ปัญจภีรุกชาดก ชาดกว่าด้วยความสวัสดี

ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระสูตรว่าด้วยการประเล้าประโลมของมารธิดา ณ อัชปาลนิโคตธ https://dmc.tv/a23339

บทความธรรมะ Dhamma Articles > นิทานชาดก 500 ชาติ
[ 17 พ.ค. 2561 ] - [ ผู้อ่าน : 18256 ]

ชาดก 500 ชาติ

ปัญจภีรุกชาดก-ชาดกว่าด้วยความสวัสดี

ภิกษุทั้งหลายต่างสนทนากัน ณ ธรรมสภา

ภิกษุทั้งหลายต่างสนทนากัน ณ ธรรมสภา
  
     ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระสูตรว่าด้วยการประเล้าประโลมของมารธิดา
ณ อัชปาลนิโคตธ ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรม พากันสนทนาถึงเรื่องที่พระศาสดาทรงขับไล่ธิดามารทั้ง 3 ของพญาวสวัตตีมาร
 
พระศาสดาทรงนำอดีตชาติมาสาทกแก่บรรดาภิกษุ ณ ธรรมสภา
 
พระศาสดาทรงนำอดีตชาติมาสาทกแก่บรรดาภิกษุ ณ ธรรมสภา
 
     “ พระศาสดาทรงปรีชายิ่งนัก สามารถขับไล่ธิดามารที่มาขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์ได้ ” “ ข้าได้ยินมาว่า ธิดามารจำแลงกายเป็นหญิงงาม
นับร้อยเลยเชียวนะ ” พระศาสดาเสด็จ เห็นภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนากัน จึงตรัสถามภิกษุนั้นว่าสนทนากันเรื่องอะไร
 
ธิดาทั้ง 3 ของพญาวสวัตตีมาร
 
ธิดาทั้ง 3 ของพญาวสวัตตีมาร
 
     เมื่อทรงทราบเรื่องที่สนทนาพระองค์จึงตรัสกับภิกษุเหล่านั้น “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันการที่ไม่แลดูพวกธิดามารของเราในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย
แท้จริงในกาลก่อนเรากำลังแสวงหาพระโพธิญาณ แลดูแม้ซึ่งรูปทิพย์ที่พวกนางยักษิณีพากันเนรมิตไว้ ด้วยอำนาจกิเลส
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงเสวยราชสมบัติอยู่ ณ นครพาราณสี
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงเสวยราชสมบัติอยู่ ณ นครพาราณสี
 
     ทั้งที่เรายังมีกิเลสดำเนินไปจนบรรลุถึงความเป็นมหาราชได้ ” พระศาสดาตรัสดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีพระราชโอรส 100 องค์ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชโอรสองค์เล็กสุด
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงมีพระราชโอรส 100 พระองค์
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงมีพระราชโอรส 100 พระองค์
 
     ครั้นเมื่อพระโพธิ์สัตว์เจริญวัย ครั้งนั้นพระราชาได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายพระองค์ เพื่อถวายภัตตาหารในพระราชวัง พระโพธิสัตว์ทรงกระทำหน้าที่
ไวยาวัจกรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ทรงต้องการทราบว่าตนเองจะได้ครองราชสมบัติของพระราชบิดาหรือไม่
 
พระโพธิสัตว์ทรงเสวยพระชาติเป็นพระโอรสองค์ที่ 100
 
พระโพธิสัตว์ทรงเสวยพระชาติเป็นพระโอรสองค์ที่ 100
 
     จึงคิดจะเข้าไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าดู “ พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องบอกข้าได้แน่ ว่าข้าจะได้ครองราชสมบัติหรือไม่ ” วันต่อมาเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
มากันแล้ว หลังจากถวายภัตตาหารแล้วพระโพธิสัตว์จึงเข้าไปทูลถามพระปัจเจกพุทธเจ้า “ ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์จะได้ครองราชสมบัติ
แผ่นดินนี้หรือไม่ ”
 
พระราชาทรงถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
 
พระราชาทรงถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
 
     “ ดูก่อนพระโอรส พระองค์จะไม่ได้ครองราชสมบัติในพระนครนี้ แต่จะได้ครองราชย์สมบัติในนครตักศิลา ” “ หม่อมฉันจะเดินทางไปยังนครตักศิลา
ได้อย่างไรพระเจ้าข้า ” “ ดูก่อนพระโอรส การเดินทางไปยังนครตักศิลานั้น จะต้องฝ่าป่าดงดิบใหญ่ ที่มีฝูงยักขิณีคอยหน่วงเหนี่ยวบุรุษผู้เดินทางอยู่
หากจะอ้อมดงนั้นไป จะเป็นทางไกลถึง 120 โยชน์
 
 
พระโพธิสัตว์ทรงคิดที่จะสอบถามข้อสงสัยของตนกับพระปัจเจกพุทธเจ้า
 
พระโพธิสัตว์ทรงคิดที่จะสอบถามข้อสงสัยของตนกับพระปัจเจกพุทธเจ้า 
     
     ถ้าไปทางตรงก็จะเป็นเพียงทาง 50 โยชน์ เธอจงคุมกิเลสไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลส หากทำได้เช่นนั้นก็จะได้ราชสมบัติในนครนั้น ใน 7 วันต่อจากนี้ไป ”
พระโพธิสัตว์รับโอวาทแล้ว ก็ขอให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทำพระปริตรับทรายเสกด้วยพระปริตร จากนั้นจึงบังคมลาพระปัจเจกพุทธเจ้า
 
พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงทำพระปริต
 
พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงทำพระปริต
 
     พระราชบิดาและพระราชมารดา เสด็จไปยังนครตักศิลา พระโพธิสัตว์พร้อมด้วยราชบุรุษ 5 คน เดินทางผ่านป่าที่มีชื่อว่า อมนุษกันดาร ก็พบฝูงยักษิณี
พากันเนรมิตกายไปนั่งคอยอยู่ ราชบุรุษผู้หนึ่งเป็นผู้ยึดติดในรูป เมื่อเห็นนางยักษิณีจำแลงก็เกิดลุ่มหลงจนเดินรั้งท้าย 
 
พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์
 
พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์
 
     “ เหนื่อยหรือเปล่าจ๊ะหนุ่มๆ เข้ามาพักเหนื่อยที่นี่ก่อนดีกว่าไหมจ๊ะ ” “ โอ้โหหญิงผู้นี้งดงามยิ่งนัก รูปร่างหน้าตาผิวพรรณถูกใจข้าจริงๆ ” “ ท่านราชบุรุษ
ทำไมท่านจึงเดินรั้งท้ายเช่นนั้น ” “ หม่อมฉันเจ็บเท้าขอพักที่ศาลานั้นก่อนเถอะพระเจ้าข้า ”
 
ราชบุรุษทั้งห้าผู้ออกเดินทางไปยังนครตักศิลาพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์
 
ราชบุรุษทั้งห้าผู้ออกเดินทางไปยังนครตักศิลาพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์
  
     “ หญิงที่เจ้าเห็นนั้นน่ะ เป็นนางยักษ์ เจ้าอย่าได้หลงรูปของมันเลย ” “ จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด หม่อมฉันทนไม่ไหวแล้วพระเจ้าข้า ” “ ตามใจเจ้าเถอะ
แล้วเจ้าจะรู้เอง ” พระโพธิสัตว์ไม่อาจห้ามบุรุษผู้หลงใหลในรูปนั้นได้ จึงพาราชบุรุษอีก 4 คนที่เหลือเดินทางต่อไป 
 
นางยักษ์จำแลงเป็นหญิงงามชักชวนราชบุรุษให้ไปพักยังศาลาที่ตนเนรมิตไว้    

นางยักษ์จำแลงเป็นหญิงงามชักชวนราชบุรุษให้ไปพักยังศาลาที่ตนเนรมิตไว้
 
     ฝ่ายราชบุรุษผู้หลงใหลในรูปนั้น เมื่อมาถึงศาลาที่นางยักษ์จำแลงนั่งรออยู่ก็ถูกพวกนางยักษ์ทั้งหลายจับกินเป็นอาหารทันที “ พี่มาแล้วจ้า ไหนๆๆ มาให้พี่เชยชม
หน่อยสิ ” “ มาสิจ๊ะ เข้ามาใกล้ๆ น้องจะได้จับกินได้ถนัด ฮ่าๆๆๆ ” 
 
สาวสวยได้กลายร่างเป็นนางยักษ์และได้จับราชบุรุษคนแรกกินเป็นอาหาร
 
สาวสวยได้กลายร่างเป็นนางยักษ์และได้จับราชบุรุษคนแรกกินเป็นอาหาร
  
     “ นี่มันนางยักษ์นี่น่า หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน ปล่อยๆๆ ข้านะ อย่ากินข้าเลย โอ้ยๆๆ อย่ากินข้าเลย ” “ ฮ่าๆๆๆ อร่อยจริงๆ อร่อยมาเลยเนื้อมนุษย์เนี่ย
มันช่างหอมหวานจริงๆ ฮ่าๆๆๆ ” เมื่อนางยักษ์กินราชบุรุษเป็นอาหารแล้ว ก็ไปเนรมิตศาลาดักอยู่ข้างหน้าอีก คราวนี้พวกมันจำแลงกายนั่งถือเครื่องดนตรีต่างๆ
ขับร้องอยู่
 
ราชบุรุษคนที่สองพึงพอใจในความงามและเสียงดนตรีของนางยักษ์จำแลง
 
ราชบุรุษคนที่สองพึงพอใจในความงามและเสียงดนตรีของนางยักษ์จำแลง
 
      “ นั่งฟังดนตรีในศาลาของข้าสิจ๊ะ ข้าจักขับร้องให้พวกท่านคลายเหนื่อยเลยล่ะ ” ราชบุรุษผู้ที่ชื่นชอบในเสียงดนตรีก็เกิดติดใจในเสียงนั้น ทำให้เดินช้ารั้งท้ายขบวน
“ ท่านราชบุรุษ ทำไมท่านจึงเดินช้ารั้งท้ายขบวนเช่นนั้นเล่า ”
 
ราชบุรุษผู้หลงใหลในเสียงดนตรีตัดสินใจหยุดพักยังศาลาที่นางยักษเนรมิตไว้
 
ราชบุรุษผู้หลงใหลในเสียงดนตรีตัดสินใจหยุดพักยังศาลาที่นางยักษเนรมิตไว้
 
     “ หม่อมฉันทนไม่ไหวแล้ว เสียงดนตรีนั่นช่างไพเราะจับใจเหลือเกิน หม่อมฉันจะขอไปนั่งฟังดนตรีนะพระเจ้าค่ะ ” ราชบุรุษผู้หลงใหลในเสียงเพลง ไม่ฟังคำทัดทาน
ของพระโพธิสัตว์ เข้าไปยังศาลาที่นางยักษ์จำแลงขับร้องเพลงอยู่ เมื่อไปถึงก็ถูกนางยักษ์จับกินอีก

พระโพธิสัตว์และราชบุรุษที่เหลือยังคงเดินมุ่งหน้าไปยังนครตักศิลา
 
พระโพธิสัตว์และราชบุรุษที่เหลือยังคงเดินมุ่งหน้าไปยังนครตักศิลา
 
     “ เพลงที่พวกเจ้าขับร้อง ช่างไพเราะจับใจจริงๆ ฟังแล้วแทบไม่อยากฟังเสียงอื่นในโลกนี้เลย ” “ จริงหรือจ๊ะพี่จ๋า ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ฟังเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายก็แล้วกัน
ฮ่าๆๆๆ ” “ นี่มันนางยักษ์นี่น่า ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย อ๊ากๆๆ ”
 
 
ราชบุรุษผู้หลงใหลในรสอาหารได้ขอพระโพธิสัตว์แวะยังศาลาเพื่อรับประทานอาหาร
 
ราชบุรุษผู้หลงใหลในรสอาหารได้ขอพระโพธิสัตว์แวะยังศาลาเพื่อรับประทานอาหาร
 
     ต่อมาราชบุรุษผู้หลงใหลในกลิ่นก็ถูกลวงจนต้องตกเป็นอาหารของนางยักษ์อีก “ ไม่หอมๆ แล้ว ช่วยด้วยนางยักษ์จะกินข้า ” “ หอมไม่ใช่เหรอ ข้าก็หอม หอมเนื้อมนุษย์ของเจ้า ”
พระโพธิสัตว์และราชบุรุษอีก 2 คนที่เหลือเดินทางต่อไปข้างหน้า ก็เจอนางยักษ์เนรมิตศาลาดักรออยู่
 
นางยักษ์ได้เนรมิตศาลาพร้อมที่นอนประดุจทิพย์ไว้รอราชบุรุษ
 
นางยักษ์ได้เนรมิตศาลาพร้อมที่นอนประดุจทิพย์ไว้รอราชบุรุษ
 
     ในศาลานั้นเต็มไปด้วยอาหารมากมายราชบุรุษที่หลงในรสของอาหาร เห็นอาหารนั้นแล้วก็นึกอยากลิ้มรส ทำให้เดินช้ารั้งขบวน “ อาหารน่ากินทั้งนั้น ข้าไม่ไหวแล้ว
ขอไปกินให้เต็มคราบก่อนแล้วกัน ” “ ท่านอย่าได้หลงกลนางยักษ์ อาหารนั้นจะทำให้ท่านตายได้ ” “ ไม่สนแล้ว อยากกินเหลือเกิน ” 
 
นางยักษ์จำแลงได้ชักชวนราชบุรุษให้เข้าไปนอนพักผ่อนยังศาลาของตน
 
นางยักษ์จำแลงได้ชักชวนราชบุรุษให้เข้าไปนอนพักผ่อนยังศาลาของตน
 
     ราชบุรุษผู้หลงในรสอาหาร แวะกินอาหารในศาลาของนางยักษ์ ยังไม่ทันอิ่มก็ถูกนางยักษ์จับกินเป็นอาหาร “ อืม อร่อย ข้าหิวเหลือเกิน ได้กินอาหารอร่อยแบบนี้
ถึงตายก็ยอม ” “ งั้น ข้าไม่เกรงใจละนะ ” “ นะๆๆ นางยักษ์ ช่วยด้วยนางยักษ์จะกินข้า ” 
 
นางยักษ์ได้ติดตามพระโพธิสัตว์ไปจนถึงเมืองตักศิลา
 
นางยักษ์ได้ติดตามพระโพธิสัตว์ไปจนถึงเมืองตักศิลา
 
     พระโพธิสัตว์และราชบุรุษอีกหนึ่งคนที่เหลือก็เดินทางต่อไป ก็พบกับนางยักษ์ที่มาดักรออยู่อีก คราวนี้มันเนรมิตศาลา ตกแต่งที่นอนดุจที่นอนทิพย์นั่งคอยอยู่
“ มามะ หนุ่มๆ ที่นอนนุ่มๆ รอพวกท่านอยู่นะ ” “ ข้าพระองค์เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอนอนพักที่เตียงนุ่มๆ นั่นหน่อยเถอะพระเจ้าค่ะ ”
 
นางยักษ์ได้บอกชาวเมืองว่าตนเป็นภรรยาของพระโพธิสัตว์
 
นางยักษ์ได้บอกชาวเมืองว่าตนเป็นภรรยาของพระโพธิสัตว์
 
     “ ท่านอย่าไปเลย ที่นอนนั่น นางยักษ์เนรมิตไว้ ท่านอย่าได้หลงกลมันเลย ” ราชบุรุษผู้นั้นไม่ได้ฟังคำทัดทานของพระโพธิสัตว์ เข้าไปยังศาลาแล้วนอนลงยังที่นอน
ที่นางยักษ์เนรมิตไว้ ไม่ทันไรก็ต้องตกเป็นอาหารของนางยักษ์เช่นเดียวกับราชบุรุษสามคนก่อนหน้านี้ ราชบุรุษทั้งห้า ที่ติดตามพระโพธิสัตว์ไปยังนคร ถูกนางยักษ์
จับกินจนหมด
 
นางยักษ์ไม่สามารถเข้าไปยังศาลาที่พระโพธิสัตว์นั่งพักได้นางจึงรออยู่หน้าศาลา
 
นางยักษ์ไม่สามารถเข้าไปยังศาลาที่พระโพธิสัตว์นั่งพักได้นางจึงรออยู่หน้าศาลา
 
     เหลือเพียงพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวเท่านั้นที่ไม่หลงกล นางยักษ์จึงเนรมิตกายเป็นหญิง อ้างตนว่าเป็นภรรยาของพระโพธิสัตว์เดินตามพระองค์ไปตลอดทาง “ แม่สาวน้อย
ชายหนุ่มที่เดินนำหน้านั่น เป็นอะไรกับเจ้ารึ ” “ นั่นน่ะ สามีข้าเองหล่ะจ้า ”
 
พระราชาแห่งเมืองตักศิลาทรงผ่านมาและเกิดหลงใหลในตัวของนางยักษ์จำแลง
 
พระราชาแห่งเมืองตักศิลาทรงผ่านมาและเกิดหลงใหลในตัวของนางยักษ์จำแลง
 
     “ นี่พ่อหนุ่ม หญิงสาวผู้อ่อนแอเช่นนี้ ยอมลำบากตามเจ้ามาในป่า ทำไมเจ้าถึงไม่ดูแลนางบ้างเลยหล่ะ ” “ นางไม่ใช่ภรรยาหรอก นางเป็นนางยักษ์ คนของเราห้าคน
ถูกนางจับกินไปหมดแล้ว ” “ แหม ท่านพี่ช่างใจร้าย ดูสิ โกรธข้า จนหาว่าข้าเป็นยักษ์เป็นมาร มันน่าน้อยใจจริงๆ เล้ย ”
 
นางยักษ์ได้จับพระราชาและมนุษย์จำนวนมากกินเป็นอาหาร
 
นางยักษ์ได้จับพระราชาและมนุษย์จำนวนมากกินเป็นอาหาร
 
     ผู้คนมากมายพบเห็นต่างก็ถามคำถามเช่นนี้ตลอดทาง จนมาถึงพระนครตักศิลา พระโพธิสัตว์เสด็จประทับนั่ง ณ ศาลาหลังหนึ่ง ด้วยเดชของพระองค์ทำให้นางยักษ์
ไม่สามารถเข้าไปด้วยได้ จึงเนรมิตรูปนางฟ้า ยืนอยู่ที่ประตูศาลา ขณะนั่นเองผู้ครองนครตักศิลาเสด็จผ่านมาพบเข้า ก็เกิดหลงใหลในตัวนางยักษ์จำแลง
 
ชาวเมืองได้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ขึ้นครองราชสมัติแห่งนครตักศิลาแทนพระราชาที่ถูกนางยักษ์จับกิน
 
ชาวเมืองได้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ขึ้นครองราชสมัติแห่งนครตักศิลาแทนพระราชาที่ถูกนางยักษ์จับกิน
 
     จึงเสด็จเข้าไปหา “ น้องหญิง เจ้ามีคู่ครองแล้วหรือยัง ” “ ชายที่อยู่ในศาลานั้นไงเพค่ะ คือ สามีของข้า ” “ นางผู้นี้เป็นภรรยาของเจ้ารึ ” “ นั่นไม่ใช่ภรรยาหรอก
มันเป็นนางยักษิณี คนของข้าพเจ้าห้าคน ถูกมันจับกินไปแล้ว ” “ ถ้านางไม่มีเจ้าของเช่นนี้ ย่อมตกเป็นของหลวง ฮ่าๆๆ เสร็จเราล่ะคราวนี้ ”
 
พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า เราตถาคตได้เป็นราชกุมาร ผู้ไปปกครองราชสมบัติในนครตักศิลา
 
พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า เราตถาคตได้เป็นราชกุมาร ผู้ไปปกครองราชสมบัติในนครตักศิลา
 
     พระราชานำนางยักษ์กลับวัง แล้วทรงสถาปนาเป็นมเหสี ต่อมานางยักษ์ก็กลับไปชักชวนนางยักษ์พรรคพวกของตนมาอยู่ในวัง และจับพระราชาและมนุษย์ทั้งหลาย
กินเป็นอาหาร ไม่เว้นแม้กระทั้งสัตว์ทั้งหลายภายในวัง เมื่อยักษ์ทั้งหลายกินจนอิ่มแล้ว ก็กลับไปยังอมนุษสกันดารของตน ฝ่ายชาวเมือง เมื่อเห็นว่าพระราชาถูกจับกิน
ไปแล้ว ก็มาอัญเชิญพระโพธิสัตว์แล้วก็ถวายราชสมบัติ
     
     เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว จึงประกาศแจ้งประชาชนทั้งหลาย “ เราไม่ตกอยู่ในอำนาจของพวกรากษส เพราะความเพียรมั่นคง ดำรงอยู่ในคำแนะนำ
ของผู้ฉลาด และความไม่หวาดหวั่นต่อภัย และความสยดสยอง และสวัสดิภาพจากภัยอันใหญ่หลวงจึงมีแก่เรา ”

     พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
 
 

เราตถาคต ได้เป็นราชกุมาร ผู้ไปปกครองราชสมบัติ
ในพระนครตักกศิลาในครั้งนั้นฉะนี้แล
 

รับชมคลิปวิดีโอ
ชมวิดีโอ   Download ธรรมะ
 
 
 




พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ธัมมัทธชชาดก ชาดกว่าด้วยพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
      เกฬิสีลชาดก ชาดกว่าด้วยปัญญาสำคัญกว่าร่างกาย
      ปานียชาดก ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
      ชนสันธชาดก ชาดกว่าด้วยเหตุที่ทำจิตให้เดือดร้อน
      ฆตาสนชาดก ชาดกว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
      มหาสุวราชชาดก ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
      ฌานโสธนชาดก ชาดกว่าด้วยสุขเกิดจากสมาบัติ
      สุนักขชาดก ชาดกว่าด้วยผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
      สังวรมหาราชชาดก ชาดกว่าด้วยพระราชาผู้มีศีลาจารวัตรที่ดีงาม
      อสัมปทานชาดก ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว
      สัจจังกิรชาดก ชาดกว่าด้วยไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
      สัมโมทมานชาดก ชาดกว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน
      อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ