ชาดก 500 ชาติ
ติตติรชาดก-ว่าด้วยความเคารพอ่อนน้อม
นิทานชาดก ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้น แต่เป็นเรื่องในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ภิกษุในโอกาสต่างๆ เพื่อสอนคุณธรรม ให้ข้อคิด คติเตือนใจ
นก ลิง ช้าง สามสหายผู้มีความเคารพและให้เกียรติกันตามลำดับอาวุโสณ นครไพสาลี จุดกึ่งกลางของราชคฤห์มหานครแห่งขุนเขากับสาวัตถีนครหลวงแห่งอารยันในพุทธกาลนั้น เป็นที่ประทับแรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์นำภิกษุทั้งสิ้นไปจำพรรษา ณ พระเชตะวันมหาวิหารที่สร้างขึ้นถวายเป็นการเฉพาะตามคำทูลอาราธนาของอานาถบิณฑิกะเศรษฐีพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำภิกษุสาวกออกจากกรุงราชคฤห์ไปจำพรรษา ณ พระเชตวันในการเดินทางครั้งนั้นสงฆ์สาวกทุกรูปต่างประพฤติตนมั่นคงอยู่ในพระวินัยเป็นอันดี “เดินสำรวมนะท่าน ระวังจะเหยียบบรรดาสัตว์ตัวเล็กสัตว์ตัวน้อยบนพื้นเข้า” “เราจะระวังทุกฝีก้าว” เมื่อถึงคราวหยุดพัก ณ ที่ใด ภิกษุทั้งหลายก็พร้อมเพียงกันให้ความเคารพตามวัยและหน้าที่ของกันและกัน “ท่านนั่งพักตรงนี้ให้หายเหนื่อยก่อนเถอะ” “ขอบใจมาก”กลุ่มพระภิกษุฉัพพัคคี ผู้ซึ่งไม่รู้การประมาณตน“ท่านก็หาใบไม้ใบหญ้ามาปูลาดเป็นอาสนะด้วยเถิด” ในหมู่สงฆ์ยังมีพระภิกษุ 6_รูปที่เรียกว่า พระฉัพพัคคีย์ ซึ่งเป็น ผู้ไม่รู้การประมาณตนกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมขึ้น “เฮ้อ..เหนื่อยจริงๆ ที่นี่นั่งไม่สบายเลยท่าน พื้นแข็งเหลือเกิน” “ทนอีกหน่อย พอถึงไพสาลีพวกเราก็จะสบายกันแล้ว” “ทำไม? มีอะไรดีๆ เหรอ” “เราได้วางแผนเด็ดๆ ให้พวกท่านมีที่พักสบายๆ ไว้แล้วนะซี”ตัวแทนพระภิกษุฉัพพัคคีออกเดินทางล่วงหน้าไปยังไพสาลี“ห๊า....ดีจังเลยเราเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว อยากนอนพักให้สบายๆ เต็มที” หัวหน้ากลุ่มพระฉัพพัคคีย์ เห็นแก่ประโยชน์ของตนและพวกพ้องได้วางแผนให้ศิษย์ล่วงหน้าไปก่อนเพื่อจับจองเสนาสนะไว้ให้พวกตนพัก “พวกเจ้าเดินเร็วๆ หน่อยซิ เดี๋ยวพวกเขาก็เดินมาทันหรอก” “โอ้ย เหนื่อยจะแย่แล้ว พักสักนิดไม่ได้เหรอ” “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเราไปจองที่กันไม่ทัน”พระภิกษุฉัพพัคคีได้เข้าพักยังเสนาสนะที่ท่านเศรษฐีเตรียมไว้สำหรับพระอัครสาวกศิษย์พระฉัพพัคคีย์เร่งล่วงหน้ามาถึงไพสาลี ก็จับจองเอาเสนาสนะดีๆ ที่อานาถบิณฑิกะเศรษฐีจัดเตรียมไว้สำหรับพระอัครสาวกและภิกษุสูงอายุพักเอาไว้หมด “เอ้ย..ในที่สุดก็มาถึง จองตรงนี้ละนะ...” “เฮ้อ..สบายจริงๆ เลย ดีนะเนี่ยที่เราล่วงหน้ามาก่อนไม่งั้นคงไม่มีโอกาสได้พักที่ดีๆ อย่างนี้แน่เลย” ครั้นพลบค่ำสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จมาพร้อมภิกษุรูปอื่นๆพระสารีบุตรและเหล่าพระภิกษุเดินทางมาถึงยังที่พักในเวลาพลบค่ำก็เดินทางมาถึงไพสาลี ภิกษุพรรษาน้อยต่างก็หาที่พักตามโคนไม้ด้วยความประมาณตน ว่าเสนาสนะที่เศรษฐีจัดไว้นั้นเพื่อเป็นที่พักของพระอัครสาวก และพระภิกษุสูงอายุแต่แล้วก็ไม่เป็นดังที่คาดไว้เสนาสนะเหล่านั้นพระฉัพพัคคีย์ได้เข้าไปพักอาศัยเรียบร้อยแล้ว “อ้าวแล้วนั่นใครไปพักในเสนาสนะนั่นละ ไม่ใช่ที่พักของพระสารีบุตรหรอกรึ? เฮ้อ..ช่างไม่ประมาณตนเสียเลยจริงๆ”พระสารีบุตรและหมู่ภิกษุเจริญภาวนาใต้ต้นไม้ตลอดทั้งคืนเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเสนาบดีของพระพุทธเจ้า ก็มิได้ปริปากบ่นแต่อย่างใด กลับนำพระภิกษุบริวารอาศัยโคนต้นไม้แทน “มาเถอะเราไปพักตรงโคนต้นไม้นั่นก็ได้ ที่ไหนๆ ก็เหมือน” “พระฉัพพัคคีย์ ไม่ประมาณตนเสียเลย หากไม่ประมาณบุคคลพึงเคารพเช่นนี้ ต้องกราบทูลพระศาสดา”พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากเสนาที่ประทับมายังพระสารีบุตรและหมู่สงฆ์“ใช่แล้ว แม้พระธรรมเสนาบดี ยังต้องมาเจริญภาวนาใต้ต้นไม้ ไม่สมควรเลย” และแล้วเหตุไม่สมควรดังนี้ได้ปรากฎในข่ายพระญาณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในรุ่งสาง พระพุทธองค์ทรงเสด็จออกจากเสนาสนะที่ประทับ พระสารีบุตรและภิกษุทั้งหลายก็ถวายอัญชุลี สิ่งอันเกิดขึ้นในหมู่สงฆ์นี้ ทำให้พระองค์ทรงสลดพระทัยยิ่งนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายมาประชุมกัน“ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ภิกษุทั้งหลายยังไม่มีความยำเกรงกัน ถ้าหากเราปรินิพพานไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายจะเป็นอย่างไร” พระพุทธองค์มีรับสั่งให้ภิกษุมาประชุมกัน ทรงตรัสถึงเหตุดังกล่าวและติเตียนพระภิกษุฉัพพัคคีย์นั้น อีกทั้งทรงตั้งคำถามขึ้น “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากมีอาหาร น้ำ และที่อยู่อันประณีตภิกษุประเภทใดเล่าควรได้รับสิ่งเหล่านั้น?” ภิกษุทั้งหลายกราบทูลแตกต่างกันไปภิกษุทั้งหลายต่างหาคำตอบจากคำถามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสถามขึ้นในที่ประชุม“ต้องถวายแก่ภิกษุวรรณะกษัตริย์ พระเจ้าคะ” “ควรให้ภิกษุจากตระกูลพราหมณ์ก่อนพระพุทธเจ้าคะ” “ควรให้เป็นระดับชั้นจากพระอรหันต์ลงมาพระพุทธเจ้าคะ” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพระผู้ใหญ่ที่เจริญด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิต่างหากเล่า จึงเป็นผู้สมควรได้รับการเคารพยกย่องนั้น พระสารีบุตรอัครสาวกควรได้รับเสนาสนะถัดจากเราพระสารีบุตรและหมู่สงฆ์น้อมรับโอวาทแห่งองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่กลับต้องอยู่โคนต้นไม้ตลอดคืน เพราะพวกเธอขาดความยำเกรง” องค์พระศาสดาทรงประทานโอวาทในการกระทำไม่สมควรนั้นด้วยการระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรัสว่า “ในกาลก่อนแม้สัตว์เดรัจฉานยังคำนึงถึงการปฏิบัติข้อนี้ จึงพยายามเลือกหาผู้มีอายุและคุณธรรมสูงกว่าในหมู่ตนเพื่อแสดงความเคารพยำเกรงกัน”เจ้านกต่อว่าเจ้าช้างที่ทำให้ต้นไม้ไหวสั่นสะเทือนติตติรชาดก เป็นชาดกที่สอนคุณธรรมในเรื่องการมีความอ่อนน้อมให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส
ดังนั้นแล้วพระพุทธองค์ทรงนำ ติตติรชาดก ขึ้นแสดง
ในอดีตกาล ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ยังมีสัตว์ 3 ชนิด คือช้าง ลิงและนก อาศัยอยู่ด้วยกันในบริเวณใกล้ต้นไทรใหญ่กลางป่า สัตว์ทั้ง 3_ต่างถือดีประพฤติตนตามใจชอบ ไม่ยำเกรงกันและกัน “ช้างอย่างข้า ถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ ไม่ยำเกรงใครอยู่แล้ว ฮ้าๆๆ ฮ่าๆ อุ๊ยๆ คันๆ คันอีกแล้ว พักนี้คันบ่อยจังเจ้าลิงชอบเล่นซนแกล้งเจ้าช้างทุกครั้งที่มีโอกาสถูตรงต้นไม้นี้แหละ ซะใจดี! อึม...ค่อยหายคันหน่อย” ช้างเอาสีข้างถูกับต้นไม้ โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน “ฟ้าถล่มๆๆ!! โอย โอ๊ยๆๆ สั่นสะเทือนไปหมดแล้ว เจ้าช้างนี่เอง เอาอีกแล้วนะ ทำไมเจ้าไม่ไปถูกับต้นไม้ที่ไม่มีสัตว์เค้าพักอาศัยละ ถูแรงอย่างนี้ รังข้าพังหมด” “เอ้า..คันที่ไหน ก็ต้องเกาที่นั่น กว่าจะวิ่งไปเกาที่ต้นอื่นนะ มิทรมานแย่รึ? ไม่สนใจเจ้าลิงเก็บรังมดแดงเพื่อที่จะนำไปโยนใส่เจ้าช้างข้าจะถูที่ต้นไม้ต้นนี้แหละ เจ้าเดือดร้อนนัก ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นซะไป๊!!..” “ส่วนเจ้าลิงก็ถือว่าตนมีความคล่องแคล่วว่องไว ปีนป่ายต้นไม้เก่ง จนช้างไล่จับไม่ทัน ชอบเล่นซุกซนใกล้ช้างด้วยการคว้างปาด้วยกิ่งไม้บ้าง ผลไม้บ้างอย่างสนุกสนานทุกวัน “อุ๊ย นั่นเจ้าช้าง เสร็จแน่ๆ อยู่ๆ ก็มาให้แกล้ง นี่แนะๆ ยังไม่พอ ตามมาอีกลูก” “โอ๊ย อะไรหล่นใส่หัวเนี่ยเจ้าช้างโดนรังมดแดงที่เจ้าลิงโยนลงมามันทั้งเจ็บและแสบคันไปทั้งตัวฮึ!!..เจ้าลิงนี่อีกแล้ว หยุดแกล้งซะที ถ้าให้ข้าโมโหเดี๋ยวเจ้าจะหนาว!!..” “อุย...หนาวๆ หนาวจัง ฮะๆ ฮ่าๆ ถ้าเจ้าแน่จริง ก็จับข้าให้ทันก่อนเถอะ แต่ เอ้ ข้าว่ากิ่งไม้มันคงโดนเบาไปสำหรับเจ้า เอาอันนี้เลยดีกว่า รังมดแดง ฮะฮ่าฮะๆ ของชอบของเจ้าไม่ใช่เหรอ” “ฮึย!.. รังมดแดง โอ๊ะๆ! กลัวๆ แสบๆๆ” เป็นไง ทั้งแสบทั้งคัน วิ่งหางจุกตูดไปเลย ฮ่าๆๆ เจี๊ยกๆๆๆ”เจ้านกแกล้งเจ้าลิงโดยการถ่ายรดหัวเจ้าลิงส่วนนกแม้จะเป็นสัตว์ที่ตัวเล็กที่สุด แต่ถือดีว่าบินได้ ก็ชอบบินแล้วถ่ายรดหัวลิงบ่อยครั้ง “พบเป้าหมายๆ ปล่อยอาวุธ ฮะๆๆ โดนหัวเจ้าลิงพอดีเป๊ะ” “เจ้านกบ้ามาอึรถหัวข้าอีกแหละ” “เป็นไงละจ๊ะ หอมหวานไหม๊ สมน้ำหน้า!!..ชอบมาเขี่ยรังข้าดีนัก” “ฝากไว้ก่อนเถิด อย่าให้ข้าบินได้บ้างแล้วกัน เจี๊ยกๆๆๆ” ในบ้างครั้งนกก็ถ่ายรถหัวช้างบ้างเหมือนกันเจ้านกแกล้งเจ้าช้างโดยการถ่ายรดหัวและจิกบนหลังบางครั้งก็แอบบินไปจิกหลังช้างบ้าง เจ้าช้างก็ทำอะไรไม่ได้ คอยแต่เอางวงโยนกิ่งไม่ไล่นก ไม่เป็นอันปกติสุข “ว่ายังไงเจ้าช้าง โดนจิกพิฆาตเข้า น้ำตาไหลเลยละซิ ฮะๆ ฮ่าๆ” “โอ้ย!..รำคาญเจ้าเลิกก่อกวนซะทีได้ไหม๊” “อ้าว...ก็ทีเจ้ายังรังควาญข้าได้ ข้าก็รังควาญเจ้ากลับไปได้เหมือนกัน ชอบคันนักไม่ใช่เหรอ? ข้าจิกเอาให้หายคันเลยเอาไหม๊ล่ะ ฮะ ฮ่าๆๆ”เจ้าลิงเริ่มเบื่อกับความวุ่นวายที่ต้องทะเลาะกับช้างและนกทุกวัน“เจ้านกบ้า!..จะร้องเสียงดังทำไมเนี่ย? ข้ากำลังนอนหลับฝันหวานอยู่เลย” “โอ้ย..รำคาญเมื่อไหร่ป่าจะสงบสุขซะที” “ฮ่าๆๆๆ ตื่นกันหมด” “เจี๊ยกๆๆ ให้ตายเหอะ อยู่แบบนี้ไม่มีความสุขเลย สุขภาพจิตแย่ เซ็งๆๆ เจี๊ยกๆ” นานวันเข้า สัตว์ทั้ง 3 ก็เริ่มรู้สึกเบื่อ และอยากอยู่กันอย่างสงบ “เจี๊ยกๆๆๆ เฮ้ย!..เบื่อ ข้าว่าพวกเราหยุดทะเลาะกันเถอะ” “เซ็งใช่ม๊ะ ข้าก็เซ็งเหมือนกันลิง ช้างและนกต่างคุยกันอย่างสงบเพื่อต้องการหาผู้นำที่อาวุโสมากที่สุดอยู่อย่างสงบก็ดี พวกเจ้าจงฟังต่อไปนี้ ข้าจะเป็นผู้นำพวกเจ้าเอง เพราะข้าตัวใหญ่กว่า พวกเจ้าจงเชื่อฟังข้า ป่าจะได้สงบสุขซะที!” “เฮ้ย!..มันจะมากไปแล้วเจ้าช้าง ข้าอายุมากกว่าเจ้า ต้องเรียกพี่ลิงเข้าใจไหม๊ พี่ลิงๆๆๆๆ ต้องเชื่อฟังพี่ เข้าใจไหม๊น้องช้าง เจี๊ยกๆๆ” “ข้าต่างหากที่แก่กว่าเจ้า ดูต้นไทรนี่ซิ ตอนข้าเด็กๆ นะต้นไทรสูงแค่ท้องข้าเองน่ะต้นไทรใหญ่ที่สัตว์ทั้ง 3 ตัว ใช้เป็นเครื่องมือในการคำนวนอายุว่าใครแก่กว่ากันเวลาข้าเดินผ่านมันยัง ถูๆ ที่ท้องข้าอยู่เลย จั๊กจี้จะตาย ข้าต้องเกิดมาเจอต้นไทรนี่ก่อนเจ้าแน่ๆ” “ผิดซะแล้ว ข้าเห็นก่อนเจ้าอีก ข้าเห็นมันมาตั้งแต่ต้นยังเล็กๆ เตี้ยกว่าท้องเจ้าด้วยซ้ำ ตอนข้าเด็กๆ นะ ข้ายังเด็ดกินยอดไทรสบายๆ ต้นไทรสูงไม่ถึงศอก ข้าเกิดก่อนเจ้าแน่ๆ เจี๊ยกๆๆ” เมื่อทราบว่าลิงเกิดก่อนช้าง เพราะรู้จักต้นไทรก่อนก็เหลือเพียงอายุของนกเท่านั้นที่ยังเป็นปริศนาตอนเจ้าช้างยังเล็กต้นไทรมีความสูงแค่ท้องของมัน“เมื่อข้ายังเด็กนะ ตรงนี้ยังไม่มีต้นไทรหรอก มีแต่ในป่าใหญ่โน่น ข้านี่แหละที่ไปกินลูกไทรที่นั่น แล้วก็มาถ่ายไว้แถวนี้ ต้นไทรมันก็งอกมาจากอึ ที่ข้าถ่ายไว้นี่แหละ ข้าเป็นพี่พวกเจ้าแน่ๆ เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ซิ น้องรอง น้องเล็ก” “โห้ เจ้านก อายุมากกว่าจริงๆ ด้วย งั้นเจ้าก็เป็นพี่ใหญ่ ส่วนข้าก็เป็นพี่รองนะน้องช้าง เจี๊ยกๆๆ” “ได้เลย พี่ใหญ่ พี่รอง”เจ้าลิงเห็นต้นไทรตั้งแต่ต้นยังเล็กๆ และได้เด็ดยอดไทรกินเป็นประจำเมื่อรู้ลำดับอาวุโส ทั้ง 3 ก็เลิกกลั่นแกล้ง รังแกกัน หันมาสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน “เหนื่อยไหมพี่ใหญ่พี่รอง มานั่งบนหลังข้าซิ เดี๋ยวข้าจะพาไปหาผลไม้อร่อยๆ” “เจี๊ยกๆ ดีเลยน้องช้าง พี่ปวดแขนอยู่พอดี เจ้าเดินไปทางซ้ายมือนะ เมื่อวันก่อนนะ ข้าเห็นกล้วยหวีกำลังงามๆ เลย เจ้าต้องชอบแน่ๆ” “ดีๆ พี่จะได้ไปหาหนอนแถวโน้นกินด้วยเจ้านกเป็นผู้ที่ไปกินลูกไทรแล้วถ่ายลงพื้นต้นไทรจึงงอกขึ้นมาแถวนี้ ไม่ค่อยมีแล้ว ไปเลยน้องช้าง” สัตว์ทั้ง 3 ตัว ใช้ชีวิตอย่างผาสุก เมื่อหมดอายุไขก็ไปจุติใหม่พร้อมกันทั้งหมด เมื่อตรัส ติตติรชาดก จบแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้โอวาทแก้ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายแม้สัตว์เดรัจฉานยังเคารพให้เกียรติกันและกัน เธอทั้งหลายมาบวชในพระธรรมวินัยที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว เพราะเหตุใดจึงไม่เคารพกันยำเกรงกัน"สัตว์ทั้งสามเมื่อรู้ลำดับอาวุโสก็ให้เกียรติมีความเคารพซึ่งกันและกันบัดนั้นทรงห้ามภิกษุผู้มีพรรษาน้อย กีดกันเสนาสนะอันใช้พักอาศัยต่อพระภิกุผู้มีพรรษามากกว่าตน ภิกษุใดละเมิดต้องอาบัติทุกกฎต่อมาในสมัยพุทธกาลช้างได้กำเนิดเป็น พระโมคคัลลานะลิง ได้กำเนิดเป็น พระสารีบุตรนก เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
http://goo.gl/KdXcY