ฆตบัณฑิตชาดก ชาดกว่าด้วยความดับความโศก

ณ บ้านหลังหนึ่งในเชตวัน สาวัตถี กุฎุมพีเจ้าของบ้านได้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ เป็นอันมากเนื่องจากบุตรชายอันเป็นที่รักของเขาได้ตายจากไป ความเศร้าเสียใจของชายผู้นี้กินเวลาเนิ่นนาน วันเดือนปีจะผ่านพ้นไปเพียงใด เขาก็ยังไม่สามารถทำใจได้ https://dmc.tv/a22981

บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ
[ 30 ม.ค. 2561 ] - [ ผู้อ่าน : 18259 ]

ชาดก 500 ชาติ

ฆตบัณฑิตชาดก-ชาดกว่าด้วยความดับความโศก

กุฎุมพีโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากที่บุตรชายของตนได้เสียชีวิต

กุฎุมพีโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากที่บุตรชายของตนได้เสียชีวิต
  
     ณ บ้านหลังหนึ่งในเชตวัน สาวัตถี กุฎุมพีเจ้าของบ้านได้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ เป็นอันมากเนื่องจากบุตรชายอันเป็นที่รักของเขาได้ตายจากไป
ความเศร้าเสียใจของชายผู้นี้กินเวลาเนิ่นนาน วันเดือนปีจะผ่านพ้นไปเพียงใด เขาก็ยังไม่สามารถทำใจได้
 
พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
 
พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
 
     “ ลูกพ่อ เจ้าจากพ่อไปแล้ว ต่อไปพ่อจะอยู่อย่างไร เจ้าก็เปรียบเสมือนดวงใจของพ่อ ขาดเจ้าไป ก็เหมือนพ่อขาดลมหายใจ ” ครั้งนั้นองค์พระศาสดา
ได้ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงตรัสกับชายผู้นี้ว่า
 
พระราชามหาวังสะผู้ครองราชสมบัติในอเสตันนคร
 
พระราชามหาวังสะผู้ครองราชสมบัติในอเสตันนคร
 
     “ ดูก่อนอุบาสก โบราณบัณฑิต ฟังถ้อยคำของบัณฑิตแล้ว ไม่เศร้าโศกถึงลูกที่ตายไปแล้ว ” อุบาสกนั้นกราบทูลอาราธนาให้เล่าถึงเรื่องราว จึงทรงนำเรื่อง
ในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล มีพระราชาทรงพระนามว่า มหาวังสะ ครองราชย์สมบัติอยู่ในอเสตันนคร แคว้นกันโคตรใกล้อุตราประเทศ 
 
พระเจ้ากังสะทรงมีพระโอรสสองพระองค์และพระธิดาอีกหนึ่งพระองค์
 
พระเจ้ากังสะทรงมีพระโอรสสองพระองค์และพระธิดาอีกหนึ่งพระองค์
 
     พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่า กังสะ องค์หนึ่งพระนามว่า อุปกังสะ มีพระราชธิดาองค์หนึ่งพระนามว่า เทวคัพภา ในวันที่
พระราชธิดานั้นประสูติ พราหมณ์ได้ทายไว้ว่า พระโอรสที่เกิดในพระครรภ์ของพระนางเทวคัพภานั้นจักทำวงศ์ กังสโคตรกังสวงศ์ให้พินาศ 
 
พระเจ้ามหาสาครราชแห่งอุตตรปถประเทศทรงมีพระโอรสสองพระองค์
 
พระเจ้ามหาสาครราชแห่งอุตตรปถประเทศทรงมีพระโอรสสองพระองค์
 
     พระราชาไม่อาจให้สำเร็จโทษพระราชธิดาได้ เพราะทรงสิเน่หามาก แม้พระโอรสทั้งสองก็ทรงทราบเหมือนกัน พระราชาทรงดำรงราชสมบัติ
ตลอดพระชนมายุแล้ว เสด็จสวรรคตด้วยประการชะนี้ เมื่อพระเจ้ามหาวังสะเสด็จสวรรคตแล้ว กังสะราชโอรสได้เป็นพระราชา
 
พระนางเทวคัพภาทรงประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว
 
พระนางเทวคัพภาทรงประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว
 
     อุปกังสะราชโอรสได้เป็นอุปราช ทั้งสองช่วยกันปกครองบ้านเมืองอย่างเป็นสุขต่อไป แต่คำทำนายของพราหมณ์ ที่ได้ทำนายพระนางเทวคัพภานั้น
ก็ยังติดอยู่ในพระทัยของผู้เป็นเชษฐาอยู่เสมอ ด้วยความกลัวคำทำนายนั้น ทั้งสองพระองค์จึงได้สร้างปราสาทเสาเดียวให้พระราชธิดาอยู่ในปราสาทนั้น
 
อุปราชอุปสาครทรงให้สินบนแก่นางนันทโคปาเพื่อให้นางพาไปยังปราสาทเสาเดียว
 
อุปราชอุปสาครทรงให้สินบนแก่นางนันทโคปาเพื่อให้นางพาไปยังปราสาทเสาเดียว
 
หมายจะให้นางครองโสดอยู่ในปราสาทนั้นตลอดไป แล้วได้ให้นางทาสนันทโคปา เป็นบาทบริจาริกาของพระนาง และให้ทาสนามว่า อันธกเวณฑุ
ผู้เป็นสามีของนางนันทโคปาเป็นผู้พิทักษ์รักษาพระนาง
 
อุปราชอุปสาครได้ลักลอบพบเจอกับพระนางเทวคัพภาเป็นประจำ
 
อุปราชอุปสาครได้ลักลอบพบเจอกับพระนางเทวคัพภาเป็นประจำ  
     
     ส่วนอีกด้านหนึ่งในอุตตรปถประเทศพระเจ้ามหาสาครราช พระองค์มีพระราชโอรสอยู่สองพระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่า สาคร องค์หนึ่งพระนามว่า
อุปสาคร ก็ในบรรดาพระราชโอรสสองพระองค์นั้น เมื่อพระชนกเสด็จสวรรคต สาครราชโอรสได้เป็นพระราชา อุปสาครราชโอรสได้เป็นอุปราช
 
พระเจ้ากังสะทรงสอบถามนางนันทโคปาถึงเหตุที่พระนางเทวคัพภาทรงตั้งครรภ์
 
พระเจ้ากังสะทรงสอบถามนางนันทโคปาถึงเหตุที่พระนางเทวคัพภาทรงตั้งครรภ์
 
     อุปสาครอุปราชนั้น เป็นสหายของอุปกรรอุปราชเนื่องด้วยสำเร็จการศึกษาคราวเดียวกัน ตระกูลอาจารย์คนเดียวกัน ครั้งนั้นได้เกิดเรื่องไม่ดีงามขึ้นในอุตตรปถประเทศ
อุปสาครอุปราชได้ทำมิดีมิงาม นางสนมกำนันในของพระเจ้าพี่สาครราช ด้วยความกลัวพระราชอาญา จึงหนีไปสำนักอุปกังสะอุปราช ในแคว้นกังสะโคตรพระเจ้ากังสะ
ทรงโปรดให้อุปสาครพักอาศัยอยู่ในพระราชวัง และโปรดให้ขึ้นเป็นอุปราช
 
 พระนางเทวคัพภาทรงคลอดพระราชโอรสแต่ทรงสลับนำลูกสาวของนันทโคปามาเลี้ยงเป็นบุตรของตนแทน
 
พระนางเทวคัพภาทรงคลอดพระราชโอรสแต่ทรงสลับนำลูกสาวของนันทโคปามาเลี้ยงเป็นบุตรของตนแทน
 
     อุปสาครอุปราช วันหนึ่งเมื่ออุปราชทั้งสองกลับจากเข้าเฝ้าพระเจ้าอังสะ อุปราชอุปสาครก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางเทวคัพภาบนปราสาทเสาเดียวนั้น
และก็มีจิตปฏิพัทธ์ในพระนางเทวคัพภา “นั้นใครรึอุปกังสะ นางช่างสวยเหลือเกิน” “พระขนิษภคินีของเราเอง เทวคัพภา” ไม่เพียงแต่อุปสาครอุปราชเท่านั้น
ที่มีจิตปฏิพัทธ์ พระนางเทวคัพภาก็เช่นกัน ด้วยจิตสิเน่หา
 
พระนางเทวคัพภาทรงมีพระราชโอรสทั้งหมดสิบพระองค์
 
พระนางเทวคัพภาทรงมีพระราชโอรสทั้งหมดสิบพระองค์
  
     อุปสาครอุปราชจึงให้สินบนนางนันทโคปาแล้วให้พาไปที่ปราสาทเสาเดียว นางนันทโคปาด้วยเห็นว่า พระนางเทวคัพภาก็มีจิตสิเน่หาอุปราชอุปสาครเช่นกัน
จึงให้อุปสาครอุปราชขึ้นปราสาทในเวลาราตรี และเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาเข้า จนพระนางได้ตั้งครรภ์ “ เรื่องมันเป็นยังไงกัน เหตุใดน้องหญิงจึงตั้งพระครรภ์ได้ ”
“ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพค่ะ หม่อมฉันเห็นว่า พระนางกับท่านอุปราชอุปสาครรักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงไม่อาจห้ามปรามได้ ”
 
พระโอรสทั้งสิบพระองค์ทรงออกปล้นสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน    

พระโอรสทั้งสิบพระองค์ทรงออกปล้นสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน
 
     “ เอาเถอะ เราไม่อาจที่สำเร็จโทษน้องหญิงได้ ถ้าเธอคลอดพระธิดาเราจักไม่สำเร็จโทษ แต่ถ้าเป็นพระราชโอรสเราจักสำเร็จโทษเสีย ” จากนั้นพระเจ้ากังสะก็ประทาน
พระนางเทวคัพภาแก่อุปสาครอุปราช อุปสาครอุปราชจึงพาพระนางเทวคัพภาไปประทับ ณ โพคนควานพราหมณ์ พระนางเทวคัพภาก็ทรงครรภ์อีก แม้นางนันทโคปา
ก็ตั้งครรภ์ในวันนั้นเหมือนกัน และแล้วเรื่องที่พระนางเทวคัพภาวิตกก็เป็นจริง 
 
อันธกเวณฑุทาสได้เล่าความจริงต่อพระเจ้ากังสะว่าโอรสทั้งสิบพระองค์ไม่ใช่บุตรของตนแต่เป็นโอรสของพระนางเทวคัพภา
 
อันธกเวณฑุทาสได้เล่าความจริงต่อพระเจ้ากังสะว่าโอรสทั้งสิบพระองค์ไม่ใช่บุตรของตนแต่เป็นโอรสของพระนางเทวคัพภา
  
     เมื่อหญิงทั้งสองมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระนางเทวคัพภาประสูติพระโอรส แม้นางนันทโคปาก็คลอดธิดาในวันเดียวกันนั้นเอง พระนางเทวคัพภากลัวพระโอรส
จะวินาศด้วยภัย จึงส่งพระโอรสไปให้นางนันทโคปา แล้วนำธิดานันทโคปามาให้เปลี่ยนกันเลี้ยงแล้วเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้รู้เฉพาะพระนางกับอุปราชอุปสาคร
และนันทโคปากับสามีอันทกะเท่านั้น อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลความที่พระนางเทวคัพภาประสูติแล้วให้พระเชษฐาทั้งสองทรงทราบ
 
พระเจ้ากังสะทรงหลอกให้โอรสทั้งสิบต่อสู้กับนักมวยปล้ำหมายจะกำจัดทิ้ง
 
พระเจ้ากังสะทรงหลอกให้โอรสทั้งสิบต่อสู้กับนักมวยปล้ำหมายจะกำจัดทิ้ง
 
     พระนางเทวคัพภาประสูติพระโอรสรวมสิบองค์ นางนันทโคปาก็คลอดลูกหญิงรวมสิบคน ได้เปลี่ยนให้กันเลี้ยงด้วยอุบายนี้ โอรสของพระนางเทวคัพภา
เจริญอยู่ในสำนักนางนันทโคปา ใครๆ ก็ไม่ได้รู้ความลับเรื่องนั้น ต่อมาโอรสเหล่านั้นครั้นเจริญวัยแล้ว มีกำลังเรี่ยวแรงมาก เป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็ง พากัน
เที่ยวปล้นประชาชน แม้คนนำบรรณาการไปถวายพระราชาก็พากันปล้นเอาหมด ประชาชนประชุมกันร้องทุกข์ที่พระลานหลวงว่า
 
มุฏฐิกะคนปล้ำถูกพลเทพทุบจนกระดูกละเอียดตายคาสังเวียน
 
มุฏฐิกะคนปล้ำถูกพลเทพทุบจนกระดูกละเอียดตายคาสังเวียน
 
     พี่น้องสิบคนซึ่งเป็นบุตรของอันธกเวณฑุทาสปล้นแว่นแคว้น เมื่อนั้นอันทกะเวรทุ ด้วยความกลัวต่อมรณะภัย จึงทูลขออภัยโทษแล้วกล่าวความจริงทั้งหมดให้ทรงทราบ
“ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมุติเทพ กุมารเหล่านั้นมิใช่บุตรของข้าพระองค์ เป็นโอรสของอุปสาครอุปราชกับพระนางเทวคัพภาพระเจ้าค่ะ ” พระเจ้ากังสะ กับอุปราชอุปกังสะ
ทรงตกพระทัยเป็นอย่างมากเร่งประชุมปรึกษาอุบายแก้ไขกับอำมาตย์ทั้งหลาย

พระเจ้ากังสะทรงสั่งให้ราชบุรุษเข้าจับพระโอรสทั้งสิบพระองค์ของพระนางเทวคัพภา
 
พระเจ้ากังสะทรงสั่งให้ราชบุรุษเข้าจับพระโอรสทั้งสิบพระองค์ของพระนางเทวคัพภา
 
     ลำดับนั้นจึงคิดอุบายหลอกให้กุมารเหล่านั้นเข้าต่อสู้มวยปล้ำและจัดการฆ่าเสียที่สนามมวยปล้ำนั้น “ โธ่เอ้ย นี่นะรึ คู่ต่อสู้ที่ส่งมา จะครนาฝีมือเราได้สักเท่าไหร่เชียว
พี่ๆ น้องๆ ทุกคนยกให้เป็นหน้าที่ของเราเถิด โธ่ ยังไม่ทันนับหนึ่งถึงสิบเลยเจ้าก็ไปไม่รอดแล้ว ฝีมือกระจอกจริงๆ ” พระราชารับสั่งให้มุฏฐิกกะคนปล้ำทำการต่อสู้ต่อไป
มุฏฐิกะลุกออกไปโห่ร้องคำรามปรบมืออยู่ พลเทพทุบมุฏฐิกะจนกระดูกละเอียดแล้วโยนออกไปนอกสังเวียน “ ชนะแล้วพี่น้องเอ๋ย เราชนะแล้ว ฮ่าๆๆๆ ”
 
วาสุเทพขว้างจักรใส่พระเศียรฆ่าเสด็จลุงของพวกตน
 
วาสุเทพขว้างจักรใส่พระเศียรฆ่าเสด็จลุงของพวกตน
 
     “ ด้วยความโกรธที่เรามีต่อเจ้า ชาตินี้เราล้างแค้นเจ้าไม่ได้ ชาติหน้ามีจริงขอให้เราเป็นยักษ์ฉีกเนื้อเจ้ากินด้วยเถิด ” เมื่อเห็นว่าอุบายที่วางไว้ไม่สำเร็จพระราชา จึงลุกตรัส
ให้ราชบุรุษจับกุมารทั้งสิบพระองค์ไว้ “อย่าคิดว่าพวกเราจะยอมให้จับง่ายนะ ใครที่คิดร้ายต่อพวกเราก็ต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสมเช่นกัน” ครั้งนั้นวาสุเทพขว้างจักร
ไปตกถูกพระเศียรกษัตริย์สองพี่น้องสิ้นพระชนม์
 
อุปราชอุปสาครและพระนางเทวคัพภาทรงขึ้นครองราชย์แทนพี่ชายของตน
 
อุปราชอุปสาครและพระนางเทวคัพภาทรงขึ้นครองราชย์แทนพี่ชายของตน
 
     มหาชนพากันสะดุ้งหวาดกลัวหมอบลงแทบเท้าของกุมารเหล่านั้นด้วยกล่าวว่า ขอพระองค์ได้เป็นที่พึ่งของพวกข้าพระองค์เถิด กุมารเหล่านั้นครั้นปลงพระชนม์พระเจ้าลุงทั้งสอง
ก็ยึดราชสมบัติอสิตันยะราชนคร ยกมารดาบิดาขึ้นครองราชย์สมบัติแล้วก็ลำพองใจฮึกเหิมออกทำสงครามแย่งชิงนครทั้งหมด ครั้งนั้นราชกุมารทั้งสิบพระองค์ชวนกันยกทัพออกไป
ตามลำดับ แล้วพากันไปถึงกรุงทวาราวดี
 
พระโอรสทั้งสิบพระองค์ออกทำสงครามแย่งชิงพระนครตามเมืองต่างๆ
 
พระโอรสทั้งสิบพระองค์ออกทำสงครามแย่งชิงพระนครตามเมืองต่างๆ
 
     แต่เมืองนี้ราชกุมารทั้งสิบพระองค์ ไม่สามารถยึดครองได้โดยง่าย เนื่องจากนครนั้นมีอมนุษย์รักษา ยักษ์ผู้ยืนรักษานครนั้น เมื่อเห็นปัญจามิตรแล้วก็แปลงเภทเป็นลา
ร้องเสียงเหมือนลา ทันใดนั้นนครทั้งสิ้นก็เลื่อนลอยไปอยู่บนเกาะๆ หนึ่ง กลางสมุทร ด้วยอานุภาพยักษ์ เมื่อพวกปัจจามิตรไปแล้ว นครก็กลับมาประดิษฐานตามเดิมอีก
 
กรุงทวาราวดีมียักษ์เป็นผู้ปกป้องและรักษาพระนคร
 
กรุงทวาราวดีมียักษ์เป็นผู้ปกป้องและรักษาพระนคร
 
     กุมารเหล่านั้นเมื่อไม่อาจชิงสมบัติกรุงทวาราวดีได้ ก็พากันไปหากัณหทีปยนดาบส เพื่อปรึกษาหนทางเอาชนะ “ เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะมีลาตัวหนึ่งเที่ยวอยู่ที่หลังคูแห่งโน้น
ลานั้นเห็นพวกอมิตรแล้วร้องขึ้น ขณะนั้น นครก็เลื่อนลอยไปเสีย ท่านทั้งหลายจงจับเท้าของลานั้น นี่เป็นอุบายที่จะทำให้ท่านถึงความสำเร็จได้ดังนี้ ” กุมารทั้งสิบนมัสการ
พระดาบสแล้วก็ไปหมอบจับเท้าของลาวิงวอน

พระโอรสทั้งสิบทรงมาปรึกษา กัณหทีปยนดาบส ถึงวิธีการที่พวกตนจะได้ครอบครองกรุงทวาราวดี
 
พระโอรสทั้งสิบทรงมาปรึกษา กัณหทีปยนดาบส ถึงวิธีการที่พวกตนจะได้ครอบครองกรุงทวาราวดี
 
     “ ข้าแต่นายท่าน คนอื่นนอกจากท่านเสียแล้ว ไม่เป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้าได้ กาลเมื่อพวกข้าพเจ้ายึดนคร ขอท่านอย่าได้ร้องขึ้นเลย ” “ เราไม่อาจที่จะไม่ร้องได้หรอก
แต่ถ้าหากพวกท่านสามารถขึ้นมายังนครได้ ก่อนที่เราจะร้องนั้น ก็ยังพอมีหนทางอยู่ ” กุมารเหล่านั้นเมื่อได้ฟังอุบายจากยักษ์ที่แปลงเป็นลาแล้ว ก็รีบทำตามอุบายนั้นทันที
อุบายที่ว่านี้ก็คือ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนโอรสทั้งสิบพระองค์ก็พากันถือเอาไถ
 
พระโอรสทั้งสิบทรงทำตามวิธีการที่กัณหทีปยนดาบสแนะนำในการยึดครองกรุงทวาราวดี
 
พระโอรสทั้งสิบทรงทำตามวิธีการที่กัณหทีปยนดาบสแนะนำในการยึดครองกรุงทวาราวดี
 
     แล้วตอกหลักลงบนแผ่นดินที่ประตูเมืองทั้งสี้ด้านยืนอยู่ เมื่อยักษ์เพศลาร้องขึ้น นครเริ่มจะเลื่อนลอย กุมารสี่พระองค์ที่อาสายืนอยู่ที่ประตูเมืองทั้งสี่ด้าน จับไถเหล็กสี่คัน
เอาโซ่เหล็กผูกกับไถล่ามไว้กับหลักเหล็ก นครก็ไม่อาจเขยื้อนขึ้นได้ ลำดับนั้นกุมารสิบพี่น้อง ก็เข้านครปลงพระชนม์พระราชาแล้วก็ยึดเอาสมบัติไว้ กุมารเหล่านั้นได้ใช้จักร
ปลงพระชนม์พระราชาทั้งหมดในนครหกหมื่นสามพันนคร
 
พระโอรสทั้งสิบทรงยึดนครทั้งหมดมาเป็นของพวกตน
 
พระโอรสทั้งสิบทรงยึดนครทั้งหมดมาเป็นของพวกตน
 
     แล้วมารวมกันอยู่ที่กรุงทวาราวดีแบ่งราชสมบัติเป็นสิบส่วน โอรสทั้งเก้าคน เว้นอัลกุรกุมารขึ้นครองราชย์สมบัติคนละส่วน เหลืออีกส่วนก็ยกให้แก่อัญชนเทวีเชษฐภคินี ส่วนน้อง
อังกุรกุมารไม่ขอครองนครใดๆ แต่ขอได้ทำการค้าขายบนนครทั้งหมดเหล่านั้น ครั้นกาลล่วงไปนาน พระราชบิดา มารดาสิ้นพระชนม์ลง พี่น้องเหล่านั้นก็เจริญด้วยบุตรธิดาต่อๆ มา
ครั้งนั้น พระปิโยรสองค์หนึ่งของวาสุเทพมหาราชสิ้นพระชนม์ พระราชาทรงแต่เศร้าโศกและสรรพกิจเสีย นอนกอดแคร่พระแท่นบ่นเพ้ออยู่ กาลนั้นขัตบัณฑิตจึงคิดหาอุบายช่วยเหลือ
พระเชษฐาให้หายจากความเศร้าโศกนั้น จึงแสร้งทำเป็นคนบ้าแหงนดูอากาศ เดินบ่นไปทั่วเมือง 
 
พระราชาวาสุเทพทรงโศกเศร้าถึงบุตรของตนที่ได้สิ้นพระชนม์จากไป
 
พระราชาวาสุเทพทรงโศกเศร้าถึงบุตรของตนที่ได้สิ้นพระชนม์จากไป
 
     ข่าวเล่าลือกันไปทั่วเมืองว่า ขัตบัณฑิตเป็นบ้าเสียแล้ว พระราชาเสด็จลุกขึ้น รีบเสด็จลงจากปราสาทไปหาขัตบัณฑิต “ เหตุไรหนอเจ้าจึงเป็นเหมือนคนบ้าที่เที่ยวบ่นเพ้อ
อยู่ทั่วนครทวาราวดีนี้ ว่า กระต่ายๆ ใครเขาลักกระต่ายของเจ้าไปหรือ เจ้าอยากได้กระต่ายทอง กระต่ายเงิน กระต่ายแก้วมณี กระต่ายสังขศิลา หรือกระต่ายแก้วประภาฬ
ประการใด เจ้าจงบอกแก่พี่ พี่จักทำให้เจ้า ถ้าแม้เจ้าไม่ชอบกระต่ายเหล่านี้ ฝูงกระต่ายป่าอื่นๆ ที่มีอยู่ในป่า เราจักให้ให้เขานำกระต่ายเหล่านั้นมาให้เจ้า
เจ้าต้องการกระต่ายชนิดใดเล่า ” 
 
ขัตบัณฑิตได้คิดหาอุบายเพื่อให้พระเชษฐาของตนหายจากความโศกที่สูญเสียบุตรไป
 
ขัตบัณฑิตได้คิดหาอุบายเพื่อให้พระเชษฐาของตนหายจากความโศกที่สูญเสียบุตรไป
 
    “ ข้าแต่พระองค์ กระต่ายเหล่าใดที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน หม่อมฉันไม่ปรารถนาสิ้นทั้งนั้น หม่อมฉันปรารถนากระต่ายบนดวงจันทร์ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดสอยกระต่ายนั้น
มาให้หม่อมฉันเถิด ” “ เจ้าปรารถนา สิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนากัน อยากได้กระต่ายจากดวงจันทร์ จักละชีวิตพี่เป็นแน่ ” “ ข้าแต่ พระเจ้าพี่ เจ้าพี่ทรงทราบว่าข้าพระองค์นั้น
ปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ไม่ได้ แล้วเหตุไรเจ้าพี่ถึงเศร้าโศกถึงโอรสที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วเล่า ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ ถ้าพระองค์ทรงทราบ และตรัสสอนผู้อื่น
อย่างนี้ไซร้ เหตุไรพระองค์จึงทรงเศร้าโศกถึงพระราชโอรสผู้สิ้นพระชนม์ไปแล้วในกาลก่อน
 
พระโอรสทั้งสิบทรงประดับพระกุมารแสดงอาการเหมือนหญิงมีครรภ์พาไปหาพระดาบส
 
พระโอรสทั้งสิบทรงประดับพระกุมารแสดงอาการเหมือนหญิงมีครรภ์พาไปหาพระดาบส
 
     จนกระทั่งถึงวันนี้เล่า ข้าแต่พระเจ้าพี่หม่อมฉันปรารถนาสิ่งที่เห็นปรากฎอยู่แท้ๆ แต่เจ้าพี่ทรงเศร้าโศก เพื่อทรงประสงค์สิ่งที่มิได้ปรากฏอยู่ ” “ น้องเอ๋ย เจ้าได้ทำให้พี่หายโศกเศร้าแล้ว
เจ้าได้ถอนลูกศรที่เสียบแทงหทัยของเราออกแล้ว ได้บรรเทาความโศกถึงบุตรของเรา ผู้ถูกความโศกเศร้าครอบงำแล้วหนอ เราเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจากความโศก ไม่ขุ่นมัว
จักไม่เศร้าโศก จักไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังคำของเจ้านะน้อง” เมื่อพระเจ้าวาสุเทพผู้เป็นอัตบัณฑิต ได้หมดความโศกแล้วอย่างนี้ ครองราชย์สมบัติอยู่โดยล่วงไปแห่งกาลยืดยาวนาน
 
กษัตริย์พี่น้องทั้งสิบชานกันไปทรงสมุทรกีฬาที่ปากอ่าว
 
กษัตริย์พี่น้องทั้งสิบชานกันไปทรงสมุทรกีฬาที่ปากอ่าว
 
     จนมาถึงวันถึง ก็ถึงกาลวิบัติของกษัตริย์ทั้งสิบพระองค์ ครั้งนั้นพระกุมารโอรสของกษัตริย์พี่น้องทั้งสิบ ได้ประดับกุมารเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แสดงอาการเหมือนหญิงมีครรภ์ เอาลูกแก้วมรกต
ผูกไว้ที่ท้องแล้วนำไปหาพระดาบส “ กุมารทั้งหลายพวกท่านต้องการอะไรด้วยเรื่องนี้ ต่อนี้ไปเจ็ดวัน กุมาริกาผู้นี้จะคลอดปุ่มไม้ตะเคียนออกมา ด้วยเหตุนั้นตระกูลของวาสุเทพจะพินาศ
ท่านทั้งหลายจงเอาปุ่มไม้ตะเคียนนั้น ไปเผาแล้วเอาเถ้าไปทิ้งในแม่น้ำเถิด ” ลำดับนั้น พระกุมารเหล่านั้นคิดว่าพระดาบสโป้ปดมดเท็จ ให้ดาบสสิ้นชีวิตในที่นั้นเอง กษัตริย์พี่น้องทั้งหลาย
เรียกพระกุมารมาตรัสถาม ครั้นได้สดับเรื่องทั้งหมดแล้ว ทรงหวาดกลัว จึงรักษาเด็กนั้นไว้ 
 
มุฏฐิกะ (ตายแล้วมาเกิดเป็นยักษ์) ได้ท้าปล้ำกับพลเทพ
 
มุฏฐิกะ (ตายแล้วมาเกิดเป็นยักษ์) ได้ท้าปล้ำกับพลเทพ
 
     ครั้นถึงวันที่เจ็ด ให้เผาปุ่มตะเคียนที่ออกจากท้องเด็กนั้น แล้วเอาเถ้าไปทิ้งในแม่น้ำ เถ้านั้นถูกน้ำพัดไปติดที่ปากอ่าวข้างหนึ่งเกิดเป็นตะไคร่น้ำขึ้นที่นั้น อยู่มาวันหนึ่งกษัตริย์เหล่านั้น
ชวนกันไปทรงสมุทรกีฬา ทรงเสด็จไปที่ปากอ่าวแล้ว แล้วทรงสั่งให้ปลูกมณฑป ทรงเสวย ทรงดื่มทรงหยอกเหย้ากันที่มหามณฑปซึ่งตกแต่งงดงาม ใช้พระหัตและพระบาทถูกต้องกันไปด้วย
อำนาจความเย้ยหยัน จึงทะเลาะกันยกใหญ่ แตกกันเป็นสองพวก ลำดับนั้นกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เมื่อไม่ได้ไม้ตะบองอย่างดี ก็ถือใบตะไคร่น้ำ ใบตะไคร่น้ำนั้น พอถูกจับเข้าเท่านั้น
ก็กลายเป็นสากไม้ตะเคียน
 
พลเทพปล้ำแพ้และถูกยักษ์มุฏฐิกะฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร
 
พลเทพปล้ำแพ้และถูกยักษ์มุฏฐิกะฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร
     
     พระองค์ทรงตีมหาชนด้วยสากนั้นแล้ว สิ่งที่ทุกคนจับด้วยความเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่นก็กลายเป็นสากไปหมด เขาจึงประหารกันและกันถึงความพินาศสิ้น กษัตริย์ 4 องค์ คือ วาสุเทพ
พลเทพ อัญชนเทวีภคินี พากันขึ้นรถหนีไปถึงดงกาฬมัตติกะ ก็มุฏฐิกะคนปล้ำมาเกิดเป็นยักษ์อยู่ในดงนั้น รู้ว่าพลเทพมา ก็เนรมิตบ้านขึ้นที่นั่น แปลงเพศเป็นคนปล้ำเที่ยวโห่ร้องคำราม
ปรบมือ ท้าทายให้พลเทพมาต่อสู้ คำอธิษฐานของมุฏฐิกะเป็นจริง พลเทพไม่ทราบอุบายนั้น ออกมาปล้ำในสังเวียน จนโดนยักษย์มุฏฐิกะนั้นจับฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร
 
วาสุเทพถูกนายพรานปาหอกเข้าใส่เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสุกรในพงหญ้า
 
วาสุเทพถูกนายพรานปาหอกเข้าใส่เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสุกรในพงหญ้า
 
     วาสุเทพเห็นดังนั้น จึงพาภคินีและปุโรหิตเดินทางไปตลอดคืน รุ่งขึ้นสว่างก็ถึงปัจจันตคามนครหนึ่ง สั่งภคินีและปุโรหิตไปหาอาหารในเมือง ส่วนตัวเองเข้าไปนอนซ่อนอยู่ในกอไม้กอหนึ่ง
ครั้งนั้นนายพรานคนหนึ่งชื่อชรา เห็นก่อไม้ไหวๆ เข้าใจว่าสุกรจักมีที่นั้น จึงพุ่งหอกไปถูกพระบาทวาสุเทพ “ โอ๊ย ใครกันที่ปาหอกมาใส่เรา ใครกัน ออกมาเดี๋ยวนี้ ” นายพรานรู้ว่าตนได้แทงมนุษย์
ก็ตกใจกลัวคิดจะหนีไป แต่พระเจ้าวาสุเทพได้ตรัสเรียกไว้แล้วถามชื่อเสียง เมื่อทราบว่านายพรานคนนี้ชื่อชรา ก็ทรงทราบว่า ในว่าคนรุ่นก่อนพยากรณ์เราไว้ว่า จักถูกนายชราแทงตาย ตั้งแต่นั้นมา
พระราชาก็ไม่สามารถเสวยสิ่งใดได้ ร่างกายผอมซูบเซียว ตรัสเรียกภคินีและปุโรหิตมาสั่งเสีย แล้วให้ศึกษาวิชาอย่างหนึ่งแล้วส่งเค้ากลับไป พระองค์สิ้นพระชนม์อยู่ ณ ที่นั่นเอง
 
พระศาสดาทรงประกาศสัจธรรม
 
พระศาสดาทรงประกาศสัจธรรม
 
     กษัตริย์พี่น้องทั้งหมด นอกจากอัญชนะเทวีแล้วถึงความพินาศสิ้น “ เราจักตายวันนี้ พวกท่านทั้งสองเป็น สุขุมาลชาติ ไม่อาจจะทำงานอย่างอื่นเลี้ยงชีพได้ จงเรียนวิชานี้ไว้ ” ดูก่อนอุบาสก
โบราณกบัณฑิต ฟังด้วยคำของบัณฑิตแล้ว กำจัดความโศกถึงบุตรของตนออกได้ ท่านอย่าคิดถึงเขาเลย ดังนี้แล้วองค์พระศาสดาก็ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจจะ อุบาสกดำรงอยู่ใน
โสดาปัตติผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า
 
โรหิเณยยอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ วาสุเทพในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้      
พวกที่เหลือนอกนี้ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท ในบัดนี้
ส่วนฆตบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เสวยพระชาติ เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 

รับชมคลิปวิดีโอ
ชมวิดีโอ   Download ธรรมะ
 
 
 




พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
      เกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
      ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
      ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
      ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
      มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
      ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
      สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
      สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
      อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
      สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
      สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
      อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ