กุลาวกชาดก ชาดกว่าด้วยการเสียสละ

พระศาสดาครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว ตรัสกับภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนครองราชย์สมบัติในเทวโลก ถึงจะสละชีวิตของตนก็ไม่กระทำปานาติบาตรด้วยประการดังนี้ เธอชื่อว่าบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เห็นปานนี้เหตุใดจักดื่มน้ำมีตัวสัตว์มิได้กรองเล่า https://dmc.tv/a22861

บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ
[ 6 ธ.ค. 2560 ] - [ ผู้อ่าน : 18257 ]

ชาดก 500 ชาติ

กุลาวกชาดก ชาดกว่าด้วยการเสียสละ

พระภิกษุสองสหายเดินทางไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระภิกษุสองสหายเดินทางไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ดื่มน้ำที่ไม่ได้กรอง จึงตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้
ภิกษุหนุ่มสองสหายออกเดินทางจากชนบทเพื่อไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุรูปหนึ่งมีเครื่องกรองน้ำซึ่งเป็นอัฐบริขาร ส่วนอีกรูปหนึ่งนั้นไม่มี
ทั้งสองรูปจึงใช้เครื่องกรองน้ำดื่มร่วมกัน
 
ภิกษุทั้งสองรูปใช้เครื่องกรองน้ำดื่มร่วมกัน
 
ภิกษุทั้งสองรูปใช้เครื่องกรองน้ำดื่มร่วมกัน
 
     “ ถ้าท่านใช้เครื่องกรองน้ำเสร็จแล้ว ขอเราใช้บ้างนะ ” “ ได้สิ เชิญท่านตามสบายเลย ” วันหนึ่งภิกษุทั้งสองรูปเกิดมีปัญหาโต้เถียงกัน ภิกษุผู้เป็นเจ้าของ
เครื่องกรองน้ำจึงไม่ให้ภิกษุผู้ร่วมเดินทางใช้เครื่องกรองน้ำของตน “ ดีล่ะ ต่อไปท่านไม่ต้องใช้เครื่องกรองน้ำของเราอีก ”
 
ภิกษุทั้งสองมีเรื่องขัดแย้งเลยโต้เถียงกัน
 
ภิกษุทั้งสองมีเรื่องขัดแย้งเลยโต้เถียงกัน
 
     “ เครื่องกรองน้ำของเจ้าหน่ะ เราไม่อยากจะใช้หรอก ” เมื่อเดินทางได้สักระยะ ภิกษุผู้ไม่มีเครื่องกรองน้ำ ก็ไม่อาจอดกลั้นความกระหายได้ จึงดื่มน้ำที่ไม่ได้กรอง
“ หึๆ เดินทางมาไกลชักกระหายแล้วสิ ดื่มน้ำสักหน่อยดีกว่า ” “ โอ้ย หิวน้ำจัง ไม่ไหวแล้ว คงต้องดื่มน้ำที่ไม่กรองสะแล้ว ” ภิกษุทั้งสองเดินทางมาถึงพระเชตวัน
มหาวิหารแล้วจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
 
ภิกษุผู้ไม่มีเครื่องกรองน้ำได้ดื่มน้ำโดยไม่ได้กรอง
 
ภิกษุผู้ไม่มีเครื่องกรองน้ำได้ดื่มน้ำโดยไม่ได้กรอง 
     
     “ พวกเธอมาจากไหน ” “ พวกเรามาจากโกสนชนบท มาเพื่อเข้าเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าค่ะ ” พระศาสดาทรงตรัสถามถึงการเดินทาง ภิกษุทั้งสองจึงเล่าถึงการทะเลาะ
โต้เถียงในระหว่างเดินทางและเรื่องที่ดื่มน้ำโดยไม่ใช้เครื่องกรองน้ำ “ ภิกษุรูปนี้โต้เถียงกับข้าพระองค์ในระหว่างทาง แล้วไม่ให้ยืมเครื่องกรองน้ำพระเจ้าค่ะ ”
“ ภิกษุรูปนี้รู้อยู่ว่าดื่มน้ำที่มีตัวสัตว์ ก็ยังดื่ม ”
 
ภิกษุทั้งสองได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
ภิกษุทั้งสองได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
     “ ดูก่อนภิกษุ เธอดื่มน้ำมีตัวสัตว์จริงหรือ ” “ พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์กระหายน้ำ จนต้องดื่มน้ำที่ไม่ได้กรอง ” “ ดูก่อนภิกษุ แม้บัณฑิตในกาลก่อน ซึ่งครองราชย์สมบัติ
ในเทพนคร ยังยอมตาย ยอมที่จะพ่ายแพ้ในการรบ แต่จะไม่ยอมทำลายชีวิตสัตว์อื่น เพื่อความเป็นใหญ่ของตนเลย ” พระพุทธองค์ทรงติเตียนภิกษุรูปนั้น แล้วทรงนำอดีต
นิทานมาแสดง
 
พราหมณ์ชาวนาเสียใจมากกับความเสียหายในไร่นาของตน
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่า กุลาวกชาดก
 
     ในอดีตกาล พระเจ้ามคตราชพระองค์หนึ่ง ครองราชอยู่ที่เมืองราชคฤในแคว้นมคธ ณ หมู่บ้านมจลคามแห่งแคว้นมคธนั้นเอง พระโพธิสัตย์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์
มีนามว่า มฆะ ครั้นเจริญเติบโตในวัยอันควรแล้ว บิดามารดาจึงให้แต่งงานกับหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกัน อยู่กินกันด้วยความสุข มีทรัพย์สมบัติและบุตรธิดามากมาย

 
พระโพธิ์สัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อว่า มฆะ
 
พระโพธิ์สัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อว่า มฆะ
 
     มฆมานพได้เป็นผู้นำครอบครัวให้ทำบุญทำทานและรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เพื่อความผาสุกแห่งครอบครัว ในหมู่บ้านแห่งนั้นมีชาวบ้านอาศัยอยู่สามสิบตระกูล
วันหนึ่งในขณะที่มฆมานพเดินเล่นในหมู่บ้าน เห็นสถานที่แห่งหนึ่งแล้วพอใจ จึงจัดการเก็บกวาดทำ จนกระทั่งเป็นสถานที่น่ารื่นรม น่าพักผ่อนหย่อนใจ
 
มฆมานพได้เติบโตเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม
 
มฆมานพได้เติบโตเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม
  
     “ ที่นี่ช่างสงบร่มเย็นเหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ ดีล่ะ เราจะปัดกวาดที่นี่ให้น่าอยู่ ” วันรุ่งขึ้นมฆมานพตั้งใจจะมาพักผ่อน ณ ที่ ซึ่งตนเองได้เก็บกวาดไว้นั้น ก็ปรากฏว่า
มีผู้อื่นมาพักใช้เป็นที่พักเสียแล้ว มฆมานพจึงจัดหาสถานที่ใหม่ กระทำให้เป็นที่พักอันน่ารื่นรมย์อีก “ อ้าว มีคนมาพักที่นี่สะแล้ว เฮ้ยช่างเถอะ เราหาที่ใหม่ก็ได้ ”
 
มฆมานพและภรรยาได้ทำการให้ทาน
 
มฆมานพและภรรยาได้ทำการให้ทาน
   
     ครั้นพอวันรุ่งขึ้นก็มีผู้มาใช้ประโยชน์ที่แห่งใหม่ซึ่งมฆมานพจัดหาไว้อีก เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวัน กระทั่งมฆมานพได้สร้างสถานอันน่ารื่นรมไว้ถึงสามสิบแห่งให้แก่ตระกูลต่างๆ
ในหมู่บ้านนั้นทั้งหมด “ เราเก็บกวาดสถานที่เหล่านี้ ถึงสามสิบแห่งแล้วสินะ ดีจริงต่อไปทุกครอบครัวในหมู่บ้านเรา ก็จะมีที่ให้พักผ่อนกันแล้ว ”
 
มฆมานพได้ปัดกวาดสถานที่เพื่อเป็นที่พักผ่อน
 
มฆมานพได้ปัดกวาดสถานที่เพื่อเป็นที่พักผ่อน
 
     ต่อมามฆมานพได้สร้างศาลาไว้ในที่เหล่านั้น พร้อมทั้งตั้งตุ่มน้ำดื่มไว้ กระทำศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ทั้งสามสิบตระกูล ต่างพากันช่วยถางทาง สร้างถนน สร้างสะพาน
ขุดสระ สร้างศาลา ให้ทาน และรักษาศีล 5 ตามมฆมานพ การที่ชาวบ้านรักษาศีล 5 ตามมฆมานพนั้น ได้สร้างความไม่พอใจให้กับหัวหน้าหมู่บ้านเป็นอย่างมาก
 
มีชาวบ้านได้มาใช้สถานที่ที่มฆมานพได้ปัดกวาดทำความสะอาดไว้
 
มีชาวบ้านได้มาใช้สถานที่ที่มฆมานพได้ปัดกวาดทำความสะอาดไว้
  
     เนื่องจากการละเว้นการฆ่าสัตว์และละเว้นการดื่มสุรานั้น ทำให้ตนเองเสียรายได้ “ หนอย พวกชาวบ้านไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ดื่มเหล้า แบบนี้ทำให้เราขาดรายได้ คอยดูเถอะ
ข้าต้องหาทางกลั่นแกล้งพวกมันให้ได้ ” คิดได้ดังนั้นแล้วหัวหน้าหมู่บ้านจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามคตราช และกราบทูลเสด็จว่า มีพวกโจรเที่ยวเข่นฆ่าชาวบ้าน
 
มฆมานพได้สร้างศาลาที่พักพร้อมน้ำดื่มไว้ตรงสถานที่สำหรับพักผ่อนในหมู่บ้าน

มฆมานพได้สร้างศาลาที่พักพร้อมน้ำดื่มไว้ตรงสถานที่สำหรับพักผ่อนในหมู่บ้าน    
 
     พระราชาเมื่อได้ทรงเสดับฟังคำของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว จึงรับสั่งว่าให้นำคนเหล่านั้นมา “ เจ้าจงนำทหารไปจับโจรชั่วเหล่านั้นมาให้เรา ” “ พระเจ้าข้า ” พระราชาทรงหลงเชื่อ
คำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านไม่ทันได้ไต่สวนความก็รับสั่งให้ประหารด้วยการนำช้างมาเหยียบให้ตาย เมื่อราชบุรุษให้ชาวบ้านนอนลงที่พระลานหลวงก็ไสช้างเข้ามา
“ พวกเจ้าทุกคน นอนลงที่นี่ล่ะ อย่าได้คิดหนีเชียว ”
 
ชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างถนน สร้างสะพาน ขุดสระ ไว้ในหมู่บ้านของพวกตน
 
ชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างถนน สร้างสะพาน ขุดสระ ไว้ในหมู่บ้านของพวกตน
  
     “ พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด จับเรามาทำไม ” “ นั่นสิ พวกเราไม่ใช่โจรนะ ปล่อยพวกเราไปเถอะ ” แม้ชาวบ้านจะพยายามอธิบายและร้องขอชีวิตต่อพระราชา
แต่ก็ไม่เป็นผล ราชบุรุษได้ไสช้างเข้าไปยังชาวบ้านที่นอนอยู่หมายจะเอาชีวิต ระหว่างนั้นมฆมานพได้ปลอบใจชาวบ้านและเตือนสติให้ระลึกถึงศีล 
 
หัวหน้าหมู่บ้านไม่พอใจในการกระทำของชาวบ้านและมฆมานพยิ่งนัก
 
หัวหน้าหมู่บ้านไม่พอใจในการกระทำของชาวบ้านและมฆมานพยิ่งนัก
 
     “ ฟังเราก่อน ท่านทั้งหลายจงระลึกศีล จงเจริญเมตตาให้คนที่ยุแหย่พระราชารวมทั้งช้างตัวนั้นด้วย ” “ ทำแบบนั้นแล้วจะได้อะไร นี่ช้างมันจะมาเหยียบพวกเราอยู่แล้ว
คราวนี้มีหวังแบนเป็นกล้วยทับแน่ๆ ” “ ข้าว่าเราลองดูก็ไม่เสียหายนะ ไหนๆ ก็ต้องตายแล้ว ทำตามที่มานพบอกเถอะ ”
 
หัวหน้าหมู่บ้านได้นำความเท็จมาแจ้งต่อพระราชา
 
หัวหน้าหมู่บ้านได้นำความเท็จมาแจ้งต่อพระราชา
 
     ชาวบ้านทั้งหมดทำตามที่มฆมานพบอก เมื่อราชบุรุษนำช้างเข้าไปเพื่อให้เหยียบชาวบ้าน ช้างนั้นก็ไม่ยอมเข้าไป ร้องเสียงลั่นแล้วหนีไป แม้จะนำช้างเชือกอื่นมา
ก็เป็นเช่นเดียวกัน เหตุการณ์นี้สร้างความแปลกใจแก่พระราชายิ่งนัก

ชาวบ้านถูกนำตัวมาเพื่อให้ช้างเหยียบ
 
ชาวบ้านถูกนำตัวมาเพื่อให้ช้างเหยียบ

     ทรงคิดว่าชาวบ้านมียาที่ทำให้ช้างไม่กล้าเข้าไปใกล้ จึงรับสั่งให้ราชบุรุษค้นตัวชาวบ้าน “ ทำไมช้างพวกนี้ ถึงไม่ยอมเข้าไปนะ ราชบุรุษจงค้นดูว่าโจรพวกนี้
มียาอะไรในมือรึเปล่า ” “ พวกเจ้าซ่อนยาอะไรไว้เอาออกมาสะดีๆ ” “ ยาอะไรพวกเราไม่มีหรอกค้นยังก็ไม่เจอ
 
มฆมานพบอกให้ชาวบ้านแผ่เมตตาก่อนที่จะถูกลงโทษ
 
มฆมานพบอกให้ชาวบ้านแผ่เมตตาก่อนที่จะถูกลงโทษ
 
     ” พวกราชบุรุษตรวจค้นดูแล้วก็ไม่พบอะไร พระราชาทรงสงสัยว่าชาวบ้านจะมีเวทมนต์ทำให้ช้างกลัว จึงสั่งให้เรียกมฆมานพมาสอบถาม “ พวกเจ้ามีมนต์อะไรกัน
จงบอกเรามา ” “ ข้าพระองค์ ไม่ได้มีมนต์หรอกพระเจ้าค่ะ แต่พวกเราไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวคำเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา เจริญเมตตา
ให้ทาน นี่เป็นมนต์เป็นเครื่องป้องกันของข้าพระองค์ทั้งหลายพระเจ้าค่ะ ”
 
ช้างไม่กล้าเหยียบชาวบ้านที่นอนรอการถูกลงโทษ

ช้างไม่กล้าเหยียบชาวบ้านที่นอนรอการถูกลงโทษ
 
     พระราชาได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใส ทรงยกสมบัติในเรือนทั้งหมดของหัวหน้าหมู่บ้าน และให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นทาสของชาวบ้านเหล่านั้น พร้อมทั้งมอบช้าง
และบ้านเรือนแก่ชาวบ้าน
 
พระราชาทรงสอบถามมฆมานพเกี่ยวกับชาวบ้านที่กำลังจะถูกลงโทษ
 
พระราชาทรงสอบถามมฆมานพเกี่ยวกับชาวบ้านที่กำลังจะถูกลงโทษ
 
     “พวกท่านดำรงอยู่ในศีลแบบนี้ ไม่มีทางเป็นโจรร้ายแน่ๆ เจ้าหัวหน้าหมู่บ้านบังอาจมาหลอกเรา ดีละต่อไปเราจะให้เจ้าเป็นทาสรับใช้คนพวกนี้ แล้วก็เอาสมบัติ
ของเจ้าทั้งหมดมาแบ่งให้กับชาวบ้าน ” “ ความซวยมาเยือนแล้วสิเรา เสียทรัพย์สมบัติแล้ว ยังต้องไปเป็นทาสเจ้าพวกนี้อีก ”
 
หัวหน้าหมู่บ้านถูกปลดตำแหน่งไปเป็นทาสรับใช้ของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย
 
หัวหน้าหมู่บ้านถูกปลดตำแหน่งไปเป็นทาสรับใช้ของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย
 
     มฆมานพได้ปฏิบัติวัตรบท 7 คือ เลี้ยงดูบิดามารดา เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล พูดจาสุภาพนิ่มนวล ไม่กล่าวคำส่อเสียด ปราศจากความตระหนี่ กล่าวแต่คำสัตย์
เป็นผู้ไม่โกรธ เมื่อสิ้นอายุขัยจึงได้ไปบังเกิดเป็นท้าวสักกะบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 
มฆมานพได้บังเกิดเป็นท้าวสักกะบนสวรรค์ชั้นดาวดีงส์

มฆมานพได้บังเกิดเป็นท้าวสักกะบนสวรรค์ชั้นดาวดีงส์
 
     แม้พวกสหายของมฆมานพก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาเช่นกัน ครั้งหนึ่งท้าวสักกะได้ทำการรบกับพวกอสูร โดยมีมาตลีเทพบุตรเป็นสารถี แต่พลาดท่าเสียทีแก่พวกอสูร
จึงต้องแล่นรถหนีเพื่อกลับเข้าสู่เทพนคร “ พวกอสูรมีเยอะเหลือเกิน เราถอยก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ ” “ ดีเหมือนกัน เรากลับไปตั้งหลักที่เทพนครก่อนดีกว่า ”
 
ท้าวสักกะได้ทำการรบกับพวกอสูร
 
ท้าวสักกะได้ทำการรบกับพวกอสูร
 
     ขณะที่พ่ายแพ้หนีกลับมายังเทพนครนั่นเอง มาตลีเทพบุตรได้ขับรถผ่านป่างิ้ว ระหว่างทางรถของท้าวสักกะได้ทำลายต้นงิ้วซึ่งเป็นที่อยู่ของลูกครุฑจำนวนมาก
พวกลูกนกครุฑที่พลัดตกลงมาก็พากันร้องเสียงขรม
 
 
มาตลีได้กราบทูลให้ท้าวสักกะทรงถอยการสู้รบเพราะพวกอสูรมีมากกว่า
 
มาตลีได้กราบทูลให้ท้าวสักกะทรงถอยการสู้รบเพราะพวกอสูรมีมากกว่า
 
     “ มาตลี เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า เสียงร้องน่าสงสารยิ่งนัก ” “ นั่นเป็นเสียงของลูกนกครุฑที่ตกลงมาจากต้นงิ้วพระเจ้าค่ะ ” “ลูกนกครุฑเหล่านี้ต้องลำบากเพราะเรา
เราจะไม่อาศัยความเป็นใหญ่แล้วกระทำกรรม เพื่อประโยชน์แกลูกนกครุฑเหล่านี้ เราจักสละชีวิตให้แก่พวกอสูร ท่านจงกลับรถเถิด ”
 
ราชรถของท้าวสักกะได้ทำลายต้นงิ้วจนเกิดความเสียหาย
 
ราชรถของท้าวสักกะได้ทำลายต้นงิ้วจนเกิดความเสียหาย
 
     ท้าวสักกะไม่ต้องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงทรงสั่งให้พระมาตลีสารถีกลับรถไปยังทางเดิมหมายจะสละชีวิต ฝ่ายพวกอสูรเมื่อเห็นท้าวสักกะย้อนกลับมา ก็คิดว่า
ก็คงมีกำลังเสริมมาช่วย จึงพากันหนีเข้าไปยังภพอสูรตามเดิม “ นั่นๆ ท้าวสักกะกลับมาอีกแล้ว ฮ่าๆ ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ”
 
ลูกนกครุฑพลัดร่วงจากต้นไม้ได้รับบาดเจ็บ
 
ลูกนกครุฑพลัดร่วงจากต้นไม้ได้รับบาดเจ็บ
 
     “ ข้าว่า ท้าวสักกะคงมีกำลังเสริมมาช่วยแน่ ไม่งั้นจะกล้าย้อนกลับมารึ ” “ จริงด้วยสิ แล้วเราจะทำยังไงกันดี อ้าวเฮ้ย หายไปไหนกันหมด ” เมื่อพวกอสูร หนีกลับไป
ยังภพอสูรแล้ว ท้าวสักกะจึงทรงเป็นผู้ชนะศึกในครั้งนั้น 
 
พวกอสูรตกใจและพากันหนีไปเมื่อเห็นท้าวสักกะย้อนกลับมา
 
พวกอสูรตกใจและพากันหนีไปเมื่อเห็นท้าวสักกะย้อนกลับมา
 
     พระศาสดาครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว ตรัสกับภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนครองราชย์สมบัติในเทวโลก ถึงจะสละชีวิตของตนก็ไม่กระทำ
ปานาติบาตรด้วยประการดังนี้ เธอชื่อว่าบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เห็นปานนี้เหตุใดจักดื่มน้ำมีตัวสัตว์มิได้กรองเล่า
     
     พระศาสดาทรงติเตียนภิกษุนั้น แล้วทรงประชุมชาดกว่า 
 
    
มาตลี สารถีในครั้งนั้น กำเนิดเป็น พระอานนท์
ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น เสวยพระชาติเป็นเราตะถาคตชะนี้แล
 

รับชมคลิปวิดีโอ
ชมวิดีโอ   Download ธรรมะ
 
 




พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
      เกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
      ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
      ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
      ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
      มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
      ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
      สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
      สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
      อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
      สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
      สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
      อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ