพ่อได้ไปเยี่ยมวัดในจังหวัดต่างๆ ปรากฏว่า พระผู้ใหญ่ที่ไปร่วมงานในพิธีตักบาตรที่เราจัดกันอยู่นั้น ท่านชื่นชมว่า วัดพระธรรมกายมาช่วยทำให้เกิดการตักบาตรหนึ่งพันรูป สามพันรูป ห้าพันรูป เมื่อก่อนจัดตักบาตรพระร้อยรูปท่านก็ปลื้มใจแล้ว เมื่อวัดพระธรรมกายมาช่วยกันจัดก็เป็นหลักพันขึ้นมา ท่านก็ยิ่งปลื้มใจ ยิ่งตอนนี้เป็นหลักหมื่นแล้วท่านก็ยิ่งปลื้มใจ
 
        นอกจากจะชื่นชมแล้ว มีอยู่หลายรูป ท่านถามสั้นๆว่า “ที่มาชวนกันตักบาตร ครั้งละเป็นพันเป็นหมื่นรูป โดยตั้งชื่อว่า โครงการตักบาตรพระห้าแสนรูป 76-จังหวัดทุกวัดทั่วไทย ตักบาตรกันทั้งประเทศ อย่างนี้ คิดได้อย่างไร”
 
 
        หลวงพ่อจึงได้อธิบายให้ท่านฟังว่า...เราก็มีหลักกันอยู่แล้วว่า คนจะเจริญหรือเสื่อมขึ้นกับบุญส่วนตัว ครอบครัวจะเจริญหรือเสื่อมขึ้นกับบุญของทั้งครอบครัว ประเทศจะเจริญหรือเสื่อมขึ้นกับบุญของประชาชนทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะให้ประเทศไทยเจริญก็จะต้องเติมบุญให้คนทั้งประเทศไทย จะต้องนำคนไทยทั้งแผ่นดินมาร่วมกันทำบุญ โดยนิมนต์พระเป็นจำนวนมากๆมาเป็นเนื้อนาบุญ
 
        บางท่านได้เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า พวกท่านก็จัดกันที่วัดของท่าน แต่ไม่เคยเรียบร้อย ท่านเห็นเราจัดกันเป็นพันรูปเป็นรูปหมื่นอย่างนี้ จัดได้เรียบร้อย จะทำต้องอย่างไรให้วัดของท่านจัดแล้วเรียบร้อยอย่างนี้ อย่าว่าแต่จัดเป็นพันเป็นหมื่น แค่ร้อยเดียวก็วุ่นกันทั้งวัดแล้ว
 
        หลวงพ่อก็เรียนให้ท่านทราบว่า นี่คือการเติมบุญให้วัดของท่าน ดังนั้นการที่จะเติมบุญให้วัด ก่อนอื่นท่านจะต้องไปทำความสะอาดในวัดของท่านให้เรียบร้อย ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมในวัด แล้วท่านก็จะจัดตักบาตรให้เรียบร้อยได้เหมือนอย่างที่พวกเราทำ
 
        วัดพระธรรมกายเวลาจัดงาน มีหลักปฏิรูปเทส 4 คือ
 
1.สถานที่เป็นที่สบาย คือ สถานที่จัดงานก็ดี ที่จอดรถก็ดี สถานที่ทุกแห่งในวัด ต้องจัดการให้สะอาด
 
2.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึงทั้งอาหารใหม่-อาหารเก่า อาหารใหม่ คือ อาหารที่เราเตรียมไว้เป็นภัตตาหารถวายพระ และสำหรับญาติโยม รวมไปถึง ภาชนะถ้วยจาน อาหารเก่า นั้นหมายถึงในเรื่องของห้องน้ำ สิ่งเหล่านี้ต้องจัดการให้สะอาด
 
3.บุคคลเป็นที่สบาย คือ ทั้งคนภายในวัด และแขกที่มา ต้องจัดเตรียมให้ดีว่าบุคคลในวัดจะแบ่งงานกันอย่างไร สำหรับแขกที่มา ต้องกำหนดว่าจะรับรองกันที่ไหนอย่างไร เป็นต้น
 
4.ธรรมะเป็นที่สบาย คือ เตรียมเรื่องที่จะเทศน์ เรื่องที่จะอบรม เมื่อญาติโยมมาวัดกันแล้ว ก็ต้องมีการเทศน์การอบรมกัน
 
        แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องเตือนกันตั้งแต่ต้นว่า ต้องสะอาดก่อน แล้วจะให้ญาติโยมที่มาทำอย่างไร เขาทำหมด และจะให้พระที่นิมนต์มาทำอย่างไร ท่านก็ทำให้หมด จะไม่มีใครเกี่ยง ปรากฏว่าท่านได้นำหลักการนี้ไปใช้ไปทำกัน แล้วท่านก็บอกว่ามันได้ผลจริงๆ
 
        จากที่หลวงพ่อได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากจะให้ประเทศไทยเจริญก็จะต้องเติมบุญให้คนทั้งประเทศไทย”_บางท่านก็ถามว่า “บุญก็มีตั้งสามอย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา ทำไมไม่ชวนกันทำภาวนาทั้งประเทศ หรือ รักษาศีลทั้งประเทศ ซึ่งลงทุนน้อย แต่การชวนทำทานทั้งประเทศต้องลงทุนมาก”
 
        หลวงพ่อได้กราบเรียนท่านไปว่า ถ้าเราชวนทำภาวนาทั้งประเทศ ก็คงจะมีแต่ผู้ใหญ่ที่เป็นชาววัดเท่านั้น ประชาชนโดยทั่วไปเขาก็จะไม่มาร่วมทำกับเรา หรือไม่เช่นนั้นก็จะมีแต่พระ ถ้าชวนทำภาวนา นั่งสมาธิกันทั้งประเทศ ความร่วมมือหรือการเห็นความสำคัญ คงจะเป็นเฉพาะชาววัด จะเห็นได้จากการที่หากเราไปงานศพหรือไปงานอะไรก็ตาม ที่มีการไว้อาลัยหรือแผ่เมตตา โดยมากก็จะใช้เวลาเพียงแค่ประมาณหนึ่งนาทีเท่านั้น ชวนรักษาศีลทั้งประเทศก็ทำนองเดียวกัน คงจะยาก ชวนทำทานกันทั้งประเทศอย่างนี้...ง่ายที่สุด แม้จะต้องลงทุนก็ต้องทำ เพื่อจะได้เป็นการกำจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว และเพิ่มความเห็นอกเห็นใจด้วย
 
        บางท่านก็ถามว่า “แล้วทำไมจึงไม่ตั้งเป้าว่าตักบาตรเพื่อประเทศไปเสียเลย ทำไมจึงตั้งเป้าว่าเพื่อช่วยพุทธบุตรในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้”
 
 
        หลวงพ่อได้เรียนชี้แจงไปว่า ถ้าประชาสัมพันธ์ว่า ตักบาตรเพื่อประเทศ บางทีคนก็อาจจะยังอ้อยๆอิ่งๆ ทำเชื่องช้าเหมือไม่เต็มใจ ความจริงเราก็ต้องการจะเติมบุญทั้งประเทศ แต่ถ้าเป้า คือ ทั้งประเทศ มันใหญ่ บางทีคนอาจจะตามไม่ทัน หากเอาเป้าจำเป็นเฉพาะหน้าอย่างนี้จะได้เร็วและภาพจะชัด แล้วความร่วมมือก็จะมาก ด้วยเหตุนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่จึงกำหนดลงไปเลยว่า การตักบาตรนี้ช่วยกันลงไปที่ภาคใต้ แม้ช่วยกันลงไปที่ภาคใต้ แต่ว่าได้บุญกันทั้งประเทศ ตรงนี้เองเป็นกุศโลบาย พอดีมีเหตุทางภาคใต้ จึงหยิบเอาเหตุจูงใจนี้ขึ้นมา ที่มีเหตุภาคใต้ แสดงว่าบุญทั้งประเทศหย่อน แต่ที่หย่อนมาก คือ ภาคใต้ เพราะฉะนั้นต้องรีบดับไฟใต้เสียให้เรียบร้อยก่อน
 
        บางท่านถามว่า “มีข่าวลือว่า ข้าวปลาอาหารที่บิณฑบาตไปไม่ถึงภาคใต้”
 
        หลวงพ่อก็เรียนชี้แจงข้อเท็จจริงให้ท่านทราบว่า หากเป็นกรณีที่เกิดภัยใดๆ เช่น น้ำท่วม ทำให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อน ในระหว่างนั้น ก็ต้องแบ่งอาหารที่ได้จากการตักบาตรบางส่วน รีบนำไปช่วยก่อน พอที่จะประทังความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประสบภัย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทางภาคใต้ขาดแคลนแต่อย่างใด
 
 
        นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบปีครึ่ง ได้มีการจัดอบรมมัคนายกหรือไวยาวัจกรภาคใต้ โดยให้ชาวพุทธทางภาคใต้ ร่วมกับกองทัพ ส่งชาวพุทธมาอบรมในหลักสูตรของไวยาวัจกร และในขณะนี้ไวยาวัจกรเหล่านั้นได้ไปเป็นกำลังอยู่ในวัดต่างๆ เวลาที่พวกเราจัดงานตักบาตร แล้วส่งข้าวสารอาหารแห้งจากการตักบาตรไป ก็ได้ท่านเหล่านี้ช่วยเป็นกำลังอยู่ตามวัดต่างๆ ช่วยดูแล ช่วยจัดการ ช่วยประสานงาน ตรงนี้จึงช่วยให้เกิดความเข้มแข็งในภาคใต้ของเรา
 
        มีข่าวที่น่ายินดีจากไวยาวัจกรภาคใต้ รายงานมาให้ทราบว่า จากการที่เราจัดงานตักบาตรกันอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาห้าปีเศษ และมีการส่งเสบียงต่างๆไปช่วยตามวัด และไปช่วยพี่น้องชาวพุทธทางภาคใต้ รวมถึงการจัดผ้าป่ารวมแล้วประมาณหกสิบกว่าครั้ง ปรากฏว่าในระยะเวลาปีสองปีที่ผ่านมานี้ ชาวพุทธเริ่มทยอยกลับถิ่นกันแล้ว หลวงพ่อขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมกันจัดงานตักบาตร เมื่อพี่น้องชาวพุทธกลับถิ่นกันแล้ว ก็ได้เข้ามาช่วยกัน และกำลังจะเตรียมอบรมไวยาวัจกรกันต่อไปอีก นี่ก็เป็นงานที่เราทำกันมา ในการอบรมนั้น หลวงพ่อก็ไม่ได้อบรมอะไรมาก ก็อบรมวัฒนธรรมคุณยาย เริ่มตั้งแต่ การกวาดวัด ขัดวิมาน (ห้องน้ำ)_พอลงมือกวาดวัด ขัดวิมาน ก็จะเห็นว่ามันมีงานอย่างอื่นตามมาอีกเป็นระลอกระลอก ทำให้เกิดการประสานเกิดความสมานสามัคคีกัน และขณะนี้จึงเกาะกลุ่มกันได้แน่น
 
        นอกจากนั้น พอถึงตอนเย็น เด็กนักเรียนเลิกเรียนแล้ว จะสวดมนต์กันที่โรงเรียน เสร็จแล้วก็จะไปช่วยกันปัดกวาดวัด อีกทั้งพอวันเสาร์วันอาทิตย์ก็จะพาคุณพ่อคุณแม่มาช่วยกันปัดกวาดวัดด้วย และแต่ก่อนชาวพุทธไม่รู้จะไปประชุมกันที่ไหนให้เป็นกิจจะลักษณะ ประชุมกันที่สถานที่ราชการบ้าง ที่โรงเรียนบ้าง แต่ตอนนี้ใช้วัดเป็นแกนแล้ว มีอะไรก็ประชุมกันที่วัด จึงทำให้บ้าน วัด โรงเรียน จับมือกัน ส่งผลให้งานฟื้นฟูศีลธรรมก้าวไปไกล และตรงนี้จึงเป็นความสะดวกของกองทัพที่จะลงไปประสาน ซึ่งท่านแม่ทัพที่อยู่ในพื้นที่ (แม่ทัพภาคที่ 4)_ท่านก็ช่วยดูแลให้อย่างดี หลวงพ่อก็ขออนุโมทากับท่านแม่ทัพด้วย
 
        จากการอบรมวัฒนธรรมคุณยายแก่ไวยาวัจกร ทางไวยาวัจกรได้ส่งรายงานมาว่า เมื่อนำไปปฏิบัติทำให้ทุกๆที่ในวัดสะอาดเรียบร้อย บรรยากาศของความศักดิ์สิทธิ์ในวัดเริ่มคืนมา เนื่องจากที่ผ่านมา บางทีต่างคนต่างผวาเรื่องนั้นเรื่องนี้ จึงปล่อยให้พระพุทธรูปถูกฝุ่นจับไปบ้าง ก็ดูซบเซา แต่พอช่วยกันปัดกวาดเช็ดถู ยังไม่ได้ทันทำอะไรเลย พระประธานก็ดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที อีกทั้งในวันนี้ พวกเด็กนักเรียนได้ไปจองกฐินกันแล้ว อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ประกาศไปแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรคำว่า กฐินตกค้าง ต้องไม่มีในแผ่นดินไทย
 
        การจัดอบรมไวยาวัจกรภาคใต้นี้ เราจัดที่วัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เราจัดการอบรม เรามักจะจัดกันในช่วงใกล้ๆที่จะมีงานบุญใหญ่ วันปิดการอบรมของไวยาวัจกร ก็คือวันที่มีงาน เมื่อเป็นอย่างนี้ การที่ไวยาวัจกรภาคใต้ได้เห็นบรรยากาศของคนเป็นหมื่นเป็นแสนมาร่วมงาน จึงเกิดความมั่นใจว่า ชาวพุทธยังมีพลังอีกเหลือเฟือที่จะช่วยกัน อีกทั้งได้เห็นตัวอย่างจากสมาชิกที่มาที่วัด เช่น พอจบงานก็ช่วยกันเก็บขยะ ไม่มีเศษขยะตกแม้สักชิ้นหนึ่ง โต๊ะเก้าอี้ อุปกรณ์ต่างๆก็เก็บทันที ไวยาวัจกรภาคใต้รายงานว่า เดี๋ยวนี้ได้นำไปใช้ทำกันที่ภาคใต้แล้ว ความดีงามเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อว่า มันเริ่มต้นจากความสะอาด เพราะมันทำให้ไม่เกี่ยง มันทำให้ไม่จับผิด และมันทำให้เกิดความยอมรับ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วอย่างอื่นมันจะง่าย
 
        จากที่หลวงพ่อได้กล่าวมาแล้วว่า ปัจจุบัน เราตัดสินดี-ชั่ว โดยกฎหมาย ไม่ได้ตัดสินโดยศีล ไม่ได้ตัดสินโดยกุศลกรรมบถที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ เพราะฉะนั้นจึงทำให้บุญทั้งประเทศหย่อนไป ดังนั้นในปีนี้ เราตั้งเป้าตักบาตรกันไว้ที่หนึ่งล้านรูปทั่วแผ่นดินไทย เติมบุญให้ประเทศกันให้เต็มที่ แล้วคงจะกลับมาตัดสินกันโดยศีลกันโดยธรรมได้อีก และไม่ใช่แค่ตักบาตรเท่านั้น ต้องเอาศีลเอาธรรมเอามาเติมเข้าไปด้วย เป็นขั้นเป็นตอนกันไป
 
        ใครได้อ่านได้ศึกษาธรรมะข้อไหน ศีลข้อไหน ขนบธรรมเนียมประเพณีดีงามข้อไหน แล้วช่วยเอาไปประพฤติแก้ไขตัวเอง เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองเป็นคนแรก แล้วก็ไปเป็นกัลยาณมิตรให้กับคนในครอบครัว ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ถึงคราวจะต้องสอนถึงคราวจะต้องตักเตือนใคร ความน่าเชื่อถือจะเกิด คำพูดจะมีฤทธิ์อยู่ในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงคราวจะพูดธรรมะ นอกจากธรรมะที่เรานำมามาแก้ไขตัวเองแล้ว อย่าลืมพุทธดำรัสหรือพุทธพจน์ รวมทั้งคำให้สติข้อคิดของครูบาอาจารย์ของเรา ใครจะเป็นลูกศิษย์ใครก็ตาม นำสิ่งเหล่านั้นมาใช้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เดี๋ยวความเต็มใจที่จะแก้ไขตัวเอง ความเต็มใจที่จะช่วยกันแก้ไขบ้านเมือง มันก็จะเกิดตามมาเป็นระลอกระลอก ถึงตอนนั้นบุญคงท่วมประเทศไทย แล้วความน่ารักของประเทศไทยก็คงจะเพิ่มขึ้นมาเอง
 
         เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่ออยากจะฝากกับพวกเรา คือ สิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ให้พวกเรามาท่องอยู่ทุกคืน ไม่ว่าจะเป็นการบ้าน 10-ข้อ ไม่ว่าจะเป็นวาทะธรรมประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นคาถาสำเร็จ เป็นต้น
 
        พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการศึกษาในการปฏิบัติธรรม การที่ท่านสรุปผลการปฏิบัติธรรมของท่านออกมา ให้ท่องอยู่ทุกวันๆ พวกเราอย่าดูเบา นั่นเป็นเรื่องของการคั้นธรรมะที่ท่านฝึกมาตลอดชีวิต แล้วมาเหลือเป็นคำพูดไม่กี่คำ อาทิ แม้มืดตื้อมืดมิดก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม แม้แต่คำพูดตรงนี้ ไม่ทราบว่าท่านต้องใช้เวลาคั้นมากี่ปี ไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าว ท่านคั้นมาหลายปีว่าจะทำอย่างไร จึงจะให้ลูกๆที่ฝึกแล้วยังทำใจหยุดยังทำใจนิ่งไม่ได้ ไม่ท้อต่อการฝึกทำสมาธิ ท่องแล้วทำให้มีกำลังใจ ทำให้ไม่ท้อ แต่ละคำที่ท่านกลั่นแล้วกลั่นอีก เป็นการกลั่นในเชิงปฏิบัติ เพราะกว่าท่านจะมาถึงจุดนี้ได้ ท่านก็เคยเจออาการอย่างเดียวกันนี้ และท่านก็ให้กำลังใจตัวท่านมา จนกระทั่งมันสว่าง ท่านเข้าใจว่า เมื่อนั่งแล้วเมื่อไหร่เมื่อไหร่มันก็ยังมืด จะรู้สึกอย่างไร ท่านก็คั้นจากใจของท่านส่งป้อนเข้ามาในใจของเรา
 
        หรือประโยคที่ว่า เวลานอนหลับให้หลับในอู่ทะเลบุญ เวลาตื่นนอนให้ตื่นในอู่ทะเลบุญ ถ้าจะพูดไปแล้ว นี่คือ...นอนอย่างไรเป็นกุศล หรือนอนอย่างไรนอนดี นอนอย่างไรนอนชั่ว ตื่นอย่างไรตื่นดี ตื่นอย่างไรตื่นไม่ดี
 
        แต่ละบทที่เราท่องๆกันนั้น จริงๆแล้วเป็นแม่บทในการตัดสินดี-ชั่วให้กับคุณพ่อคุณแม่นำไปถ่ายทอดให้ลูก ถ้าใครท่องแล้วแต่ยังไม่ได้ทำ ฤทธิ์จะยังไม่เกิด ถ่ายทอดไปให้ลูกก็ยังไม่ได้ผล สิ่งเหล่านี้ คือ เรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องนำไปฝึก ต้องนำไปแก้ไขตัวเองให้ได้จริงจัง แล้วย้อนกลับมาแก้ไขลูกๆ จากตรงนี้ ถือเป็นการเริ่มสร้างความสะอาดขึ้นในใจของเรา สร้างความสะอาดตั้งแต่วินาทีแรกที่ตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้นมาดูโลกในแต่ละวัน ตื่นขึ้นมาก็ทบทวนแต่ละข้อแต่ละข้อที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ให้เอาไว้ อย่างนั้น ถึงจะเข้าหลักที่ว่า ห้ามลูกไม่ให้ทำชั่ว สอนลูกให้ตั้งอยู่ในความดี (โดยธรรมไม่ใช่โดยกฎหมาย)_แล้วจากการทำให้ใจสูงไว้อย่างนี้เป็นประจำ มาตรฐานทางด้านจิตใจจะถูกยกขึ้นมาทุกวันทุกวัน คุณพ่อคุณแม่เอาไปทำเอาไปแก้ไขตัวเองให้ได้ แล้วเดี๋ยวลูกจะทำได้ตามมา แล้วทั้งแผ่นดินไทยก็จะมีแต่ลูกแก้ว ก็ขอฝากข้อคิดเอาไว้เพียงนี้
 
****************
    
ชม Video เป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองก่อน
 


http://goo.gl/HGU7E


พิมพ์บทความนี้

ไปหน้าทบทวนฝันในฝัน



บทความอื่นๆ ในหมวด

      กิจกรรมพัฒนาวัดพิชิตปิตยาราม ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
      กิจกรรมพัฒนาวัดอู่ข้าว ต.คลอง 7 จ.ปทุมธานี
      อานุภาพบุญจากการมาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 1
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ได้ตึก 18 ล้านแค่เพียงกระพริบตา
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ความทรงอภิญญาของคุณยายฯที่ผมเจอกับตัวเอง
      ประกาศผลสุดยอดสามเณรแสดงธรรมระดับโลก
      เปิดใจสามเณรแชมป์แสดงธรรมระดับภาค ชิงชัยสู่เวทีแสดงธรรมระดับโลก
      ซุปเปอร์บิ๊กบุญ ตักบาตรแสนรูป ครั้งประวัติศาสตร์
      เส้นทางสามเณร สู่เวทีแชมป์เทศน์ระดับโลก
      เล่าเรื่องคุณยาย ตอน เรื่องเหลือเชื่อของการบูชาข้าวพระที่คุณยายฯฝากไว้
      บวชเณรล้านตักบาตรแสน สานฝันคุณยาย สร้างพระแท้
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน แค่มองหน้า..ก็รู้ทั้งหมด
      แฝด 4 บวชเณรล้านอ่างทองทำลายสถิติโลก