ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ศีลของภิกษุณีมีอะไรบ้างคะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 19 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 05:29 PM

อยากทราบเรื่องศีลของภิกษุณีค่ะ

ท่านผู้รู้ช่วยตอบให้หน่อยนะคะ

#2 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 05:51 PM

ศีลของภิกษุณี คือ ศีล ๓๑๑ ข้อครับ เอาเป็นว่าหนูลองไปค้นมาก่อนดีไหม? แล้วไม่เข้าใจตรงไหนค่อยถามพวกพี่ๆ บนบอร์ด จะได้เกิดการเรียนรู้ไปในตัวด้วย เพราะหากให้พวกพี่ๆ ค้นให้ ผู้ที่ได้ความรู้โดยตรงก็คือ พวกพี่ๆ ส่วนหนูก็จะรู้แบบประเดี๋ยวประด๋าว งูๆ ปลาๆ สุดท้ายก็ลืมลงหม้อไปหมด และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเป็นภิกษุณีอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ การประพฤติคุรุธรรม ๘ ประการ อาทิ ภิกษุณีแม้บวชแล้ว ๑oo พรรษา ต้องเคารพนบไหว้ภิกษุผู้บวชแม้เพียงวันเดียว เป็นต้น (อีก ๗ ข้อยังไม่เฉลย ขอฝากให้ไปค้นมาเป็นการบ้านก็แล้วกันนะครับ)

#3 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:07 PM

มันเยอะนะครับ ที่สำคัญคือภิกษุณีได้หมดไปจากโลกนี้แล้วครับ
เพราะการจะบวชภิกษุณีพระพุทธเจ้าทรงวางกฎเกณฑ์ไว้สูงมากครับ คือ ต้องบวชในสำนักนางภิกษุณี อุปัชฌาย์ต้องเป็นหญิงบวชกับพระไม่ได้ และการเป็นอุปัชฌาย์ของภิกษุณีก็ยากมากไม่ธรรมดาเลยครับ ประกอบกับการปลงอาบัติของนางภิกษุณีก็ยากครับไม่ธรรมดาเลย รวมถึงการทำการสักการะต่อภิกษุผู้บวชใหม่แม้จะเป็นภิกษุณีที่มีพรรษาแก่กว่าก็ตาม มีรายละเอียดเยอะครับ

ที่สำคัญคือ ภิกษุณีได้หมดไปจากโลกนี้นานแล้วครับ เป็นอุบาสิกาดีกว่าครับ บวชง่ายๆ สบายๆ เพราะสาเหตุที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ประสงค์ให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีเพราะจะทำให้ศาสนาของพระองค์ตั้งอยู่ได้ไม่นานเพราะ ธรรมดา ชายหญิงเมื่ออยู่ใกล้ชิดกันย่อมก่อให้เกิดกามราคะต่อกันได้โดยง่าย และยิ่งถ้าอยู่ในวัดเดียวกันเจอกันทุกวันโอกาสที่จะปลดเปลื้องใจให้ว่างจากห่วงกามราคะก็จะยากทั้งกับพระภิกษุ และภิกษุณีครับ ทำนองว่าถ้าอุตสาห์มาบวชเพื่อตัดรากของฆาราวาสที่เสพกามอย่างโชกโชน แล้วต้องมาเจอสิ่งแวดล้อมหรือสภาพที่อาจก่อให้เกิดความกำหนัดได้การบวชเพื่อกำจัดกามก็จะล้มเหลวได้ครับ

สรุปคือ เป็นอุบาสิกาดีกว่านะครับ ง่ายๆ สบายๆ ชิลๆ ดีครับ
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#4 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:30 PM

ค้นไม่เจอเลยค่ะ
อยากได้เป็นข้อๆน่ะค่ะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#5 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:33 PM

แหม! ในหนังสือแบบเรียนหลักพระพุทธศาสนาก็มีสอนอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?

#6 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:34 PM

ประเภทสิกขาบทของภิกษุณี
[๑๐๒๖] สิกขาบทของภิกษุณี ๓๐๔ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ
ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๘ สังฆาทิเสส ๑๗
นิสสัคคิยะ ๓๐ ถ้วน ขุททกะ ๑๖๖ ปาฏิเทสนียะ ๘ เสขิยะ ๗๕ สิกขาบท
ของภิกษุณีรวม ๓๐๔ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ.

ที่มา : เล่ม 8 พระวินัยปิฎก ปริวาร

ที่เหลืออีก ๗ ข้อ คือ อธิกรณ์สมถะ ๗ ว่าด้วยการยุติข้อพิพาทเพื่อให้เกิดความสงบในหมู่สงฆ์
รวมทั้งหมดเป็น ๓๑๑ ข้อ

ไม่ใจดีหรอกครับ แต่กำลังจะบอกน้องเขาว่าไปทำการบ้านค้นมาตามหัวข้อที่ผมเสนอมาครับ แล้วเอาบุญธรรมทานมาฝากเพื่อนๆ ด้วยครับ 5555 สาธุจ่ะ
เว็บพระไตรปิฎกอ้างอิงดูได้ที่ http://www.84000.org/

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:40 PM

นี่ถ้าเป็นน้องผม ผมจะให้ไปค้นเองก่อนแล้วค่อยมาคุยกันนะเนี่ย (พี่ xlmen ใจดีจัง)

#8 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:52 PM

แหม คุณพี่เกีรติก้อง ก็อย่าใจร้ายกับหนูนักสิคะ

แหม คุณพี่เกีรติก้อง ก็อย่าใจร้ายกับหนูนักสิคะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#9 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:54 PM

พี่ไม่ได้ใจร้าย แต่พี่อยากให้เราได้ดีต่างหากล่ะ

#10 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 06:55 PM

ค่า...

หนูจาเปนเด็กดี แล้วค้นข้อมูลเองเยอะๆ ก็ได้ค่ะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#11 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 08:14 PM

QUOTE
อยากทราบเรื่องศีลของภิกษุณีค่ะ

ประเภทของศีล
ศีล มี ๔ ประเภท คือ
๑. ภิกขุศีล คือ ศีลของพระภิกษุ มี ๒๒๗ ข้อ ที่ได้แสดงไว้ในปาติโมกข์
๒. ภิกขุณีศีล คือ ศีลของภิกษุณี มี ๓๑๑ ข้อ ที่ได้แสดงไว้ในปาติโมกข์ เช่นเดียวกัน
๓. สามเณรศีล คือ ศีลของสามเณร มี ๑๐ ข้อ
๔. คฤหัสถศีล คือ ศีลของผู้ครองเรือน มี ๕ ข้อ ได้แก่ ศีล ๕
ภิกขุศีล ภิกขุณีศีล และ สามเณรศีล ไม่ต้องมีการสมาทาน ส่วนคฤหัสถศีล ต้องมีการสมาทาน

แหล่งที่มา http://buddhism-onli...tentSect07A.htm ค่ะ


#12 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 09:11 PM

คือการสำรวม กาย+วาจา+ใจ ครับ..

ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#13 Miss M@ry 072

Miss M@ry 072
  • Members
  • 84 โพสต์
  • Location:บ้านสีขาว
  • Interests:สนใจแต่ศูนย์กลางกายของเราค่ะ

โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 10:39 PM

ค่ะ อยากรู้เหมือนกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง แบบเป็นข้อๆ ในภาษาที่เราเข้าใจอ่ะค่ะ เราว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจนะวะว่าเค้ามีแบบแผนชีวิตกันอย่างไรบ้าง ความแตกต่างระหว่างชิวิตแบบสะเปะสะปะ(ขออภัยถ้าเขียนผิดนะคะ)ของคนส่วนใหญ่กับชีวิตนักบวชว่าต่างกันแค่ไหน เราว่าเรื่องศีลตั้ง227หรือ311ข้อน่ะ คนธรรมดาส่วนใหญ่ก็รู้ว่ามี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ามีอะไรบ้าง เราว่าน้อยนะคะ ที่คนธรรมดา นักเรียนนักศึกษาจะรู้ นอกเหนือจากศีล 5-8ข้ออ่ะค่ะ เราเคยถามคุณพ่อ ท่านก็ตอบได้แค่ไม่กี่ข้อ ซึ่งเป็นอะไรที่รู้แล้วสนุกมากเลยค่ะ ได้รู้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราไม่ได้ตระหนักถึงในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อรู้แล้วจะลองนึกดูว่าถ้าเรามีศีลอย่างนี้บ้างจะรู้สึกว่าใจเราจะละเอียดขึ้นด้วยค่ะ คือเราลองหาดูแล้วนะ แต่หาไม่เจอเลยอ่ะค่ะ ถ้าใครมีข้อมูลอยู่ก็ขอกราบอนุโมทนาบุญล่วงหน้าเลยนะคะ happy.gif

#14 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 06:02 PM

I agree with khun เกียรติก้องธรณินทร์....
" ศีลของภิกษุณี คือ ศีล ๓๑๑ ข้อครับ เอาเป็นว่าหนูลองไปค้นมาก่อนดีไหม? แล้วไม่เข้าใจตรงไหนค่อยถามพวกพี่ๆ บนบอร์ด จะได้เกิดการเรียนรู้ไปในตัวด้วย เพราะหากให้พวกพี่ๆ ค้นให้ ผู้ที่ได้ความรู้โดยตรงก็คือ พวกพี่ๆ ส่วนหนูก็จะรู้แบบประเดี๋ยวประด๋าว งูๆ ปลาๆ สุดท้ายก็ลืมลงหม้อไปหมด และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเป็นภิกษุณีอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ การประพฤติคุรุธรรม ๘ ประการ อาทิ ภิกษุณีแม้บวชแล้ว ๑oo พรรษา ต้องเคารพนบไหว้ภิกษุผู้บวชแม้เพียงวันเดียว เป็นต้น (อีก ๗ ข้อยังไม่เฉลย ขอฝากให้ไปค้นมาเป็นการบ้านก็แล้วกันนะครับ) " Good luck with your search kha nong! happy.gif pls come back and tell us more...thank you in advance kah
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#15 ปาลินารี

ปาลินารี
  • Members
  • 258 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 09:43 PM

311 ข้อ ไม่ใช่น้อยเลยค่ะ

ต้องเปิดพระไตรปิฎกดูค่ะ เข้าเวปได้ มี internet หาไม่ยากหรอกค่ะ

#16 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 10:34 PM

ศีล ๓๑๑

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาแล้ว ทรงมีพระประสงค์จะให้ภิกษุณีรักษาศีลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสของประชาชนจึงทรงบัญญัติให้ถือศีล ๓๑๑ ข้อ มากกว่าศีลของภิกษุถึง ๘๔ ข้อ ศีลนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ

๑. ศีลซึ่งภิกษุณีละเมิดแล้ว จะต้องขาดจากความเป็นภิกษุณี เรียกว่า อาบัติปาราชิก มี ๘ ข้อ เพิ่มขึ้นจากของภิกษุ ๔ ข้อคือ

๑) กำหนัดยินดีในการจับต้องของบุรุษ

๒) ปกปิด อาบัติปาราชิกของภิกษุณีอื่น

๓) เข้าพวกกับภิกษุที่สงฆ์ขับออกจากหมู่

๔) ชวนกันเป็นหมู่ไปคลุกคลีกับบุรุษ

๒. ศีลซึ่งภิกษุณีละเมิดแล้ว ยังไม่ขาดจากความเป็นภิกษุณี แต่จะต้องทรมานตนเพื่อให้พ้นจากอาบัติด้วยการอยู่ปริวาสกรรม อาบัติประเภทนี้เรียกว่า สังฆาทิเสส มี ๑๗ ข้อ เช่น ก่อคดีกับคฤหัสถ์หรือนักบวช บวชให้แก่หญิงที่เป็นโจร เข้าบ้านข้ามน้ำหรือค้างคืนที่อื่นแต่ผู้เดียว เป็นต้น

๓. ศีลซึ่งละเมิดแล้วจะต้องสารภาพความผิดกับภิกษุณีด้วยกันจึงจะพ้นโทษ อาบัติประเภทนี้เรียกว่า ลหุกาบัติ มี ๒๘๖ ข้อ เช่น แสดงกิริยาไม่สำรวม ไม่เหมาะกับเพศภิกษุณี เป็นต้นว่า หัวเราะเสียงดัง ฉันอาหารเสียงดัง เป็นต้น

ที่มาจาก www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=914& stissueid=2451&stcolcatid=2&stauth



#17 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 01:57 AM

ไว้สอบเสร็จแล้วค่อยมาโพสต์ตอบก็แล้วกันนะครับ (ขอให้ Get "A" ทุกวิชานะครับ)

#18 เพียงพอ

เพียงพอ

    I |\|EE|) S()|\/|E |3()DY |_()\/E.

  • Members
  • 724 โพสต์
  • Location:ไม่มีข้อมูล
  • Interests:ไม่มีข้อมูล

โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 04:50 PM

จะบวชเป็นภิกษุณีหรอเคิ้ฟ
หุหุ
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.

เพียงพอ


#19 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 17 February 2006 - 08:04 PM

อยากรู้ไว้แค่นั้นเอง
เผื่อจะบวชใจ ทำตามไปเฉยๆ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#20 ผู้อยากหลุดพ้น

ผู้อยากหลุดพ้น
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 April 2008 - 09:05 PM

ศีลของภิกษุณี ที่ได้จาก พระไตรปิฎกฉบับประชาชน เดี่ยวจัดให้เอาตามนี้นะ
๏ ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ (ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา)
ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอย่างเข้มงวด ๘ ประการ ที่ภิกษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิตอันได้แก่
๑. ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า
๒. ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ
๓. ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน
๕. เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
๖. ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น *สิกขามานา เต็มแล้วสองปี
๗. จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้
๘. ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด
*สิกขามานา แปลว่า ผู้ศึกษา สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องเป็นนางสิกขามานา ก่อน ๒ ปี
๏ พระภิกษุณีต้องถือศีล ๓๑๑ ข้ออันได้แก่
ศีล ๓๑๑ ข้อที่เป็นวินัยของภิกษุณีสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่
ปาราชิก มี ๘ ข้อ
สังฆาทิเสส มี ๑๗ ข้อ
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ ข้อ)
ปาจิตตีย์ มี ๑๖๖ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
ปาฏิเทสนียะ มี ๘ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)
เสขิยะ มี ๗๕ ข้อ (ข้อที่ภิกษุณีพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น
อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
รวมทั้งหมดแล้ว ๓๑๑ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิกษุณีรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว

๐ ปาราชิก มี 8 ข้อได้แก่
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวผู้ (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
๕. นางภิกษุณีมีความกำหนัดยินดีการลูบ, การคลำ, การจับ, การต้อง, การบีบ, ของชายผู้มีความกำหนัด เบื้องบนตั้งแต่ใต้รากขวัญ๑ลงไป เบื้องต่ำตั้งแต่เข่าขึ้นมา
๖.นางภิกษุณีรู้ว่านางภิกษุณีอื่นต้องอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตนเอง ไม่บอกแก่หมู่คณะ ต้องอาบัติปาราชิก.
๗.นางภิกษุณีประพฤติตามภิกษุที่สงฆ์สวดประกาศยกเสียจากหมู่ เป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ทำคืน ไม่ทำตนให้เป็นสหายกับพระธรรม พระวินัย คำสอนของพระศาสดา. นางภิกษุณีนั้น อันสงฆ์พึงตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือนชี้แจง ถ้าสวดประกาศครบ ๓ ครั้ง ยังไม่ละเลิก ต้องอาบัติปาราชิก.
๘. นางภิกษุณีที่เป็นคณะเดียวกัน ๖ รูป ประพฤติตนไม่สมควร มียินดีการจับมือบ้าง การจับชายสังฆาฏิบ้าง ของบุรุษ ยืนกับบุรุษบ้าง พูดจากับเขาบ้าง นัดหมายกับเขาบ้าง ยินดีการมาตามนัดหมายของเขาบ้าง เข้าไปสู่ที่มุงด้วยกันบ้าง ทอดกายให้เขาเพื่อเสพอสัทธรรมบ้าง พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาราชิกแก่นางภิกษุณีผู้ประพฤติเช่นนั้น.
๐ สังฆาทิเสส มี ๑๗ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้
๑.นางภิกษุณีฟ้องความกับคฤหบดี บุตรคฤหบดี ทาส กรรมกร หรือแม้โดยที่สุดกับสมณะนักบวช ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๒.นางภิกษุณีรู้อยู่ รับสตรีซึ่งเป็นโจร อันคนทั้งหลายรู้ว่ามีโทษประหาร ให้อยู่ (ให้บวช) โดยไม่บอกเล่า พระราชา, สงฆ์, คณะ, หมู่, พวก เว้นแต่ผู้ที่สมควร (คือบวชในลัทธิอื่นแล้ว หรือบวชในสำนักนางภิกษุณีอื่นอยู่แล้ว) ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๓.นางภิกษุณีแต่ลำพังผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ตาม, ข้ามแม่น้ำก็ตาม, ค้างคืนก็ตาม, ล้าหลังแยกจากหมู่ (ในการเดินทาง) ก็ตาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๔.นางภิกษุณีไม่บอกกล่าวสงฆ์ผู้ทำการ ไม่รู้ฉันทะ (ไม่ได้รับความยินยอม) ของคณะ เปลื้องโทษ นางภิกษุณีที่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสนา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๕.นางภิกษุณีมีความกำหนัด รับของเคี้ยวของฉันจากมือบุรุษผู้มีความกำหนัด ด้วยมือของตนมาเคี้ยว มาฉัน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๖.นางภิกษุณีผู้พูดจูงใจให้ย่อหย่อนพระวินัยต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๗. ห้ามกล่าวาจา บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เมื่อโกรธเคือง และเมื่อกล่าวไปแล้ว ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๘.ห้ามติเตียนภิกษุณีว่านางภิกษุณีทั้งหลาย ลุแก่อคติ ๔ และให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๙.ห้ามรวมกลุ่มกันประพฤติเสื่อมเสีย มีชื่อเสียงไม่ดี เบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ปกปิดความชั่วของกันและกันและให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือน ถ้าครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่เลิกละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๑๐.ห้ามนางภิกษุณี กล่าวกะนางภิกษุณีที่ถูกสงฆ์สวดประกาศตักเตือนถ้ามีใครขืนทำ ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน ถ้าไม่ฟัง ให้สวดประกาศเตือน ครบ ๓ ครั้งแล้ว ยังไม่ละเลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๑๑.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
๑๒. แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๓. แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๔. ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๑๕. เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๖. เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง ๓ ครั้ง
๑๗. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
๐ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่
๑. ห้ามสะสมบาตร
๒. ห้ามอธิษฐานจีวรนอกกาลและแจกจ่าย
๓. ห้ามชิงจีวรคืนเมื่อแลกเปลี่ยนกันแล้ว
๔. ห้ามขอของอย่างหนึ่งแล้วขออย่างอื่นอีก
๕. ห้ามสั่งซื้อของกลับกลอก
๖. ห้ามจ่ายของผิดวัตถุประสงค์เดิม
๗. ห้ามขอของมาจ่ายแลกของอื่น
๘. ห้ามพูดติเตียนเมื่อถูกลงโทษโดยธรรม
๙. ห้ามขอของของคณะมาจ่ายแลกของอื่น
๑๐. ห้ามขอของบุคคลมาจ่ายแลกของอื่น
๑๑. ห้ามขอผ้าห่มหนาวเกินราคา
๑๒. ห้ามขอผ้าห่มฤดูร้อน เกินราคา
๑๓. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๑๔. อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
๑๕. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
๑๖. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
๑๗. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๑๘. พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
๑๙. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
๒๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
๒๑. รับเงินทอง
๒๒. ซื้อขายด้วยเงินทอง
๒๓. ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๒๔. ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๒๕. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ไว้เกิน ๗ วัน
๒๖. แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๒๗. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๒๘. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๒๙. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๓๐. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
- ปาจิตตีย์ มี ๑๖๖ ข้อได้แก่
๑.ห้ามฉันกระเทียม
๒.ห้ามนำขนในที่แคบออก ที่แคบได้แก่ ขนรักแร่ และช่องให้กำเนิด
๓.ห้ามใช้ฝ่ามือตบกันด้วยความกำหนัด
๔.ห้ามใช้สิ่งที่ทำด้วยยางไม้(คำว่า ยางไม้ กินความถึงไม้, แป้ง, ดินเหนียว โดยที่สุด แม้ใบบัว) ใส่ในช่องให้กำเนิด
๕.ห้ามชำระ(ช่องให้กำเนิด)ลึกเกิน ๒ ข้อนิ้ว
๖.ห้ามเข้าไปยืนถือน้ำและพัดในขณะที่ภิกษุกำลังฉัน
๗.ห้ามทำการหลายอย่างกับข้าวเปลือกดิบ (นางภิกษุณีผู้ขอเอง, ใช้ให้ขอ, ฝัดเอง, ใช้ให้ฝัด, ตำเอง, ใช้ให้ตำ ซึ่งข้าวเปลือกดิบ. หุงต้มเอง ใช้ให้หุงต้ม ฉันข้าวนั้น หรือการฉันข้าวที่ตนทำเองต้องอาบัติ)
๘.ห้ามทิ้งของนอกฝานอกกำแพง
๙.ห้ามทิ้งของเช่นนั้นลงบนของเขียวสด
๑๐.ห้ามไปดูฟ้อนรำขับร้อง
๑๑.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่มืด
๑๒.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่ลับ
๑๓.ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่แจ้ง
๑๔.ห้ามทำเช่นนั้นในที่อื่นอีก (ทำเช่นนั้น คือ ภิกษุณี กับบุรุษสองต่อสอง ยืนอยู่บ้าง สนทนากันบ้าง กระซิบที่หูกันบ้าง ส่งนางภิกษุณีที่เป็นเพื่อนไปเสียบ้าง ในถนนรกบ้าง ในถนนตันบ้าง (ถนนเช่นนี้ เข้าทางไหนต้องออกทางนั้น) ในทางแยกบ้าง)
๑๕. ห้ามเข้าบ้านผู้อื่นแล้วเวลากลับไม่บอกลา
๑๖. ห้ามนั่งนอนบนอาสนะโดยไม่บอกเจ้าของบ้านก่อน
๑๗. ห้ามปูลาดที่นอนในบ้านโดยไม่บอกเจ้าของบ้าน
๑๘. ห้ามติเตียนผู้อื่นไม่ตรงกับที่ฟังมา
๑๙. ห้ามสาปแช่งด้วยเรื่องนรกหรือพรหมจรรย์
๒๐. ห้ามทำร้ายตัวเองแล้วร้องไห้
๒๑. ห้ามเปลือยกายอาบน้ำ
๒๒. ห้ามทำผ้าอาบน้ำยาวใหญ่เกินประมาณ
๒๓. ห้ามพูดแล้วไม่ทำ
๒๔. ห้ามเว้นการใช้ผ้าซ้อนนอกเกิน ๕ วัน(หมายเหตุ : ตามธรรมดานางภิกษุณีมีผ้าสำหรับใช้ประจำ ๕ ผืน คือ ๑. สังฆาฏิ (ผ้าซ้อนนอก สำหรับใช้เมื่อหนาว) ๒. อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม) ๓. อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ๔. สังกัจฉิกะ (ผ้ารัดหรือผ้าโอบ) ๕. อุทกสาฏิกา (ผ้าอาบน้ำ). พิจารณาดูตามสิกขาบทนี้ เป็นเชิงห้าม เว้นการใช้ผ้าซ้อนนอก คือสังฆาฏิอย่างเดียว แต่ในคำอธิบายท้ายสิกขาบท ขยายความเป็นว่า เว้นผืนใดผืนหนึ่งใน ๕ ผืน เกิน ๕ วันไม่ได้ คำว่า เว้น คือไม่นุ่งไม่ห่มหรือไม่ตากแดด).
๒๕. ห้ามใช้จีวรสับกับของผู้อื่น
๒๖. ห้ามทำอันตรายลาภจีวรของสงฆ์
๒๗. ห้ามยับยั้งการแบ่งจีวรอันเป็นธรรม
๒๘. ห้ามให้สมณจีวรแก่คฤหัสถ์หรือนักบวช
๒๙. ห้ามทำให้กิจการชะงักด้วยความหวังลอย ๆ
๓๐. ห้ามคัดค้านการเพิกถอนกฐินที่ถูกธรรม
๓๑. ห้ามนอนบนเตียงเดียวกันสองรูป
๓๒. ห้ามใช้เครื่องปูลาดและผ้าห่มร่วมกันสองรูป
๓๓. ห้ามแกล้งก่อความรำคาญแก่นางภิกษุณี
๓๔. ห้ามเพิกเฉยเมื่อศิษย์ไม่สบาย
๓๕. ห้ามฉุดคร่านางภิกษุณีออกจากที่อยู่
๓๖. ห้ามคลุกคลีกับคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี
๓๗. ห้ามเดินทางเปลี่ยวตามลำพัง
๓๘. ห้ามเดินทางเช่นนั้นนอกแว่นแคว้น
๓๙. ห้ามเดินทางภายในพรรษา
๔๐. ห้ามอยู่ประจำที่เมื่อจำพรรษาแล้ว
๔๑. ห้ามไปดูพระราชวังและอาคารอันวิจิตร เป็นต้น
๔๒. ห้ามใช้อาสันทิและบัลลังก์
๔๓. ห้ามกรอด้าย
๔๔. ห้ามรับใช้คฤหัสถ์
๔๕. ห้ามรับปากแล้วไม่ระงับอธิกรณ์
๔๖. ห้ามให้ของกินแก่คฤหัสถ์ เป็นต้น ด้วยมือ
๔๗. ห้ามใช้ผ้านุ่งสำหรับผู้มีประจำเดือนเกิน ๓ วัน
๔๘. ห้ามครอบครองที่อยู่เป็นการประจำ
๔๙. ห้ามเรียนติรัจฉานวิชชา
๕๐. ห้ามสอนติรัจฉานวิชชา
๕๑. ห้ามเข้าไปในวัดที่มีภิกษุโดยไม่บอกล่วงหน้า
๕๒. ห้ามด่าหรือบริภาษภิกษุ
๕๓. ห้ามบริภาษภิกษุณีสงฆ์
๕๔. ห้ามฉันอีกเมื่อรับนิมนต์หรือเลิกฉันแล้ว
๕๕. ห้ามพูดกีดกันภิกษุณีอื่น
๕๖. ห้ามจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
๕๗. ห้ามการขาดปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย
๕๘. ห้ามการขาดรับโอวาทและการขาดการอยู่ร่วม
๕๙. ห้ามการขาดถามอุโบสถและการไปรับโอวาท
๖๐. ห้ามให้บุรุษบีบฝี ผ่าฝี เป็นต้น
๖๑. ห้ามให้บวชแก่หญิงมีครรภ์
๖๒. ห้ามให้บวชแก่หญิงที่ยังมีเด็กดื่มนม
๖๓. ห้ามให้บวชแก่นางสิกขมานาซึ่งศึกษายังไม่ครบ ๒ ปี
๖๔. ห้ามให้บวชแก่นางสิกขมานาที่สงฆ์ยังมิได้สวดสมมติ
๖๕. ห้ามให้บวชแก่หญิงที่มีสามีแล้ว แต่อายุยังไม่ถึง ๑๒
๖๖. ห้ามให้บวชแก่หญิงเช่นนั้นอายุครบ ๑๒ แล้ว (หมายความถึงตามข้อ 65) แต่ยังมิได้ศึกษา ๒ ปี
๖๗. ห้ามให้บวชแก่หญิงเช่นนั้นที่ศึกษา ๒ ปีแล้ว(หมายความถึงตามข้อ 65) แต่สงฆ์ยังมิได้สวดสมมติ
๖๘. ห้ามเพิกเฉยไม่อนุเคราะห์ศิษย์ที่บวชแล้ว
๖๙. ห้ามนางภิกษุณีแยกจากอุปัชฌายะ คือไม่ติดตามครบ ๒ ปี
๗๐. ห้ามเพิกเฉยไม่พาศิษย์ไปที่อื่น
๗๑. ห้ามให้บวชแก่หญิงสาวที่อายุไม่ครบ ๒๐ ปี(หมายเหตุ : พึงสังเกตว่า หญิงที่มีสามีแล้ว อายุครบ ๑๒ จะบวชเป็นนางภิกษุณี ต้องเป็นนางสิกขมานาศึกษาอยู่อีก ๒ ปี จนอายุครบ ๑๔ ปีบริบูรณ์แล้ว จึงบวชเป็นนางภิกษุณีได้แต่ถ้ายังมิได้สามี ต้องอายุครบ ๒๐ จึงบวชได้. แต่ก่อนจะบวชเป็นนางภิกษุณี จะต้องเป็นนางสิกขมานา ๒ ปี ทุกรายไป. ฉะนั้น หญิงที่ประสงค์จะบวชเป็นนางภิกษุณี เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จะต้องบวชเป็นสามเณรีและเป็นนางสิกขมานาก่อนอายุครบ เพื่อไม่ต้องยึดเวลาเป็นนางสิกขมานาเมื่ออายุครบแล้ว)
๗๒. ห้ามบวชหญิงที่อายุครบ แต่ยังมิได้ศึกษาครบ ๒ ปี
๗๓. ห้ามบวชหญิงที่ศึกษาครบ ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ
๗๔. ห้ามเป็นอุปัชฌาย์เมื่อพรรษาไม่ครบ ๑๒
๗๕. ห้ามเป็นอุปัชฌาย์โดยที่สงฆ์มิได้สมมติ
๗๖. ห้ามรับรู้แล้วติเตียนในภายหลัง
๗๗. ห้ามรับปากว่าจะบวชให้ แล้วกลับไม่บวชให้
๗๘. ห้ามรับปากแล้วไม่บวชให้ในกรณีอื่น
๗๙. ห้ามบวชให้นางสิกขมานาที่ประพฤติไม่ดี
๘๐. ห้ามบวชให้นางสิกขมานาที่มารดาบิดาหรือสามีไม่อนุญาต
๘๑. ห้ามทำกลับกลอกในการบวช
๘๒. ห้ามบวชให้คนทุกปี
๘๓. ห้ามบวชให้ปีละ ๒ คน
๘๔. ห้ามใช้ร่มใช้รองเท้า เว้นแต่จะไม่สบาย
๘๕. ห้ามไปด้วยยาน เว้นแต่ไม่สบาย
(หมายเหตุ : ทั้งสองสิกขาบทนี้ เห็นได้ว่าเพื่อมิให้ถูกติว่าเลียนแบบคฤหัสถ์ เป็นการบัญญัติตามกาลเทศ และสิ่งแวดล้อม. ตกมาถึงสมัยนี้ ความรังเกียจคงเปลี่ยนแปลงไป. สิกขาบทเหล่านี้ จึงคงอยู่ในประเภทที่ทรงอนุญาตไว้ก่อนปรินิพพานว่า ถ้าจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยก็ถอนได้ เป็นการเปิดทางให้กาลเทศะ แต่พระสาวกสมัยสังคายนาเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ถอนกันตามชอบใจ จะยุ่งกันใหญ่ คืออาจจะไปถอนสิกขาบทที่สำคัญเข้า แต่เห็นเป็นไม่สำคัญ ฉะนั้น ท่านจึงสวดประกาศห้ามถอน เป็นการใช้อำนาจสงฆ์สั่งการ เช่นนั้น).
๘๖.ห้ามใช้ผ้าหยักรั้ง
๘๗.ห้ามใช้เครื่องประดับกายสำหรับหญิง
๘๘. ห้ามอาบน้ำหอมและน้ำมีสี
๘๙. ห้ามอาบน้ำด้วยแป้งงาอบ
๙๐. ห้ามให้นางภิกษุณีทาน้ำมันหรือนวด
๙๑. ห้ามให้นางสิกขามานาทาน้ำมันหรือนวด
๙๒. ห้ามให้สามเณรีทาน้ำมันหรือนวด
๙๓.ห้ามให้นางคหินีทาน้ำมันหรือนวด
๙๔.ห้ามนั่งหน้าภิกษุโดยไม่บอกก่อน
๙๕.ห้ามถามปัญหาภิกษุโดยไม่ขอโอกาส
๙๖.ห้ามเข้าบ้านโดยไม่ใช้ผ้ารัดหรือผ้าโอบ
๙๗.ห้ามพูดปด
๙๘.ห้ามด่า
๙๙.ห้ามพูดส่อเสียด
๑๐๐.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
๑๐๑.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุณี)เกิน ๓ คืน
๑๐๒.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
๑๐๓.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
๑๐๔.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
๑๐๕.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
๑๐๖.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
๑๐๗.ห้ามทำลายต้นไม้
๑๐๘.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
๑๐๙.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
๑๑๐.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
๑๑๑.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
๑๑๒.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
๑๑๓.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
๑๑๔.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
๑๑๕.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
๑๑๖.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
๑๑๗.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
๑๑๘.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
๑๑๙.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๑๒๐.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๑๒๑.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
๑๒๒.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
๑๒๓.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
๑๒๔.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
๑๒๕.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
๑๒๖.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
๑๒๗.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
๑๒๘.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๑๒๙.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๑๓๐.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๑๓๑.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๑๓๒.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๑๓๓.ห้ามจี้ภิกษุ
๑๓๔.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๑๓๕.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๑๓๖.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๑๓๗.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๑๓๘.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆ เว้นแต่มีเหตุ
๑๓๙.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๑๔๐.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๑๔๑.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๑๔๒.ห้ามฆ่าสัตว์
๑๔๓.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๑๔๔.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ (คดีความ-ข้อโต้เถียง) ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๑๔๕.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๑๔๖.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๑๔๗.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๑๔๘.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๑๔๙.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๑๕๐.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๑๕๑.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๑๕๒.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๑๕๓.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๑๕๔.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๑๕๕.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๑๕๖.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๑๕๗.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๑๕๘.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๑๕๙.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๑๖๐.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๑๖๑.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๑๖๒.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๑๖๓.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๑๖๔.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๑๖๕.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๑๖๖.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
ปาฏิเทสนียะ ๘ ข้อห้ามขอโภชนะประณีต ๘ อย่าง
๑. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค เนยใส
๒. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำมัน
๓. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำผึ้ง
๔. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค น้ำอ้อย
๕. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค ปลา
๖. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภคเนื้อ
๗. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นม
๘. นางภิกษุณีไม่เป็นไข้ ห้ามขอบริโภค นมสด
๐ สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่
๑. นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
๒. ห่มให้เป็นปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
๓. ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
๔. ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
๕. สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
๖. สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
๗. มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
๘. มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
๙. ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
๑๐. ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
๑๑. ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
๑๒. ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
๑๓. ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
๑๔. ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๑๕. ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๑๖. ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๑๗. ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๑๘. ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๑๙. ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๒๐. ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๒๑. ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๒๒. ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๒๓. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๒๔. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๒๕. ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๒๖. ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
๐ โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่
๑. รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
๒. ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
๓. รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
๔. รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
๕. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
๖. ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร
๗. ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
๘. ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
๙. ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
๑๐. ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
๑๑. ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
๑๒. ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
๑๓. ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
๑๔. ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๕. ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
๑๖. ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๑๗. ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๑๘. ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙. ไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐. ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๒๑. ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒. ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๒๓. ไม่ฉันแลบลิ้น
๒๔. ไม่ฉันดังจับๆ
๒๕. ไม่ฉันดังซูดๆ
๒๖. ไม่ฉันเลียมือ
๒๗. ไม่ฉันเลียบาตร
๒๘. ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙. ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐. ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
เสขิยะ
๐ ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ
๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
๕. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)
๖. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
๗. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
๘. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
๙. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๑๐. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๑๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๑๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุณีอยู่บนแผ่นดิน
๑๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุณี
๑๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุณียืน
๑๕. ภิกษุณีเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๑๖. ภิกษุณีเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
๐ ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
๐ อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่
๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
๏ ข้อห้ามสำหรับการบวชภิกษุณีในแบบธรรมยุต
ห้ามจับปัจจัยที่เป็นเงินเด็ดขาด

สรุปศีลของนางภิกษุณี
ชื่อ ของนางภิกษุณี นำของภิกษุมาใช้ รวม
ปาราชิก ๔ ๔ ๘
สังฆาทิเสส ๑๐ ๗ ๑๗
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑๒ ๑๘ ๓๐
ปาจิตตีย์ ๙๖ ๗๐ ๑๖๖
ปาฏิเทสนียะ ๘ - ๘
เสขิยะ - ๗๕ ๗๕
อธิกรณสมถะ - ๗ ๗
รวมทั้งสิ้น ๑๓๐ ๑๘๑ ๓๑๑