พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่ 32 พระเจ้าสังขบรมจักรพรรดิ (4)

ครั้นภัททชิกุมารได้ฟังธรรมเทศนา และปล่อยใจตามพระสุรเสียงของพระพุทธองค์แล้ว ภัททชิกุมารก็สามารถทำพระนิพพานให้แจ้ง https://dmc.tv/a9098

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ช่วงเด่นฝันในฝัน
[ 23 พ.ย. 2553 ] - [ ผู้อ่าน : 18262 ]
ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2553
ตอน พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 32 พระเจ้าสังขบรมจักรพรรดิ (4)
 
 
พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ตอนที่ 32 "พระเจ้าสังขบรมจักรพรรดิ (4)"
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
        ความเดิมจากตอนที่แล้ว... นายช่างจักสานและลูกชายได้สร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อที่พระปัจเจกพุทธเจ้าจะได้อยู่จำพรรษา ณ ที่แห่งนั้นตลอดไตรมาส ซึ่งในภพชาติดังกล่าว...สองพ่อลูกคู่นี้ได้มีโอกาสนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มาอยู่จำพรรษา ณ บรรณศาลาที่พวกตนสร้างถวายถึงเจ็ดพระองค์ เมื่อละโลกแล้ว สองพ่อลูกก็ท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภูมิแต่เพียงอย่างเดียว ในภพชาติหนึ่ง...นายช่างจักสานผู้เป็นพ่อได้มาบังเกิดเป็นพระราชามีพระนามว่า “มหาปนาทะ”-ตลอดช่วงเวลาที่พระเจ้ามหาปนาทะทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท โดยการหมั่นทำทานและสั่งสมบุญเอาไว้อย่างมากมายเป็นนิตย์ ครั้นละโลกแล้วก็ได้กลับไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามเดิม ครั้นกาลเวลาได้ล่วงเลยผ่านมาจนถึงในยุคพุทธกาล ท่านเทพบุตรมหาปนาทะก็ได้ลงมาบังเกิดสร้างบารมีอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรชายของภัททิยเศรษฐี มีชื่อว่า “ภัททชิกุมาร” ผู้มีปราสาทสามฤดู
 
เมื่อถึงคราวที่ภัททชิกุมารจะย้ายออกจากปราสาท ชาวเมืองก็จะตื่นเต้น
 
        ในเวลาที่ภัททชิกุมาร จะย้ายจากปราสาทหลังหนึ่งไปอยู่ปราสาทอีกหลังหนึ่ง ก็จะมีเหล่าบริวารเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคนดูแล นักฟ้อน นักดนตรี มาคอยห้อมล้อมคอยดูแลภัททชิกุมารไปทุกที่ เมื่อถึงคราวที่ภัททชิกุมารจะย้ายออกจากปราสาท ชาวเมืองก็จะตื่นเต้น และต่างชักชวนกันมาดูทรัพย์สมบัติและเหล่าขบวนบริวารของภัททชิกุมาร กันเป็นจำนวนมาก
 
 
        อยู่มาวันหนึ่ง ในระหว่างที่ภัททชิกุมารกำลังย้ายจากปราสาทหลังหนึ่งไปอยู่ปราสาทอีกหลังหนึ่งนั้น เดิมทีจะต้องมีชาวบ้านเป็นจำนวนมากมาเฝ้าดูการย้ายปราสาทของภัททชิกุมาร แต่ในคราวนี้กลับไม่มีชาวบ้านคนใดมาเฝ้าดูการย้ายที่อยู่ของภัททชิกุมารเลยสักคน
 
 
        ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ภัททชิกุมารเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า “ในทุกๆครั้งที่เราจะย้ายจากปราสาทหลังหนึ่งไปสู่ปราสาทอีกหลังหนึ่ง ชาวบ้านจะต้องพากันมามุงดูเป็นจำนวนมาก แต่ทำไมหนอ...ในครั้งนี้กลับไม่มีใครมามุงดูเราเลยสักคน สงสัยจะต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พวกชาวบ้านถึงหายหน้าไปกันหมด”
 
 
        เมื่อเหล่าบริวารได้ฟังเช่นนั้น จึงได้บอกความจริงกับภัททชิกุมารว่า “นาย...เหตุที่ทำให้ชาวบ้านไม่มามุงดูการย้ายปราสาทที่อยู่ของนาย เหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านๆมา ก็เป็นเพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองของเราได้ประมาณสามเดือนแล้ว...”
 
 
        “...และในวันนี้ พระพุทธองค์จะทรงแสดงธรรมโปรดชาวเมืองเป็นวันสุดท้าย ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบแล้ว พระพุทธองค์ก็จะเสด็จไปยังเมืองอื่นต่อในทันที ดังนั้น ชาวเมืองทั้งหลายจึงรีบพากันไปฟังธรรมของพระพุทธองค์”
 
 
        ฝ่ายภัททชิกุมารเมื่อได้ฟังเหล่าบริวารกล่าวเช่นนั้น จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า “ในเมื่อชาวบ้านทุกๆคนต่างเดินทางไปฟังธรรมของพระพุทธองค์ แล้วทำไม...เราถึงไม่ไปกับเขาบ้าง”-ว่าแล้ว ภัททชิกุมารก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยเหล่าบริวารทั้งหมด
 
 
        แต่ด้วยความที่มีมหาชนเป็นจำนวนมาก เดินทางมาฟังธรรมของพระพุทธองค์ในครั้งนี้ จึงทำให้ภัททชิกุมารและเหล่าบริวารจำต้องยืนฟังธรรมอยู่ท้ายแถว (ประมาณว่า...ไม่ว่าจะเป็นใคร แม้จะยิ่งใหญ่มาจากไหน แต่ถ้ามาช้าก็ต้องยืนท้ายแถว เพราะการได้ฟังพระสัทธรรมของพระบรมศาสดา ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากอย่างยิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็อยากที่จะฟังธรรมจากพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิดด้วยกันทุกคน)
 
 
        ครั้นภัททชิกุมารได้ฟังธรรมเทศนา และปล่อยใจตามพระสุรเสียงของพระพุทธองค์แล้ว ภัททชิกุมารก็สามารถทำพระนิพพานให้แจ้ง โดยการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ทั้งๆที่ยืนอยู่ท้ายแถวนั้นเอง
 
 
        เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบว่าภัททชิกุมารได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธองค์จึงทรงเรียกภัททิยเศรษฐีผู้เป็นบิดาของภัททชิกุมารมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า “ท่านมหาเศรษฐี...ในวันนี้บุตรของท่านได้บรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว บุตรของท่านควรจะบวชดีหรือควรจะปรินิพพานดี”
 
        สาเหตุที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงตรัสถามท่านภัททิยเศรษฐีเช่นนั้น ก็เพราะว่าธรรมดาของผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หากยังครองเพศภาวะเป็นคฤหัสถ์ กล่าวคือ...ไม่ได้ออกบวชอยู่ในเพศสมณะ ก็จะต้องปรินิพพานภายในเจ็ดวันนับจากวันที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะเพศภาวะของคฤหัสถ์ไม่สามารถที่จะรองรับได้
 
 
        ฝ่ายท่านเศรษฐีเมื่อได้ยินพระพุทธองค์ตรัสถามเช่นนั้น จึงได้กราบทูลไปว่า “ข้าพระองค์ยังไม่พร้อม และยังไม่อยากให้บุตรชายคนเดียวของข้าพระองค์ปรินิพพานในตอนนี้ ขอพระตถาคตเจ้าทรงเมตตาประทานการบวชให้แก่บุตรชายของข้าพระองค์ด้วยเถิด”
 
 
        ครั้นท่านภัททิยเศรษฐีตัดสินใจให้ภัททชิกุมารบวชแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงประทานการบวชให้แก่ภัททชิกุมารในกาลนั้นเอง เมื่อบวชแล้ว...ท่านภัททิยเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยาก็ได้มาถวายมหาสักการะใหญ่แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระสงฆ์สาวก ติดต่อกันถึงเจ็ดวัน
ชม Video Scoop พระศรีอริยเมตไตรย์ ตอนที่ 32
 


http://goo.gl/N2qpl


พิมพ์บทความนี้

ไปหน้าทบทวนฝันในฝัน



บทความอื่นๆ ในหมวด

      กิจกรรมพัฒนาวัดพิชิตปิตยาราม ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
      กิจกรรมพัฒนาวัดอู่ข้าว ต.คลอง 7 จ.ปทุมธานี
      อานุภาพบุญจากการมาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 1
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ได้ตึก 18 ล้านแค่เพียงกระพริบตา
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ความทรงอภิญญาของคุณยายฯที่ผมเจอกับตัวเอง
      ประกาศผลสุดยอดสามเณรแสดงธรรมระดับโลก
      เปิดใจสามเณรแชมป์แสดงธรรมระดับภาค ชิงชัยสู่เวทีแสดงธรรมระดับโลก
      ซุปเปอร์บิ๊กบุญ ตักบาตรแสนรูป ครั้งประวัติศาสตร์
      เส้นทางสามเณร สู่เวทีแชมป์เทศน์ระดับโลก
      เล่าเรื่องคุณยาย ตอน เรื่องเหลือเชื่อของการบูชาข้าวพระที่คุณยายฯฝากไว้
      บวชเณรล้านตักบาตรแสน สานฝันคุณยาย สร้างพระแท้
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน แค่มองหน้า..ก็รู้ทั้งหมด
      แฝด 4 บวชเณรล้านอ่างทองทำลายสถิติโลก