หัวใจครอบครัว

คนเรานั้น ถ้าหัวใจไม่ทำงาน ก็แสดงว่าเขาตายจากโลกนี้ไปแล้ว ครอบครัวก็เช่นกัน ถ้าหัวใจของครอบครัวไม่ทำงาน แม้จะอยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่ก็เหมือนตายจากความเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้วการมีครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคง เป็นที่สุดยอดความปรารถนาของชีวิตครอบครัว นี้คือสิ่งสำคัญที่คนรักกันต้องรู้ก่อนจะสร้างครอบครัว https://dmc.tv/a10334

บทความธรรมะ Dhamma Articles > Review รายการ
[ 8 มี.ค. 2554 ] - [ ผู้อ่าน : 18261 ]
หัวใจครอบครัว

แต่งงาน
ที่สุดยอดความปรารถนาของชีวิตครอบครัว นี้คือสิ่งสำคัญที่คนรักกันต้องรู้ก่อนจะสร้างครอบครัว

     คนเรานั้น ถ้าหัวใจไม่ทำงาน ก็แสดงว่าเขาตายจากโลกนี้ไปแล้ว ครอบครัวก็เช่นกัน ถ้าหัวใจของครอบครัวไม่ทำงาน แม้จะอยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่ก็เหมือนตายจากความเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้วการมีครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคง เป็นที่สุดยอดความปรารถนาของชีวิตครอบครัว นี้คือสิ่งสำคัญที่คนรักกันต้องรู้ก่อนจะสร้างครอบครัว

        ข้อความต่อไปนี้ เป็นเรื่องสำคัญของทุกครอบครัว ใครจะแต่งงาน มีลูก มีภรรยา มีสามี จะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะปัญหาใน การครองเรือน ก็ล้วนเวียนอยู่ในเรื่องเหล่านี้ ถ้าศึกษา ก็จะพบปัญหาครอบครัว อีก สารพัด เรื่องนั้นก็คือ “ฆราวาสธรรม หัวใจสำคัญของความมั่นคงในครอบครัว”
 

ปัญหาประจำครอบครัว

 
         คนแต่ละคนก่อนจะมาแต่งงาน ก็มีปัญหาจากข้อบกพร่องประจำ ตัวกันอยู่แล้ว แต่เมื่อมารวมเป็นครอบครัว ก็หลีกไม่พ้นที่ข้อบกพร่องของแต่ละคนจะก่อความกระทบกระทั่งต่อกัน ดังนั้น ถ้าครอบครัวไหนก็ตาม ขาดฆราวาสธรรมแม้ข้อใด คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ครอบครัวย่อมต้องเกิด 4 ปัญหาใหม่อย่างแน่นอน นั่นคือ

            1) ปัญหาความหวาดระแวงกันและกัน
            2) ปัญหาความโง่เขลา ไม่ทันโลก ทันคน ทันกิเลส
            3) ปัญหาความเบื่อหน่ายกันเอง
            4) ปัญหาความเห็นแก่ตัว
 
            ปัญหาใหญ่ๆ 4 เรื่องนี้ ทางที่ดีที่สุด คือ อย่าให้เกิดขึ้นในครอบครัวได้ หรือถ้าเกิดขึ้นเมื่อใด ก็ต้องรีบช่วยกันหาทางแก้ไข อย่าปล่อยให้ หมักหมมคั่งค้างลุกลามใหญ่โต เพราะปัญหาทั้ง 4 ข้อนั้น มักเป็นต้นตอที่สร้างปัญหาอื่นๆ ต่อมาอีกมากมายไม่รู้จบ 
 
 สร้างครอบครัว
ทันทีที่เริ่มต้นแต่งงาน ความรับผิดชอบ ความเปลี่ยนแปลง ความอดทน และความเสียสละ จะตามมาทันที

ปัญหาแรก ความหวาดระแวง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน
 
           โลกปัจจุบันนี้ แม้อยู่ในครอบครัวเดียวกันก็มีโรคชนิดหนึ่งเกิดขึ้นประจำ นั่นคือ โรคหวาดระแวง  
            แม้เป็นสามีภรรยากันแล้วก็แล้วก็มิวายระแวงกันเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นแม้แต่เป็นพี่น้องคลานตามกันมาก็ยังระแวงกัน แม้ที่สุดพ่อแม่กับลูก ก็ยังมิวายหวาดระแวงกัน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ไม่ใช่คนในครอบครัว จะไม่เป็นโรคหวาดระแวงกัน

          สาเหตุที่หวาดระแวงกันมีหลายอย่าง บางทีก็หวาดระแวงเพราะความอิจฉาริษยา บางทีก็หวาดระแวงเพราะลำเอียง บางทีก็หวาดระแวงเพราะอีกฝ่ายเอารัดเอาเปรียบ และที่ร้ายแรงคือ หวาดระแวงเพราะเขาขาดความรับผิดชอบ
           ไม่ว่าจะระแวงเพราะเหตุใดก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือยิ่งอยู่ร่วมกันนานเท่าใด ปัญหาความระแวงกันในครอบครัวก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น  
 
ปัญหาที่สอง ความโง่เขลา ไม่ทันโลก ทันคน ทันกิเลส
 
           ปัญหานี้เกิดจากสติปัญญา ความรู้ ความสามารถไม่เท่าเทียมกันหรือเรียกง่ายๆ ว่า โรคโง่  
           บางคนคิดจำอะไรมักไม่ทันคนอื่นในครอบครัว ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม ของโลก สาเหตุใหญ่ที่ทำให้ไม่ทันไม่ใช้เพราะโง่อะไรนักหนา แต่เพราะคนอื่นในครอบครัวเขาปรับปรุงตัวอยู่ตลอดเวลา เขาปรับปรุงตัวอยู่ตลอดเวลา เขาพัฒนาตัวเองไม่ได้หยุด ส่วนตนเองไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขเลย เคยอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เป็นประเภทใครๆ ก็เข็นไม่ขึ้น

         คนประเภทนี้เอง ที่มักจะคิดน้อยใจโชคชะตา น้อยใจพี่น้อง น้อยใจ พ่อแม่ น้อยใจสามี น้อยใจภรรยาว่าไม่รัก เลยไปจนกระทั้งน้อยใจลูกว่ามารักตนอีกด้วย แล้วก็ก่อปัญหาแตกความสามัคคีในครอบครัว

ให้ความอบอุ่น
คิดจะแต่งงานต้องคิดให้ดีในสองเรื่องนี้ว่า คู่ชีวิตของตนเองมีความพร้อมแค่ไหน 
 
ปัญหาที่สาม ความเบื่อหน่ายกันเอง
 
         ปัญหาความเบื่อหน่ายกันเอง อาจเรียกง่ายๆ ว่าโรคเบื่อคน

         ผู้พิพากษาสมทบท่านหนึ่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่เล่าว่า ในอดีตเมื่อ ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 18 ปีทำผิด ศาลจะส่งตัวไปไว้สถานพินิจ เพื่อควบคุมความประพฤติ ทันทีที่ศาลสั่ง พ่อแม่ก็จะมาร้องไห้ ขอเอาตัวกลับไปอบรมฝึกหัดขัดเกลาเอง ลูกจะเลวจะชั่วอย่างไรก็ยังรักยังห่วงลูก ขอดูแลแก้ไขด้วยตนเอง ไม่ไว้ใจใครอบรมลูกแทน เพราะเกรงว่าจะทำได้ไม่ดีพอ
          แต่เดี่ยวนี้พอลูกทำผิดขึ้นมา ศาลตามตัวพ่อแม่มาถามว่า “ลูกคุณทำความผิดจะว่าอย่างไร”

       พ่อแม่รีบตอบเลย “ก็แล้วแต่ศาล ทำอะไรได้ก็ทำไปเถอะ เหม็นเบื่อมันเต็มที่ไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้ว”เรื่องมันกลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว
 
ในสังคมยุคปัจจุบัน มีคนเบื่อแม้กระทั่งลูกของตังเอง
 
            แม้เป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องระวังอย่างให้มีโรคเบื่อ กันเอง ถ้าในครอบครัวของเรามีใครทำอะไรไม่ถูกต้อง แล้วคนในบ้าน เบื่อที่จะตักเตือน เบื่อที่จะพร่ำสอน เบื่อที่จะแนะนำ ก็จะกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้มีการถ่ายทอดคุณธรรมความดีให้กันและกัน คุณธรรมความดีทั้งของเราและของเขาก็จะไม่เพิ่มพูนขึ้น
           ความเบื่อหน่ายกันเอง จะเป็นลางแห่งความทายนะของครอบครัวเพราะไม่ช้าจะถึงจุดหนึ่งที่ต่างคนต่างตักเตือนกันไม่ได้ 
             เมื่อเตือนกันไม่ได้ก็เลยไม่รู้จะทนไปทำไม การทะเลาะเบาะแว้งต่อทอ ลงไม้ลงมือกันก็ตามมา
           การอยูร่วมกันในครอบครัว ควรที่จะเปิดใจอนุญาตให้แต่ละคนในครอบครัวเอ่ยปากตักเตือนตนเองได้แต่เนิ่นๆ  ถ้าหากเห็นว่าทำอะไรไม่ถูกไม่ควร ไม่โปร่งใสพอ ก็ให้รีบตักเตือนดีหว่ารอให้ทนไม่ไหวก่อนค่อยมาพูดกัน นั่นก็กลายเป็นเอาภูเขาไฟสองลูกมาระเบิดพร้อมกันนี้เอง
 
ความสุขในบ้าน
 เลี้ยงใจคือการรู้จักถนอมน้ำใจกันในยามปกติรู้จักให้กำลังใจกันในยามเผชิญอุปสรรค 
 
ปัญหาที่สี ความเห็นแก่ตัว
 
           ปัญหาความเห็นแก่ตัว อาจเรียกง่ายๆ ว่า โรคแล้วน้ำใจ
      ธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไปง่ายเมื่อไรก็ตามที่มีการอยู่ร่วมกันเกินสามคนขึ้นไป จะเริ่มมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เมื่อในครอบครัวมีการบ่างพรรคแบ่งพวกเสียแล้ว หากได้ข้าวของพิเศษอะไรมา ก็จะคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของพรรคพวกในบ้านของตัวเองก่อน อีกฝ่ายจะเดือดร้อนลำบากอย่างไร ไม่สนใจ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายหนักเข้าๆ แม้พี่น้องคลานตามกันมา มักก็แตกกันเอง เพราะเชื้อแห่งความเห็นแก่ตัวได้เข้าห่อหุ้มจิตใจจนมืดมิด
         ถึงคราวได้ลาภผลน้อยใหญ่อะไรมา ก็จะไม่ยอมปันกันกินปันกันใช้ในครอบครัว หนำซ้ำยังเอารัตเอาเปรียบคนอื่นๆ ในครอบครัวอีก ในที่สุดครอบครัวก็จะแตกแยกเพราะความแล้งน้ำใจ แล้ววันหนึ่งความแตกแยกก็จะลุกลามใหญ่โต กลายเป็นความล่มสลายของครอบครัว
 
ฆราวาสธรรม หัวใจครอบครัว
 
          เมื่อใครก็ตามคิดจะเลือกคู่ชีวิต หรือคิดจะแตงงานเป็นสามีภรรยาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ก็ต้องเตรียมใจว่าไม่สามารถหลบหลีก 4 ปัญหาหลักดังกล่าวได้
            การแก้ไขป้องกันปัญหานี้ แม้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช้มีทางไขหรือป้องกัน เพราะหากแต่ละคนรู้ว่าหัวใจของครอบครัวคืออะไร และทุกคนก็ตั้งดูแลหัวใจครอบครัวอย่างดีที่สุดแล้ว ในที่สุดปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป
             พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ธรรมะหมวดหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักการวางรากฐานชีวิตและครอบครัวให้มั่งคง นั่นคือ “ฆราวาสธรรม ซึ่งประกอบด้วย หลักการ 4 ข้อ คือ สัจจะ ขันติ และจาคะ ทั้งสี่ข้อนี้คือ หัวใจครอบครัว
        ตามปกติ ถ้าหัวใจของเรายังเต้น เราก็ยังมีชีวิตต่อไป ถ้าตราบใดก็ตาม ที่สมาชิกแต่ละคนในครอบครัว ยังมีฆราวาสธรรมอยู่ประจำตัวหัวใจของครอบครัวก็ยังคงเต้นอยู่ ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน มีแต่ครอบครัวที่มั่นคง อบอุ่น สามัคคีกันขึ้นทุกวัน
       ฆราวาสธรรมอันประกอบด้วยหัวใจครอบครัว 4 ข้อนั้น มีความสำคัญอย่างไรบ้าง และช่วยป้องกันแก้ไขปัญหาประจำครอบครัวอย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงชี้ให้เห็นไว้ดังนี้
             1) สัจจะ แก้ปัญหาความหวาดระแวงกันและกัน
              สัจจะ แปลว่า ความจริงใจ ความจริงจัง ตลอดจนความซื่อตรง ต่อกันและกัน
           ถ้าแปลอย่างนี้หลายคนอาจมองภาพไม่ชัด แต่ถ้าจะแปลเพื่อส่องให้เห็นแนวทางปฏิบัติได้ชัดๆ ก็ต้องแปลว่า สัจจะ คือ ความรับผิดชอบ หรือ นิสัยรับผิดชอบ
              เมื่อมองในแง่ของความเป็นครอบครัว นิสัยรับผิดชอบของแต่ละคนถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเพราะถ้าใครขาดนิสัยรับผิดชอบเมื่อไหร่ความหวาดระแวงต่อกันจะเกิดขึ้นทันที ในทำนองเดียวกัน ถ้าหากใครจะเลือกคู่ครองสิ่งแรกที่ต้องมองให้ชัดเจน ก็คือ ความรับผิดชอบของคนๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย ต้องมองให้ออกว่าเขามีมากพอที่จะรับผิดชอบความเป็นความตาย ความรุ่งเรือง ความล่มสลายของครอบครัวได้หรือไม่
 
 ดูแลกันและกัน
คู่ชีวิตที่เลี้ยงกายและเลี้ยงใจมาด้วยกันอย่างนี้ ย่อมมีแต่การเสียสละเพื่อส่วนรวม ทั้งสละสิ่งของ สละความสะดวกสบาย 
 
คนมีสัจจะย่อมแสดงความรับผิดชอบได้ 4 ด้าน คือ
 
        1) ด้านหน้าที่และการงาน ไม่ว่าจะได้รับหน้าที่มากน้อยแค่ไหน งานในแต่ละหน้าที่เหล่านั้น จะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด และสภาวะต่างๆ จะไม่เอื้ออำนวยขนาดไหน งบประมาณก็มีอยู่จำกัด กำลังคนก็มีอยู่น้อยนิด เวลาก็กระชั้นชิต ความรู้ก็มีอยู่ไม่พอกับงาน แม้กระนั้นคนที่มีสัจจะย่อมจะตั้งใจขวนขวายรับผิดชอบด้วยการ “ทำงานชิ้นนั้นให้สำเร็จให้ได้และให้ดีที่สุดด้วย
         2) ด้านคำพูด คือ ต้องเป็นผู้ที่พูดอย่าง ก็ทำอย่างนั้น และ ทำอย่างไร ก็ต้องพูดอย่างนั้น ไม่ใช้ทำคืบมาโม้ว่ามากเป็นศอก หรือทำศอกมาโม้ว่ามากเป็นวา การกระทำจะต้องตรงกับคำพูดของตัวเองเสมอไป
        3) ด้านการคบคน คือ คบค้าสมาคมกับใครด้วยความจริงใจไม่มีเหลี่ยมคู มีอะไรก็ว่ากันตรงๆ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังใช้ความจริงใจแลกความจริงใจ ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ลลำเอียงหรือไม่มีอคติ 4 ประการ ได้แก่ ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะชัง ไม่ลำเอียงเพราะโง่ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว
        4) ด้านศีลธรรมความดี คือ ในเรื่องส่วนตัวถือเอาหลักธรรม เป็นใหญ่ ไม่ยอมทำในสิ่งที่ผิดศีล ผิดธรรม ผิดประเพณี และผิดกฎหมายของบ้านเมือง จึงปิดคุกตาราง ปิดนรก แบะเปิดสวรรค์ให้ตัวเองได้อย่างสง่าผ่าเผย
           เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาตามนี้ คนที่มีสัจจะก็คือคนที่มีความรับผิดชอบ มั้งต่อหน้าที่การงาน ต่อคำพูด ต่อคนที่คบด้วย และต่อคุณธรรม ซึ่งจะทำให้เป็นคนที่คิด ทำสิ่งใด ก็มีความตั้งใจจริงทุกสิ่งที่คิด พูดทำนั้นให้ดีที่สุด ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับความรู้ ความสามารถ และความดีของตนเองให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป
      เพราะฉะนั้น สัจจะของเรานั้น สามารถดูออกได้จาก ภ ด้านนี้ยิ่งมีมากเท่าไหร่ ย่อมแสดงว่าเขามีความรับผิดชอบมากเท่านั้น
          เพราะคนประเภทนี้ เขามีหลักง่ายๆ ประจำใจอยู่เสมอว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุด พูดจาอะไรก็ชัดเจนที่สุด จิตใจก็มั่งคงในศีลธรรมที่สุด
          คนที่มีสัจจะ ไม่เฉพาะครอบครัวที่ไว้วางใจ แม้แต่พรรคพวก เพื่อนฝูงก็ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมาก ความหวาดระแวงที่อาจจะเคยมีมาก่อน ก็จะยิ่งลดน้อยถอยลงไม่มากเท่านั้น
           แต่ถ้าใครไม่มีสัจจะ ไปตรงไหนก็เจอความหวาดระแวง ความไม่น่าเชื่อถือตรงนั้น คนดีๆ มีแต่คนหลีกหนีไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากคบค่าสมาคมด้วย เพราะกลัวว่าจะพลอยทำให้เขาเสียชื่อเสียงไปด้วย
           เพราะฉะนั้น ถ้าคนในครอบครัวไม่มีสัจจะ หรือไม่มีนิสัยรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน ต่อคำพูด ต่อบุคคล และต่อศีลธรรมความดีปัญหาความหวาดระแวงจึงได้เกิดขึ้นมา แล้วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร

สร้างความสุข
ครอบครัว จะมีรากฐานมั่งคง คนในบ้านจะต้องมี จาคะ  
 
ดังนั้น ครอบครัวจะมีรากฐานมั่งคงอยู่ได้ คนในบ้านจะต้องมี สัจจะ เป็นนิสัยที่ 1
 
             2)  ทมะ แก้ปัญหาความโง่เขลาไม่ทันคน-ทันโลก-ทันกิเลส ทมะ  แปลว่า รู้จักข่มจิตข่มใจตัวเอง  
             ในทางปฏิบัติ ทมะ หมายถึง ความกระตือรือร้นในการเคี่ยวเข็ญ ฝึกตนเอง อย่างไม่มีข้อแม้เงื่อนไข เพื่อให้ตนเองมีทั้งความรู้ ความสามารถ และความดีเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ  
             ทมะ อาจแปลอีกอย่างเป็นภาษาชาวบ้านพื้นๆ ง่ายๆ ว่า รักการฝึกฝนตัวเอง ซึ่งบางทีปูย่าทวดท่านถึงกับใช้คำว่า อย่าปล่อยให้ตัวเอง  
 
วิธีการที่จะเพิ่มความรู้ ความสามารถ และความดีในเรื่องใดๆ ก็ตาม มีการปฏิบัติอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
 
             1)  ต้องหาครูดีให้เจอ คือ ไม่ว่าใครจะสนใจหรือเพิ่มพูนความรู้เรื่องอะไรให้ตัวเองก็ตาม ผู้นั้นจะต้องหาคนที่มีความรู้ความสามารถในด้านนั้นๆ มาเป็นครูให้ได้ก่อน มิฉะนั้น โอกาสที่จะทำล้มเหลวมีมากหากหาไม่ได้จริง อย่างน้อยที่สุด ในภาวะนั้น  
            2) ต้องฟังคำครู คือต้องตั้งใจฟังแล้วฟังอีก ถามแล้วถามอีกจนกระทั้งจับประเด็นได้ว่า สิ่งที่ครูสอนนั้น ทั้งหลักการ และวิธีการมีอะไรบ้างอย่างชัดเจน มีความลุ่มลึกขนาดไหน
           3) ต้องทำตามคำครู คือ นำแต่ละประเด็นที่ครูอธิบายแล้ว อธิบายอีกอย่างดีแล้วมาพิจารณาให้เข้าใจเหตุผลทั้งในแง่ของความสำคัญการใช้งาน ข้อควรระวัง และผลเสียที่จะตามมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
           4) ต้องทำตามคำครู คือ  หลังจากที่พิจารณาคำพูดครูได้เข้าใจดีแล้ว ว่าที่ถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างไร ก็ลงมือปฏิบัติตามด้วยความมีสติรอบคอบ    ระมัดระวัง ไม่ประมาทพลั้งเผลอจนอาจลงไปสู้การเกิดความเสียหายล้มเหลวในบั้นปลอยได้

             คนที่จะมีความรู้ ความสามารถ ความดีได้เต็มที่ ต้องอาศัยวิธีการนี้เท่านั้น ในการฝึกฝนตนเองให้ทันโลก ทันคน ทันกิเลส  
       แต่แน่นอนว่า การที่จะทำได้อย่างนี้ ต้องทนฝึกใจ ข่มใจ และบางครั้งเจ็บเข้าไปในใจเหมือนเลือดไหลซิบๆ ออกมา   
        สาเหตุที่ต้องทนฝึกใจข่มใจก็เพราะการฝึกใดๆ ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยไม่ชื่อว่าเป็นการฝึกตัว     
       ยกตัวอย่างเช่น แค่จะแก้นิสัยชอบกินจุบกินจิบ มันก็ไม่ใช้ง่ายหรือเพียงแค่นิสัยชอบนอนตื่นสาย พูดไม่เพราะชอบเถียงพ่อเถียงแม่ ก็หากุศโลบายมาแก้ไขกันหึดขึ้นคอ รวมทั้งการจะฝึกตัวเองให้ละเอียดลออไม่สะเพร่า ลุ่มลึกไปตามลำดับจึงไม่หมู เพียงแค่ไม่กี่เรื่องนี้ ก็ฝึกฝนตนเองทั้งชาติ ซึ้งยังไม่นับรวมนิสัยอิจฉาร้อน ติดเหล้า ติดการพนัน

ทำกิจกรรม
 กำลังมีปัญหาครอบครัว ต้องยึดหลัง ฆราวาสธรรม คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นหัวใจครอบครัว

ดังนั้น ครอบครัวจะมีรากฐานมั่นคงอยู่ได้ ทุกคนในบ้านจะต้องมี ทมะ เป็นนิสัยที่ 2
 
            3) ขันติ แก้ปัญหาความเบื่อหน่ายกันเอง
            ขันติแปลว่า ความอดทน
       ทำไมจะต้องอดทน?เพราะการที่คนใดคนหนึ่งจะได้ความดีมาเพิ่มให้แก่ตนเองนั้น      จะต้องเอาความอดทนแลกมาทั้งนั้น
       เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว จะต้องอดทนแลกมาทั้งนั้น  
 
คำตอบ คือ เรื่องที่ต้องพยายามอดทนให้ได้มีอยู่ 4 เรื่องด้วยกันคือ

           3.1) ต้องอดทนต่อธรรมชาติที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ทนทั้งแดดที่แผดกล้า ทั้งลมทั้งฝนที่โหมกระหน่ำ เป็นต้น 
                 3.2) ต้องอดทนต่อทุกขเวทนา คือ อดทนคนอื่น ความจริงแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่า เราเองยังมีข้อบกพร่องที่ทำไปแล้ว ยังรู้สึกขัดใจ ไม่ได้ดังใจตัวเองหลายอย่าง ยิ่งเวลาทำงานเร่งรีบต้องการความประณีตมากขึ้นเท่าไร ก็ยังมีเรื่องขัดใจตัวเองจนได้

             3.3) ต้องอดทนต่อการกระทบกระทั่ง คือ อดทนคนอื่นความจริงแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่า เราเองยังมีข้อบกพร่องที่ทำไปแล้ว ยังรู้สึกขัดใจ ไม่ได้ดังใจตัวเองหลายอย่าง ยิ่งเวลาทำงานเร่ารีบต้องการความประณีตมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยังมีเรื่องขัดใจตัวเองจนได้ 
          การที่หลายครั้งเราเองก็ยังไม่ค่อยถูกใจตัวเอง นั่นคือข้อบกพร่องที่กลายเป็นนิสัยไม่ดี แล้วเราสังเกตไม่เห็น ยังมีอยู่อีกมาก
      ข้อบกพร่องของภรรยาสามี ของลูกที่เขามี บวกกับข้อบกพร่องของตนเองเข้าไปอีก ยังไงก็ต้องกระทบกระทั่งกัน   

ความอบอุ่น
คู้ชีวิตของเรามีความรู้ คาวามสามารถ และความดีมากพอ ที่จะเลี้ยงครอบครัวให้สุขสบาย เลี้ยงลูกหลานให้เป็นคนดี 
 
               เพราะฉะนั้น สามีภรรยาอยู่บ้านหลังเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะดีแสนดียังไง ก็ยังต้องมีข้อบกพร่องอยู่ดี ถ้าเราคิดว่าอดทนไม่ได้ ก็อย่าใจอ่อนไปแต่งงาน  
              แต่เดียวนี้มีบางคนหลังจากแต่งงานกันไปแล้วมักชอบใช้คำว่า สิทธิส่วนบุคคล พอแต่งงานกันแล้ว ก็ยังไปทำเอกสารแบ่งทรัพย์สมบัติ เตรียมแยกกันแล้ว ก็ทำให้มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า ถ้าคิดว่าจะทนกันไม่ได้ตั้งแต่แรกอย่างนี้ แล้วไปแต่งกันทำไม
         โบราณจึงสั่งนักสั่งหนาว่าถ้าตกลงแปลงใจจะเป็นสามีภรรยากัน “คุณแน่ใจหรือว่าจะทนฉันได้” ถ้าไม่แน่ใจว่าเราจะทนกันได้ อย่าแต่งงานกันเลย เดี่ยวจะก่อทุกข์ก่อบาปจากคู่รักกลายเป็นคู่แค้นในภายหน้า เราแยกกันตรงนี้เถิด นี้ควรเป็นคำถามที่ทั้งคู่ควรถามใจตัวเองก่อนแต่งงาน 
              ดังนั้น แทนที่จะไปถามว่าแหวนหมั้นกี่กระรัต เงินสดเท่าไหร่เรือนหอกี่ล้าน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช้ความมั่งคงที่ต้องถามคือ “คุณแน่ใจหรือว่าจะทนฉันได้”
        ไม่อย่างนั้นไม่มีทางประคับประคองครอบครัวได้ แล้วยิ่งถ้าครอบครัวใดนอกจากไม่เสียสละ แต่กลับจ้องเอาเปรียบกันเองในครอบครัวแล้วถึงอยู่ด้วยกันก็เหมือนคนบ้านแตกสาแหรกขาด 
               ความเสียสละขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงชีวิตเป็นสำคัญ โดยเฉพราะทั้งสามีภรรยาต้องคำนึงถึงความสุขส่วนรวมในครอบครัวมากกว่าความสุขส่วนตัวตามลำพังเป็นสำคัญ
         พื้นฐานการเลี้ยงชีวิต คือ ปัจจัย 4 แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อนการใช้เงินทองซื้อหาปัจจัย 4 ก็คือ ต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง ความอยากได้เอาแต่ใจกับความจำเป็นของครอบครัว 
              ถ้าแยกแยะความจำเป็นกับความอยากได้ไม่ออก ชีวิตครอบครัวก็มีแต่ร้าวฉานซึมลึกลงไปทุกๆ วัน ในที่สุด ก็จะเกิดความรู้สึกว่ามีฝ่ายหนึ่งถูกเอาเปรียบและฝ่ายหนึ่งเห็นแก่ตัว แล้วก้ต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน
          ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวที่มีอยู่ด้วยกันสองคนสามีภรรยา ยังไม่มีลูก แล้วรายได้สองคนรวมกันก็มีจำกัด แค่ค่าน้ำหอมหรูๆ ของภรรยาค่าเหล้า ค่าไวน์ของสามี ก้กระทบกระเทือนกับค่ากินค่าอยู่ทั้งเดือนทันทีความรู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้น เพราะแยกแยะไม่ได้ว่า อะไร เป็นความอยากส่วนตัว และอะไรเป็นความจำเป็นสำหรับครอบครัว 
              น้ำหอมแพงๆ ไม่ใช่ของจำเป็น แต่เป็นของฟุ่มเฟือย เหล้า ไวน์ ก็ เป็นอบายมุข เป็นของทำลายสุขภาพ เป็นค่านิยมที่ไม่ออกว่า ของพวกนี้ไม่ใช้ความจำเป็น นั่นคือ ความเห็นแก่ตัว เป็นหายนะของครอบครัว
        ชีวิตแต่งงานเป็นชีวิตที่มีงบประมาณจำกัดในเรื่องส่วนตัว ต้องอาศัยความเสียสละเป็นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกัน แต่ถ้าปล่อยให้การจับจ่ายใช้สอยล่วงล้ำเข้าไปในเรื่องส่วนตัวกันมาก สามีภรรยาก็จะไม่รวมกระเป๋าสตางค์กันแต่ต้นแล้ว นั่นก็เท่ากับเตรียมจะแยกทางตั้งแต่ต้นเพราะไม่มีใครนึกถึงค่าใช้จ่ายส่วนรวมในครอบครัวเลย แล้วจะไปแต่งงานด้ายกันทำไม 
 
ทำบุญร่วมกัน
 รากฐานครอบครัวจึงจะสามารถวางได้มั่งคงตั้งแต่เริ่มแรก 
 
               เพราะฉะนั้น ถ้ามองของฟุ่มเฟือยเป็นของจำเป็นเมื่อไหร่ งบประมาณในบ้านจะขาดแคลนทันที และนั่นคือ ความเห็นแก่ตัว ที่ก่อปัญหาการอยู่ร่วมกันตามมาอีกมาก
       การแต่งงานไม่ใช่ของล้อเล่น สนุกสนานตามอารมณ์หนุ่มสาวเพราะทันทีที่เริ่มต้นแต่งงาน ความรับผิดชอบ ความเปลี่ยนแปลง ความอดทน และความเสียสละ จะตามมาทันที 
              ดังนั้น คนที่คิดจะแต่งงานต้องคิดให้ดีในสองเรื่องนี้ว่า คู่ชีวิตของตนเองมีความพร้อมแค่ไหน คือ
             1)   คู่ชีวิตของเราสามารถฝากผี ฝากไข้ ฝากชีวิตไว้ด้วยกันได้หรือไม่
                    2)  คู้ชีวิตของเรามีความรู้ คาวามสามารถ และความดีมากพอ ที่จะเลี้ยงครอบครัวให้สุขสบาย เลี้ยงลูกหลานให้เป็นคนดีได้หรือไม่ เพราะสองเรื่องนี้คือความเสียสละขั้นพื้นฐานของการเป็นครอบครัว
        ส่วนมากเดี่ยวนี้เวลานี้เวลาแต่งงานกันตามความต้องการส่วนตัว มากว่าจะมาคำนึงถึงเหตุผลสองข้อนี้ ทำให้พอแต่งงานมาแล้วจึงต้องมาเจอปัญหาต่างๆ นานามากมาย บางรายรุนแรงถึงกับลงไม้ลงมือฆ่าแกงกันก็มี
              สำหรับใครที่ยังไม่ได้แต่งงาน หรือกำลังเตรียมจะแต่งงาน ต้องพิจารณาให้มากว่า เมื่อสามีภรรยาแต่งงานกันมาแล้ว ชีวิตนี้ต้องพึ่งกันได้ถึงคราวป่าย คราวแก่ ต้องดูแลกันได้ การแต่งงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งความเสียสละต่อกันและกันอย่างยิ่ง
         ยิ่งกว่านั้น ก็คือ เมื่อถึงคราวให้กำเนิดลูกขึ้นมา ทั้งสามีและภรรยายิ่งต้องเสียสละต่อกันและกันเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะตรงนี้เป็นเรื่องของการให้เวลาลูก ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องเตรียมตัวมาแต่ก่อนแต่งงานแล้ว 
         คนที่พร้อมจะเป็นพ่อแม่คน เขาจะพิจารณาตัวของเขาเองว่า เราเองก็มีความรู้ ความสามารถ และความดีที่ได้จากการฝึกฝนตนเองมาตลอดชีวิต เนื่องจากเราเองมีครอบครัว ในยามแก่ชรา เราก็ต้องได้คนดีมาดูแล ถ้าจะแต่งงานมีครอบครัว ก็ต้องเอาความรู้ ความสามารถและความดีของเราที่มีมาสร้างทายาทดีๆ เกิดมาในโลกนี้ แล้วเรา ก็ถ่ายทอดความรู้ ความดีให้แก่เขา เขาจะได้สามารถยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้ต่อไป
การแตงงานไม่ใช้มุ่งเรื่องความสุขทางเนื้อหนังมังสา ของพวกนี้มักไม่จีรังยั่งยืน แต่เพราะส่วนมากมุ่งเอาความเอร็ดอร่อยทางเพศ ถึงได้หย่าร้างกันเป็นว่าเล่น เพราะของพวกนี้มิได้เฉพาะในวัยหนุ่มสาว 
               พื้นฐานการใช้ชีวิตหลังแต่งงาน ต้องอาศัยความเสียสละต่อกันและกันอย่างมากๆ ถ้าเห็นแก่ตัวกันเมื่อไหร่ เดี่ยวได้ฆ่า ได้แกง ได้หย่า ร้างกันทุกที
            การเสียสละในฐานคู่ชีวิตนี้ เป็นการเสียสละเพื่อการดูแลทั้งทางกายและทางจิตใจ คือ เลี้ยงกายและเลี้ยงใจให้ดี แล้วชีวิตแต่งงานจะไม่มีสุขสบายส่วนตัว  
          เลี้ยงใจคือการรู้จักถนอมน้ำใจกันในยามปกติรู้จักให้กำลังใจกันในยามเผชิญอุปสรรค รู้จักเตือนสติห้ามปรามกันในยามประมาท และมีความซื้อสัตย์ต่อกันและกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
          คูชีวิตที่เลี้ยงกายและเลี้ยงใจมาด้วยกันอย่างนี้ ย่อมมีแต่การเสียสละเพื่อส่วนรวม        ทั้งสละสิ่งของ สละความสะดวกสบาย สละอารมณ์ที่บูดเน่า บรรยากาศที่ดีๆ ปรองดองสามัคคี จึงมีอยู่มากมายในครอบครัว

ความสุขมีในบ้าน
 รู้จักเตือนสติห้ามปรามกันในยามประมาท และมีความซื้อสัตย์ต่อกันและกัน

ดังนั้น ครอบครัว จะมีรากฐานมั่งคง คนในบ้านจะต้องมี จาคะ เป็นนิสัยที่ 4
 
                จากฆราวาสธรรมทั้ง 4 ข้อนี้ใครก็ตามกำลังคิดจะมีคู่ครองกำลังจะแต่งงาน กำลังสร้างครอบครัว หรือกำลังมีปัญหาครอบครัว ต้องยึดหลัง ฆราวาสธรรม คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เป็นหัวใจครอบครัว เป็นหัวใจสำคัญที่สมาชิกในครอบครัวจะต้องมีอยู่ประจำตัว รากฐานครอบครัวจึงจะสามารถวางได้มั่งคงตั้งแต่เริ่มแรก แล้วปัญหาต่างๆ ในครอบครัว ทั้งปัญหาความหวาตระแวง ปัญหาความโง่เขลาไม่ทันโลก ทันคน ทันกิเลส ปัญหาความเบื่อหน่ายกันเอง ปัญหาความเห็นแก่ตัว ก็จะไม่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้อย่างแน่นอน หัวใจของครอบครัวย่อมยังคงเต้นอยู่ต่อไป

บทความที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว

 
คลิปวิดีโอเพลงบ้านกัลยาณมิตร
 

รับชมคลิปวิดีโอ
ชมวิดีโอ   Download ธรรมะ

http://goo.gl/lmsR0


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      วันลอยกระทง 2566 ประเพณีและประวัติวันลอยกระทง วิธีทำกระทงง่ายๆ
      วันตรุษจีน 2566 ประวัติวันตรุษจีน การ์ดและคำอวยพรตรุษจีน
      วันครูแห่งชาติ 2567 ประวัติความเป็นมาของวันครู กิจกรรมวันครู
      วันพ่อแห่งชาติ 2566 ประวัติความเป็นมาความสำคัญ กลอนวันพ่อ การ์ดวันพ่อ
      วันปิยมหาราช ประวัติและความสำคัญของวันปิยมหาราช
      วันแม่แห่งชาติ 2566 กลอนวันแม่ ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของวันแม่แห่งชาติ
      กลอนวันแม่ กลอนวันแม่สั้นๆ ซึ้งๆ จากใจลูกน้อย
      วันสื่อสารแห่งชาติ 2566 ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของการสื่อสาร
      วันภาษาไทยแห่งชาติ 2566 ประวัติ ความสำคัญของวันภาษาไทยแห่งชาติ
      วันสิ่งแวดล้อมโลก World Environment Day
      วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม 2566 World No Tobacco Day
      วันครอบครัว 14 เมษายน ประวัติความเป็นมาและความสำคัญ
      วันสตรีสากล ประวัติความเป็นมาความสำคัญของวันสตรีสากล




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related