ความสุข ทำอย่างไรให้มีความสุข

ความสุขเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็แสวงหา ทราบไหมคนทั่วโลกและคนไทยมีความสุขกันอย่างไร องค์การสหประชาชาติเคยสำรวจว่า 156 ประเทศนี่เขามีความสุขกันอย่างไร มีการจัดลำดับด้วย คนไทยจัดว่าอยู่อันดับที่ 52โดย เราเป็นอันดับที่ สามในภูมิภาคอาเซียน ส่วนปัจจัยที่ทำให้คนมีความสุข ความร่ำรวยและเงินทองเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยเท่านั้นเอง https://dmc.tv/a16901

บทความธรรมะ Dhamma Articles > Review รายการ
[ 28 ต.ค. 2556 ] - [ ผู้อ่าน : 18256 ]

ทันโลก ทันธรรม

ความสุข ทำอย่างไรให้มีความสุข

 
 
      ความสุขเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็แสวงหา ทราบไหมคนทั่วโลกและคนไทยมีความสุขกันอย่างไร องค์การสหประชาชาติเคยสำรวจว่า 156 ประเทศนี่เขามีความสุขกันอย่างไร มีการจัดลำดับด้วย คนไทยจัดว่าอยู่อันดับที่ 52 โดยเราเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน ส่วนปัจจัยที่ทำให้คนมีความสุข ความร่ำรวยและเงินทองเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยเท่านั้นเอง

   ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาแล้วก็ผู้นำประเทศทุก ๆ ประเทศทั่วโลกนี่ เขาก็พยายามที่จะสร้าง ความสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ถึงกับมีการจัดอันดับเลยว่าประเทศไหนมีความสุขมากน้อยซึ่งความจริงแล้วปัจจัยของความสุขนี่ แต่ละประเทศเขาก็จะมีเกณฑ์วัดว่าเป็นอย่างไรบ้าง เช่น การมีรายได้ การมีงานทำ มีความมั่นคงในอาชีพ การมีความสัมพันธ์ที่ดี ในครอบครัวแล้วก็ ในหมู่เพื่อนร่วมงาน แล้วก็การมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การมีสุขภาพกายที่ดี การมีสุขภาพจิตที่ดีแล้วก็ความสัมพันธ์ในครอบครัว การศึกษา ถือว่าเป็น ปัจจัยของความสุขของคนเหมือนกันแล้วก็ความเท่าเทียมกัน

     ในที่นี้หมายถึงความเท่าเทียมกันในสังคม แล้วก็เท่าเทียมกันในเพศชาย กับเพศหญิง ซึ่งบางสังคมอาจจะยังมีความเหลื่อมล้ำตรงนี้อยู่ เป็นต้น เสรีภาพทางการเมืองแล้วก็ความเข้มแข็งทางเครือข่ายสังคม ตลอดจนการไม่มีคอรัปชั่น อันนี้เป็นสิ่งที่แต่ละประเทศ มองว่าอันนี้คือเกณฑ์ความสุขนั่นเอง

     บางคนพยายามแสวงหาความสุข แต่ว่าหาเท่าไรมันก็ไม่ตอบโจทย์ คือหาไม่เจอนั่นเอง เพราะว่าความจริงแล้ว ความสุขมันอยู่ที่ตัวเรามันสร้างมาจากข้างในตัวเราเอง ไม่ใช่รอจากคนอื่นมาหยิบยื่น  ถ้าเราว่ากันจริง ๆ แล้วความสุข คืออะไร จริง ๆ มันคือความทุกข์ที่น้อยลง ใช่ไหม

     เพราะฉะนั้นเวลาเราจะสร้างความสุข ก็คือว่า เราก็ลดความทุกข์ ทีนี้ความทุกข์มันเกิดจากกายวาจาใจ แล้วก็มันอยู่ที่ใจนั่นเอง ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ต่าง ๆ ที่เข้ามาต่าง ๆ นั้น เราจะปรับตัวอยู่ตรงนั้นได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงอยู่ที่ตัวเรา เรารู้จักปล่อยวางดีแค่ไหน เราพอใจในสิ่งที่มีมั๊ย เราเป็นคนคิดในทางบวกหรือทางลบ แล้วเราคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ตัวเองหรือเปล่า อันนี้เป็นต้น
 
      เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะมีทุกข์ประจำ ทุกจร เช่นทุกข์พลัดพราก ทุกข์สูญเสีย ทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บก็ตาม บางทีการเจ็บป่วยกายมันเป็นทุกข์ทางกาย แต่ถ้ามันเข้ามาถึงใจ ถ้าเรา สัมมาอะระหัง ไปตลอดเวลาทุกข์กายเข้าไม่ถึงทุกข์ใจเมื่อไหร่ ใจยังเป็นความสุขได้เลย เพราะฉะนั้น ความทุกข์ทั้งหลาย ถ้าเกิดว่าเราไปปรับที่ตัวใจ ต้นแหล่งของการสร้างความสุข ก็เหมือนกับว่าถ้าความทุกข์น้อยชีวิตก็มีความสุข  

     ถ้าเรามองไปที่ชาวโลกว่าชาวโลกเขาก็พยายามที่จะสอนให้คนพยายามสร้างความสุขโดยตัวเอง คือเขาก็รู้ว่าการไปหาความสุขที่อื่นคงไม่เจอเหมือนกัน แต่บางครั้งมันก็เฉียด ๆ ก็ใกล้ ๆ มาก  เรามาดูกันว่าเขามองกันอย่างไรบ้าง ชาวโลกเขาพูดเรื่องความสุขว่าทำอย่างไรถึงจะสร้างความสุขได้ ข้อแรกเลย อยู่กับคนที่ทำให้เรายิ้มได้เราก็จะยิ้มไปด้วย เพราะว่ามันเหมือนธาตุอายตนะ ดูดกันได้ดีมันก็ไปได้ดี

    ข้อ 2 คือ เราจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรมที่เรายึดถือเป็นหลักประจำใจอย่างเช่นเรื่องของความเมตตา กรุณา ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรมแบบนี้ ถ้าใครที่มีเรียกว่าหลักธรรมะประจำใจ ชีวิตก็จะมีความสุขทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราไม่ตกต่ำ เกิดความรู้สึกรักตัวเอง

     ข้อ 3 ดังเช่นหลวงพ่อทัตตชีโว ท่านว่าไว้ เรากราบตัวเองได้ไหม ถ้าเราจะทำให้ดีคือ ต้องทำให้ขนาดที่เรายินดีที่จะกราบตัวเองได้ ข้อสามคือ ยอมรับสิ่งที่ดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่าไปผลักไสสิ่งที่มันเป็นเรื่องดี ๆ ที่จะเข้ามาหาตัวเรา แม้เรื่องดี ๆ อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ 100% เราก็สามารถมีความสุขได้ แล้วเดี๋ยวเรื่องดี ๆ ต่อไปจะมากขึ้นอีก มันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ คิดอย่างนี้แล้วกัน

     ข้อ 4 มีเป้าหมายในชีวิต
 
 

     ข้อ 5 ทำในสิ่งที่เรารัก ถ้าเราทำในสิ่งที่ตัวเองชอบตัวเองรักเราก็จะมีความสุขกับสิ่งนั้น แต่ถ้าเกิดว่าเราต้องทำงานในสิ่งที่เราไม่ได้ถนัดคิดว่าตัวเองไม่ชอบเลยไม่รักเลย ทำอย่างไร จงรักมันต้องสร้างความคุ้นเคย สร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง มองให้เห็นประโยชน์ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเกิดประโยชน์อะไร เราทำไปเพื่ออะไร บางคนบอกว่า อ๋อ ทำไปเพื่อที่จะได้สั่งสมบุญ ทำงานไปจะได้มีปัจจัยมามากขึ้น จะได้เอาไปทำบุญ อันนี้ทำให้เราเกิด ความรักในงาน ก็คือเราทำในสิ่งที่เรารักแล้ว ทำในสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเรานั่นเอง

     ข้อ 6 ทำตามใจในสิ่งที่เราอยากจะได้ หรืออยากจะทำนะครับ ในแง่นี้หมายถึงว่าทำแล้วเราสบายใจ ก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
 
     ข้อ 7 เรามองถึงความสำเร็จ เราผลักดันตนเอง ไม่ใช่กดดันผู้อื่น ไม่อย่างนั้นจะทุกข์กันหมดเลย
 
     ข้อ 8 อย่าเปรียบตัวเองกับผู้อื่น ชีวิตไปเปรียบกับคนอื่น เพราะว่าเราเกิดมาอย่างหนึ่ง เรามีบุญบาป ที่ส่งผลมาอย่างหนึ่งแล้วก็แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปเปรียบเทียบผู้อื่น จริง ๆ แล้วข้อนี้สำคัญมาก เพราะจริง ๆ เราออกจากบ้านเราก็รู้สึกว่าเราดีพอเราสวยพอเราเก่งพอ พอไปเจอคนที่ดีกว่านั้น เราหดหู่ขึ้นมาทันทีเลย ถ้าเราเปรียบเทียบคนอื่น ความทุกข์มันจะมาเยือนอย่างเร็ว การเปรียบเทียบมันเป็นหนทางลัดไปสู่ทุกข์
 
     ข้อ 9 คือ เต็มใจรับการเปลี่ยนแปลง
 
     ข้อ 10 พอใจกับชีวิตง่าย ๆ คิดบวกอยู่เสมอ
 
     ข้อ 11 ทำดีกับทุกคน ก็เหมือนกับการเป็นผู้ให้ เวลาเราทำดีกับใคร ชีวิตก็มีความสุขมากขึ้น
 
     ข้อ 12 รู้จักพอเพียง ก็หมายถึงว่ามีการใช้จ่ายที่เหมาะสมนั่นเอง คือเหมาะสมกับกำลังที่เรามี จะได้ไม่เป็นหนี้เพราะเป็นหนี้ทุกข์ถนัดเลย
 
     ข้อ 13 คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย  
 
     ข้อ 14 อย่าให้เรื่องเล็กน้อยมากวนใจ เดี๋ยวเจอคนขับรถแย่ ๆ ขับรถตัดหน้า อะไรแบบนี้ ก็อย่าไปใจกระเพื่อม คือให้ดึงจิตออกไปว่ามันเป็นแค่รถมันวิ่งผ่านหน้าเรา แค่นี้มันก็จบ อ๋อมันวิ่งผ่านหน้าเราเร็วไปนิด แค่นี้ก็พอแล้ว  
 
     ข้อ 15 เลิกทำตัวจำเจ ตื่นสายทุกวัน ลองเปลี่ยนใหม่สิ วันนี้ลองตื่นเช้ามืด ตีสี่ ตีห้า มานั่งสวดมนต์นั่งสมาธิดู ไปดูดอกไม้ดูพระอาทิตย์ขึ้น
 
     ข้อ 16 ใช้สีเขียวบำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว หมายถึง ปลูกต้นไม้ หรือซื้อแจกัน กระถางดอกไม้ ไปปลูกในสวน
 
     ข้อ 17 ออกไปเดินเล่นหรือออกไปออกกำลังกายเบา ๆ จริง ๆ ร่างกายกับจิตใจมันเชื่อมโยงกัน ถ้าเรากายไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย จิตใจก็เหมือนกับว่าล้าไปด้วย

นี่เป็น ทั้งหมดของทันโลก
ในส่วนของทันธรรม พระอาจารย์พระมหา ดอกเตอร์ สมชาย ฐานวุฑฺโฒ
ท่านจะมีเคล็ดลับความสุขอะไรมาฝาก ติดตามกันได้เลยค่ะ
 
 

    
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ : เจริญพร วันนี้เรามาคุยกันเรื่องความสุข ใคร ๆ ก็คงปรารถนาความสุขนะ แต่ว่าถามว่า ทำอย่างไรจะมีความสุข เราจะพบว่าคำตอบหลากหลายกว้างขวางทีเดียว บ้างบอกว่าต้องรวยก่อน บ้างบอกว่าต้องสวย ต้องมีชื่อเสียงโด่งดัง บ้างบอกต้องตำแหน่งขึ้น บ้างบอกว่าได้ทำในสิ่งที่เราเอง พอใจ รู้สึกว่าชอบสิ่งนั้น ได้ทำแล้วมีความสุข ได้ดูหนังฟังเพลงเป็นต้น   คำตอบหลากหลายกันไป แต่ละคนก็แสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่าง ๆ กัน บางคนก็ตกเย็นปั๊บไปก๊งทุกวันเลยนะ ตั้งวงดื่มเหล้ามีกับแกล้ม เฮกันไปเฮกันมาอย่างนี้ก็มี เหมือนกันนี่ บางคนบอกได้เล่นเกม ก็มีความสุข เล่นสิบยี่สิบชั่วโมงอดหลับอดนอนบ้างบางคนไปเล่นเล่นไพ่ เล่นการพนันอย่างนี้เป็นต้น

     แล้วถามว่า ถ้าจริง ๆ ความสุขเราจะเกิดขึ้นต้องมีอะไรกันบ้าง เรามาดูตรงนี้นะ ขมวดสรุปรวมว่าสิ่งที่เราต้องการ คืออะไร อย่างแรกสุดเลยนี่ ก็คือว่า ความปลอดภัย มีคนกำลังจะตีเรา จะแทงเรา จะทุบเราจะฆ่าเรา นั่นคือปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ด่วนที่สุดเลยใช่ไหมเอ่ย แล้วถ้าเผื่อความปลอดภัยในชีวิตเราเองไม่มีแล้วนี่ ยิงเขาแทงฟันแขนขาดขาด้วนหรือว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาเป็นอันตรายต่อชีวิตของเราปุ๊บนี่ อันนั้นคงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากที่ต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุดเลย เพราะฉะนั้นอันดับแรก จริง ๆ คือว่า ความปลอดภัยนี้คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ถ้าไม่มีสิ่งนี้แล้วอย่างอื่นจะดีเท่าไหร่ไม่มีประโยชน์ เราดูอย่างตอนสงคราม ถ้าเป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็น ร้อยล้านพันล้านนะ เครื่องบินกำลังมาทิ้งระเบิด รถถังกำลังยิงมา ถามว่ามีความหมายอะไรไหม เอาเงินมาให้อีกพันล้านให้รวยขึ้นอีกเท่าหนึ่งมีประโยชน์ไหม ข้าศึกกำลังบุกเข้ามา  ยิงกระหน่ำอย่างรุนแรง ไฟกำลังเผาบ้านรอบตัวเข้ามา ในภาวะอย่างนั้น อย่างอื่นไม่มีคุณค่าไม่มีความหมายเลย สำคัญที่สุด คือความปลอดภัยในชีวิตของเราอันดับหนึ่ง ที่ทุกคนต้องการที่สุด ประการที่สอง คือปัจจัยสี่ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตมีอย่างเพียงพอ พอปลอดภัยแล้ว นี่ เอ ข้าวจะกินมันชักไม่ค่อยอิ่มท้องนะ หรือว่าบ้านที่อยู่ไม่มี 
 
      เพราะฉะนั้นต้องปัจจัยสี่มีเพียงพอก่อน จะล้ำเลิศขนาดไหนอีกเรื่องหนึ่งนะ  แต่อย่างน้อยที่สุดมีปัจจัยสี่ให้เราเองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างมีความสุขพอสมควรแก่อัตภาพ จะมีของใช้แบรนด์เนม ไม่  แบรนด์เนม นั้นยังของส่วนเกิน  แต่ของที่จำเป็นจริง ๆ คือปัจจัยสี่ นี่ ขั้นที่สอง พอสูงจากขั้นนี้ขึ้นมา ก็ขยับไปขั้นสาม อ้อ ต้องการการยอมรับจากสังคม โดยสรุปรวมอันนี้ คือว่าให้ สิ่งที่อยู่แวดล้อมเราทั้งหลาย เป็นไปตามใจของเรา เช่นให้สังคมยอมรับ เราก็ต้องการให้ทุกคนรอบ ๆ ตัวของเราชื่นชมให้การยกย่องนับถือ หรือให้ความเคารพเราก็มีความรู้สึก ภูมิใจตัวเอง ประสบความสำเร็จในการทำกิจต่าง ๆ นี่ก็เป็นขั้นที่สามสูงขึ้นมา  คนที่ไปใช้สินค้าแบรนด์เนม ถามว่าทำไมถึงใช้ อ๋อ รู้สึกว่าถือกระเป๋ายี่ห้อแพง ๆ อย่างนี้แล้วนะ คนเขายอมรับนับถือไปถึงไหนปุ๊บคนดู โอ้โฮ คนนี้มีระดับ ดูเป็นคนมีฐานะ รู้สึกมีความภูมิใจ ใช้ปากกาแบรนด์เนม ใช้เสื้อผ้าแบรนด์เนมอะไรต่าง ๆ ข้าวของที่แพง ๆ ขับรถมียี่ห้อแพง ๆ อย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มักจะเป็นไปเพื่อการยอมรับจากบุคคลอื่นรอบ ๆ ตัวแล้วก็มีลักษณะแปลก ๆ ด้วยนะ บางคนฐานะยังไม่รวยถึงขนาดที่ว่าทำให้คนอื่นเขายอมรับได้ รู้สึกสู้อย่างนี้สู้ไม่ไหวสตางค์ไม่พอ ก็เลยใช้วิธีการแปลก ๆ แทน เช่นว่า ไปเจาะเหมือนกับอะไรล่ะ ห่วง ที่ริมฝีปากอย่างนี้ ไปใส่ที่จมูกเราเคยเห็นไหมเอ่ย ถามว่าใส่ทำไม ไปเจาะเจ็บจะแย่ แล้วจะเคี้ยว ข้าวปลาอาหารอะไรก็ไม่ถนัดจะพูด จะดื่มน้ำมันเกะกะ แต่เขาบอกว่ามันเท่ มันเท่ เพราะว่าไปเจาะแล้วเดินไปไหนใครก็ดู รู้สึกเป็นความโก้ ผมอยู่ดี ๆ เป็นไงเอ่ยต้องไปย้อมสีเป็นสีรุ้งเลยก็มี ทำเป็นทรงแปลก ๆ ก็มี เพราะไปไหนแล้วใคร ๆ ก็มอง จริง ๆ คือต้องการความสนใจ การยอมรับจากสังคมนั่นเอง แต่เมื่อไม่ถึงการยอมรับเอาเป็นว่าอย่างน้อยให้เขาสนใจก็ยังดีน่า บางทีบางช่วงก็มีเทรนด์ว่า ใส่กางเกงชนิดที่ว่ามันจะหลุดจากก้น มันย้อยห้อยลงมา แต่เขาบอกมันก็ไม่เห็นหลุด เขาว่าอย่างนั้น อย่างนี้ก็มี

      เพราะฉะนั้นสิ่งอาการเหล่านี้เราจะพบว่า เกิดขึ้นมาเพราะอยากให้สังคม ยอมรับ ไม่ถึงจุดนั้นอย่างน้อยคนสนใจเหลียวมาดูตัวเองก็เกิดความพึงพอใจขึ้นมาในชั้นหนึ่ง ส่วนความสุข ขั้นที่สี่ อันนี้จะสูงกว่าบางคนก็รู้จักบางคนก็ไม่รู้จักนะ  สามขั้นต้นคนทั่วไปใคร  ๆ ก็พอรู้   ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ใคร ๆ ก็รู้ ให้มีปัจจัยสี่ ใคร ๆ ก็ต้องการ  หรือว่าให้สังคมยอมรับ จะเป็นคนป่าคนดอย จะเป็นคนในเมือง ก็ต้องการทั้งนั้นแหล่ะ แต่ว่าการบรรลุวัตถุประสงค์นี้ ไม่เหมือนกันบางคนใช้การทำความดี จนสังคมยอมรับ บางคนก็ใช้วิธีการที่ถือว่าง่าย ๆ ก็คือ เอาเงินซื้อเลย ซื้อสินค้าแบรนด์เนมมา เราจะพบว่าเศรษฐี ที่เป็นเศรษฐีใหม่ บางทีจะถูกค่อนขอดนินทาว่ามีพฤติกรรมเหมือนกับว่าอะไรก็ใช้สตางค์เป็นหลัก แล้วก็คล้าย ๆกับ ยังขาดรสนิยมอย่างนี้เป็นต้นนะ รู้สึกว่าตัวเองทุ่มเทมาทั้งชีวิต เหนื่อยมาลำบากตลอดเพื่อจะหาตังค์ เมื่อหาตังค์แล้วทุกคนก็ควรจะยอมรับฉันซิ เพราะฉะนั้นทำอะไรปั๊บเอาเงินนำหน้า มีเงินเหมือนกับจะโชว์ออฟนะ กลับกลายเป็นสังคมบางทีมองแบบว่า  หมั่นไส้ก็มีค่อนขอดนินทาก็มี อย่างนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามวิธีการอาจจะไม่เหมือนกันแต่ปรารถนาในใจของคนทั่ว ๆ ไป ก็จะมีทั้งสามอย่างนี้คล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่า ข้อที่สี่ คือความสงบใจ ความสุขที่ไม่อิงวัตถุ ไม่มีอามิส ที่ท่านเรียก นิรามิสสุข   นิแปลว่า ไม่มี แปลว่าออก อามิส รวมกันเข้าเป็นนิรามิส  นิรามิสสุข คือสุขที่ไม่อิงอามิส  เกิดจากใจที่สงบนิ่ง แล้วเป็นสุขมาจากภายใน เป็นสุขที่ประณีตลึกซึ้งกว่า
 
สุขอื่นยิ่งกว่าใจสงบไม่มี

      เหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ  สุขอื่นยิ่งกว่าใจสงบไม่มี ใจสงบหยุดนิ่งนี่ ความสุขที่เกิดขึ้นจากภายในมันละเอียดปราณีต กว่าความสุขที่อาศัยวัตถุ สิ่งของภายนอกเยอะแยะมากมาย ไปทานอาหารอร่อย ๆ ไปดูหนังฟังเพลงเพราะ ๆ นี่ ก็สู้ความสุขจากใจที่สงบนิ่งนี้ไม่ได้ พอเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว มาดูต่อว่า แล้วทำยังไงความสุข ถึงจะเกิดขึ้นกับเรา ทำไมถึงจะได้สิ่งเหล่านี้ล่ะ เราจะปลอดภัยแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงไม่มี คนภัยคนพาลมาแกล้งเรา หรือว่าไม่เกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ก็เพราะเราต้องมีศีล อย่างน้อยศีล 5 นี่ ไม่เบียดเบียนใครรักษาศีล 5 บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ข้ามภพข้ามชาติ มากเข้า มากเข้าวิบากกรรม ที่เคยผิดศีลในอดีตก็จะค่อย ๆ จางลง ๆๆๆ พอหมดไปเมื่อไหร่ เราจะไปถึงไหน จะเป็นคนที่ปลอดภัยทุกที่ทุกสถาน มีเราไปไหนด้วยนี่ รถคันนั้นก็ปลอดภัย ขึ้นเครื่องบินลำไหน เครื่องบินลำนั้นก็เลยปลอดภัยไปด้วย เพราะบุญเราคุ้มให้ไง จะเป็นอย่างนั้นนะ รักษาศีลดี ๆ ล่ะก้อ จะมีอานิสงค์ เผื่อแผ่แม้ไปถึงคนข้างเคียงของเราด้วยขนาดนั้นเลยนะ อย่าว่าแต่ตัวเราเลย  เราได้ข้อ 1 ต้องมีศีลนะ ส่วนข้อ 2 จะมีปัจจัยสี่หล่อเลี้ยงชีวิตอย่างเพียงพอไม่ขาดแคลนเลย  เราก็ต้องรู้จักการให้ทาน คือมีการแบ่งปันกัน มีทรัพย์สินมีอะไร ความรู้ความสามารถที่จะแบ่งปันกันได้ แบ่งปันกันช่วยกันมีน้ำใจต่อกัน เอื้อเฟื้อความมีน้ำใจในใจของเรานี่แหละ จะมีอานุภาพ กำลังบุญที่เกิดขึ้นจะดึงดูดสมบัติเข้ามาหาเรา ไปเกิดที่ไหน ๆ  ก็ไม่ขาดแคลน แต่คนไหนเป็นคนตระหนี่ล่ะก้อ ไปเกิดที่ไหนคนรอบข้างจะจนไปด้วยเลย

      เหมือนเศรษฐีในครั้งพุทธกาลจำได้ไหมเอ่ย ขี้เหนียวมาก ๆ นี่ พอตายปั๊บไปเกิดในท้องของหญิงจัณฑาล ปรากฏว่าหญิงจัณฑาลที่อยู่พักกับคนจัณฑาลทั้งพันตระกูล จนหนักกว่าเก่าเลย เคยทำงานได้ ก็ไม่มีงานเข้า ไปขอทานได้ ก็ขอไม่ได้ พลานุภาพของความตระหนี่นี่ มันเอาความยากจนความขาดแคลน ไปถึงคนรอบ ๆ ข้างด้วย โบราณเขาเรียกว่าเป็นกาลกิณี เป็นอย่างนั้น แต่คนมีบุญล่ะก้อไปเกิดท้องพ่อท้องแม่ปั๊บ อยู่ในท้องอยู่เลยนะ พ่อแม่ทำมาค้าขึ้นทำอะไรก็เฮงไปหมด บุญจากตัวลูกส่งถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องคนรอบข้างทั้งหมดไปด้วย อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจะได้ข้อสองอย่างนี้ คือปัจจัยสี่ที่เพียงพอต้องรู้จักการให้ทาน ส่วนข้อที่สาม การยอมรับจากสังคม ข้อนี้มีคติน่าคิดนะ คนส่วนใหญ่ร้อยละ 99.99 ในโลก มักจะเอาความพอใจความต้องการตรงนี้ ไปฝากไว้กับปัจจัยภายนอก เช่นไปฝากไว้กับผู้คนรอบข้าง อยากให้เขายอมรับเรา ทำอะไรก็ได้ให้เขายอมรับรู้สึก เขายอมรับแล้วก็ปลื้มใจ ภูมิใจ บางอย่างเราเห็นแล้วแปลก ๆ แต่ว่ามันเป็นค่านิยมเฉพาะกลุ่ม เขายังยอมทำเลยนะ
 
      เช่น บางเผ่ามีค่านิยมที่ว่า จะต้องทำให้คอยาว ๆ เราเห็นเอาห่วงมาใส่ มันก็ทำให้กระดูกผิดรูปไปเหมือนกันนะ มีอาการปวดคอไปตั้งเยอะแยะ แต่ว่าเป็นค่านิยม ทำแล้วมันสวย เขาก็ทำกันพอรุ่นเก่า ๆ ทำกันทั้งหมู่บ้าน เด็กรุ่นใหม่ก็ทำตาม เพราะรู้สึกว่า ถ้าทำแล้วคนยอมรับ ไม่ทำแล้วไม่ยอมรับ หรือในยุคหนึ่งผู้หญิงจีนทั้งแผ่นดิน รัดเท้าตัวเอง รัดจนพิการเลยนะ คือกระดูกเท้าที่เป็น 5 นิ้ว รัดจนมันเป็นกระจุกอย่างนี้ ถ้าต้องมีลักษณะที่ว่ามันเล็กนิดเดียว ยืนยังยืนไม่มั่นเลย ยืนแล้วจะเดินมันต้องเซมาเซไปเขาบอกว่าดูแล้วน่ารักดี ผู้หญิงดูแล้วไม่มั่นคงต้องอาศัยผู้ชาย ต้องเกาะๆ ๆๆ รู้สึกดูน่ารัก เป็นค่านิยมสังคม ว่าต้องเท้าเล็ก ๆ ถึงจะน่ารัก ใครเท้าโต ๆ บอกเต็มรูปแข็งแรง แล้วล่ะก้อบอกว่าน่าเกลียด ผู้หญิงอะไรเท้าเต็มรูปอย่างงั้น เท่านั้นเอง ผู้หญิงทั้งแผ่นดินตั้งแต่เล็ก ๆ พ่อแม่ก็จับรัดเท้าเป็นสิบเป็นร้อยล้านคนไปหลายรุ่นเข้าเป็นพันล้านคนนะ เรียกว่าเท้าพิการกันทั้งแผ่นดิน เพราะค่านิยมสังคม ไปทำในสิ่งที่เป็นทุกข์ เป็นโทษต่อตัวเองก็ยังยอมทำ เพราะหวังการยอมรับจากสังคม เราจะเห็นว่าการที่เราเอง เอาความพึงพอใจของเราเองไปผูกไว้กับปัจจัยภายนอกในสังคมนี่ มันเสี่ยงมากแล้วมันไม่แน่นอน แต่ความจริงถ้าเอาความพึงพอใจมาไว้กับในตัวเรานะ เราจะพบว่ามันแน่นอนกว่า  ซึ่งจะไปเชื่อมโยงกับความต้องการประการที่สี่ ความสงบใจ ความสุขจากภายใน ตรงนี้ต่างหาก ขนาดพระมหากัปปินะ พระภัททิยะ ที่เคยเป็นพระมหากษัตริย์ จำได้ไหมเอ่ย ในครั้งพุทธกาล สละราชสมบัติออกบวชไปอยู่ในป่า ครองผ้า 3 ผืน มีปัจจัยสี่ หล่อเลี้ยงชีวิตอย่างเรียบง่าย ยังมีความสุขท่วมท้นจนรำพึงว่า สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ สุขยิ่งกว่าตอนเป็นพระราชาเสียอีก
 
 

     เพราะตอนนี้ เป็นความสุขที่ไม่ได้อิงปัจจัยภายนอกแล้ว  แต่อิงจากความสงบภายใน พื้นฐานนี่ ศีลบริบูรณ์อยู่ในป่าก็ไม่กลัวอันตรายเลย ไม่มีทหารเฝ้าก็ไม่กลัวอยู่ในวังมีทหารเป็นชั้น ๆ ๆ ๆ ยังกลัวใครจะปองร้ายหรือเปล่า ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว ปัจจัยสี่หรือเรียบง่ายที่สุด ผ้า 3 ผืน อาหาร ก็บิณฑบาตแล้วแต่เขาจะใส่อะไรอย่างไรมา กลับมีความสุขมีความพอใจ เพราะใจสงบนิ่งภายในไม่ได้แสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ ไม่ได้แสวงหาการชื่นชมสรรเสริญ จากคนอื่นเลย แต่เอาปัจจัยแห่งความสุข ย้อนกลับมาที่อยู่ที่ใจ ตัวเองซึ่งเป็นของที่เที่ยงแท้และแน่นอนมากกว่า คนทั่วไปในโลกนี่ มักจะทุ่มเทกับการหาทรัพย์ เพราะหวังว่าสิ่งนี้จะให้ความสุขกับตน เราลองมาดูข้อมูลจริง ๆ นิตยสารหูรุ่น ดังมากนะ เหมือนกับฟอกซ์  ของจีนนะ จัดลำดับเศรษฐีในจีนต่าง ๆ เขาสรุปบอกว่ามหาเศรษฐี จีน  มักจะทุกข์ใจเพราะ ความกดดันซึ่งมีสาเหตุมาจากทรัพย์สมบัติของเขาและมีความสุขน้อยกว่าเศรษฐีทั่วไป น่าคิดนะ ถามว่าเป็นเศรษฐีดีไหม บอกว่าดี แต่พอเช็คต่อไปอีก ปรากฏว่าคนที่มีทรัพย์สิน เกิน 500 ล้านบาท สำรวจแล้วมีความสุข น้อยกว่าเศรษฐีที่มีเงิน 50 ล้าน ถ้าเกิดเป็นคนจนมันก็คงไม่ดีนะ ยังไงก็ต้องเป็นเศรษฐีน่ะดี แต่ว่าถ้าเกิดมีเงินเยอะเกินไปโดยเฉลี่ยกับมีความสุขน้อยกว่าคนมีเงินมากเป็นเศรษฐีพอประมาณ ไม่ได้หมายถึงสรุปว่าเศรษฐีใหญ่ รวยเยอะ ๆ เป็นหมื่นเป็นแสนล้านจะต้อง มีความสุขน้อยไม่ใช่  บางคนความสุขเยอะก็มีอย่าง วอร์เรน บัพเฟส รวยตั้ง 40,000-50,000 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยตั้งเกินล้านล้านบาท แต่มีความสุข เพราะว่าเขารู้จักบริหารจัดการชีวิต อันนี้เขาพูดถึงค่าเฉลี่ย พอถึงค่าเฉลี่ยปั๊บเศรษฐีใหญ่ กลับมีเรื่องห่วงเยอะ กังวลเรื่องนั้นห่วงเรื่องนี้ กับมีความสุขน้อยกว่าเศรษฐีทั่วไป

      ฉะนั้น ถ้าเราเองคิดจะเป็นเศรษฐีใหญ่ ต้องเป็นเศรษฐีใหญ่ที่ฉลาด บริหารจัดการชีวิตตนเองเป็น ถ้ามุ่งแต่หาเงินอย่างเดียวก็อาจจะตกกับดักตรงนี้ได้ ว่าทุ่มเทหาเงินแทบตาย หาแล้วกลับมีความทุกข์มากกว่าเก่า มีบทวิจัยอีกเรื่องที่น่าสนใจคือเขามีการศึกษารายได้ต่อหัวกับความพึงพอใจในชีวิตของคนญี่ปุ่นนะ ศึกษายาว 30 ปีเลย พบว่าในช่วงตั้งแต่ปี 2501-2534 คนญี่ปุ่นรวยขึ้น 16 เท่า รายได้เพิ่มขึ้น 16 เท่าตัวนะ แต่ก่อนเงินเดือนเดือนละหมื่น ผ่านไป 30 ปีเงินเดือนเดือนละ แสนหก แต่ว่าความรู้สึกพึงพอใจในชีวิตไม่เพิ่มเลยแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว รายได้เพิ่ม 16 เท่า แต่ความสุขความพอใจในชีวิตไม่เพิ่มแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว น่าคิดนะว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มาดูต่อ อเมริกาบ้าง ในอเมริกาเขาพบว่าร้อยละของครัวเรือนอเมริกาที่มีเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น 5 เท่า บ้านที่ติดแอร์เพิ่มขึ้น 5 เท่า แล้วบ้านที่มีเครื่องล้างจาน ขนาดล้างจานในบ้านนะ ยังไม่ล้างด้วยมือเอาเครื่องล้างจานมาเลยนะ เพิ่มขึ้น 7 เท่านะ แล้วบ้านที่มีรถยนต์มากกว่า 1 คัน คือ 1 คัน ธรรมดาอยู่แล้ว เอาบ้านที่มีมากกว่า 1 คัน คือตั้งแต่ 2, 3, 4, 5 ขึ้นไป เพิ่มขึ้น 3 เท่า  แต่คนอเมริกัน ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นสุขเพิ่มขึ้นเลย กับรู้สึกว่าตัวเองยากจนขาดแคลนด้วยซ้ำไป

       แล้วมาดูอีกบทวิจัยหนึ่งของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียเลยนะ ร่วมกับ ฮาร์วาร์ดบิวสิเนสสคูล ของ  มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สำรวจเรื่องความสุขของคนอเมริกา ปรากฏว่าพบว่า คนส่วนใหญ่พบว่าตัวเองเป็นสุขมากขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเขาได้ให้คนอื่น แบ่งปันทรัพย์สินให้คนอื่นเขา เห็นคนลำบากก็ไปช่วยเขา มีความสุขเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นี่บทวิจัยพิสูจน์สนับสนุนเลย เราจึงได้ข้อสรุปนั้นว่า ทรัพย์สินเงินทองมีความสำคัญ แต่ว่า จะสำคัญมาก ๆ ช่วงที่ สร้างพื้นฐานปัจจัยสี่ ให้กับเรา แต่พอมีเยอะขึ้น เยอะขึ้น ๆ ๆ ทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้น กลับไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนความสุขให้กับเราเท่าไร บริหารจัดการไม่ดีเผลอ ๆ เพิ่มความทุกข์ เพิ่มความห่วงกังวล หนักขึ้นด้วยซ้ำไป
 
     สรุปรวบยอดทั้งหมด หนทางไปสู่ความสุขทั้งชาตินี้ด้วยชาติหน้าด้วย จนถึงความสุขอย่างถาวร ความสุขอย่างยิ่งก็คือ ให้แล้วก็แบ่งปันทานนั่นเอง เป็นทางมาแห่งโภคทรัพย์สมบัติ ให้เรามี ปัจจัยสี่ การรักษาศีล ทำให้เราเองปลอดภัยในทุกที่ทุกสถาน แล้วการรู้จักทำสมาธิภาวนา ทำให้เราเองไม่เอาแฟคเตอร์ ความพอใจของเรา ต้องการการยอมรับ จากคนอื่นไปผูกไว้กับคนอื่น แต่ย้อนเอาความพอใจมาไว้กับใจของเราเอง เจริญพร
 



http://goo.gl/FcYf6E


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      วันลอยกระทง 2566 ประเพณีและประวัติวันลอยกระทง วิธีทำกระทงง่ายๆ
      วันตรุษจีน 2566 ประวัติวันตรุษจีน การ์ดและคำอวยพรตรุษจีน
      วันครูแห่งชาติ 2567 ประวัติความเป็นมาของวันครู กิจกรรมวันครู
      วันพ่อแห่งชาติ 2566 ประวัติความเป็นมาความสำคัญ กลอนวันพ่อ การ์ดวันพ่อ
      วันปิยมหาราช ประวัติและความสำคัญของวันปิยมหาราช
      วันแม่แห่งชาติ 2566 กลอนวันแม่ ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของวันแม่แห่งชาติ
      กลอนวันแม่ กลอนวันแม่สั้นๆ ซึ้งๆ จากใจลูกน้อย
      วันสื่อสารแห่งชาติ 2566 ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของการสื่อสาร
      วันภาษาไทยแห่งชาติ 2566 ประวัติ ความสำคัญของวันภาษาไทยแห่งชาติ
      วันสิ่งแวดล้อมโลก World Environment Day
      วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม 2566 World No Tobacco Day
      วันครอบครัว 14 เมษายน ประวัติความเป็นมาและความสำคัญ
      วันสตรีสากล ประวัติความเป็นมาความสำคัญของวันสตรีสากล




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related