ถ้ำมนุษย์โบราณแห่งธิเบต
#1
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 11:11 AM
สายลมแสงแดดมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง หลายอย่างพิสูจน์ว่า เรื่องเล่าในฝันในฝันเป็นจริง
แปลจาก The Cave of the Ancients: ถ้ามนุษย์โบราณ(1963) โดย T.Lobsang Rampa ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Third Eye
เป็นเรื่องของกลุ่มลามะธิเบตกลุ่มเล็กๆที่ ปีนขึ้นไปเหนือขุนเขาอันลึกลับแต่รู้จักกันดีในหมู่ลามะชั้นสูง และได้พบเรื่องราวประหลาด ย้อนหลังไปสู่อารยธรรมในอดีตอันไกลโพ้น
ต่อไปนี้เป็นความตอนหนึ่งที่ตัดมาเล่าสู่กันฟังโดยย่อ
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำเอาพวกเราทุกคนแทบสิ้นสติ ถ้ำนี้ดูไปแล้วเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่มากกว่า มันแผ่ออกไปรอบด้านราวกับว่าภูเขาลูกนี้กลวง มีแสงบางอย่างส่องตรงลงมาจากลูกโลกหลายลูกที่ห้อยลงมาจากเพดานถ้ำที่มืดสนิท เครื่องจักรหน้าตาประหลาดตั้งอยู่เรียงราย เครื่องจักรบางตัวดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยแก้วบางใส......
มีวัตถุสีดำลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ฝังตัวอยู่บนผนังด้านหนึ่ง หัวหน้าลามะไปสัมผัสมันเข้า ปรากฏว่ามันดีดตัวออกมา เปิดตัวให้ทุกคนคลานเข้าไปได้
มืดสนิท เราคลานเข้าไป รู้สึกตัวว่ากำลังนั่งอยู่บนพื้น ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ผ่านไปพักหนึ่งเมื่อใจเราค่อยสงบลง เสียงคลิ๊กๆๆ ดังขึ้น คล้ายเสียงสัมผัสกันของเครื่องจักรบางอย่าง
......อย่างช้าๆ มีบางอย่างคล้ายสายหมอกสีเทาก่อตัวขึ้นมาในท่ามกลางความมืด ราวกับปีศาจกำลังจะปรากฏตัว แล้วมันค่อยแผ่ขยายไปรอบห้อง เผยให้เห็นภาพจางๆของเครื่องจักรประหลาดที่เรียงรายในรูปกลมล้อมรอบพื้นที่เรานั่งอยู่ แล้วแสงนั้นก็วูบบีบตัวแคบลงเป็นรูปทรงกลม
ภายในวงกลมเรามองเห็นภาพ ตอนแรกมัวๆ หลังจากนั้นก็ชัดขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่แค่ภาพแล้ว แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวได้.......
ถ้าสนใจจะมีภาค 2 เจ้าค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 11:51 AM
#3
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 12:24 PM
ไฟล์แนบ
#4
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 12:53 PM
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#5
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 01:01 PM
แม้ลามะเหล่านี้สามารถเข้าสมาธิและมองเห็นภาพย้อนหลังไปยาวนานได้ แต่ท่านก็ป่ายปีนขึ้นไปสู่ยอดเขาด้วยความยากลำบากเพื่อจะสัมผัส เครื่องจักรเหล่านี้ด้วยมือตนเอง ท่านยังกล่าวว่า แท้ที่จริงเครื่องจักรแบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในธิเบตเท่านั้น แต่ยังมีในอียิปต์ และอเมริกาใต้ด้วย
เราได้เห็นมาหมดแล้ว ลามะประกาศ
และต่อไปนี้คือเรื่องราวที่อยู่ในถ้ำ
นับแสนๆปีมาแล้ว มีอารยธรรมระดับสูงบนโลกใบนี้ มนุษย์สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยเครื่องจักรบางอย่างที่หลุดจากการโน้มถ่วงของโลก มนุษย์สามารถสร้างเครื่องจักรที่ใส่ความคิดของตนลงไปในจิตใจของผู้อื่น... ในรูปของภาพ...และยังสามารถคิดอาวุธมหาประลัยที่ถล่มทวีปลงไปใต้สมุทร และดันพื้นใต้สมุทรมาเป็นแผ่นดิน เรื่องราวของน้ำท่วมโลกมีอยู่ในทุกศาสนาสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้
นาน นานเหลือเกิน ตั้งแต่โลกนี้ยังใหม่อยู่ เทือกเขาตั้งอยู่ในทะเลที่เราเห็นในปัจจุบัน และชายหาดที่สวยงามบัดนี้กลายเป็นยอดเขา อากาศอบอุ่น มีสัตว์แปลกๆวิ่งไปมา มันเป็นโลกของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ พาหนะประหลาดบินโฉบอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อยก่อนจะโผขึ้นสู่อากาศ ยอดโบสถ์พุ่งสูงเสียดก้อนเมฆ มนุษย์และสัตว์พูดคุยกันได้ทางโทรจิต นี่คือภาพด้านดี แต่อีกด้านหนึ่ง นักการเมืองกำลังทะเลาะวิวาท แบ่งออกเป็นสองฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มุ่งจะรุกรานครอบครองอาณาจักรของคนอื่น โลกปกคลุมไปด้วยความหวาดระแวงและความสะพรึงกลัว นักบวชของแต่ละฝ่ายต่างอ้างว่าพวกตนต่างหากที่เป็นผู้ได้รับพรจากพระเจ้า จากนั้นก็สอนว่า มนุษย์ทั้งปวงล้วนเป็นพี่น้องกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ประกาศว่า นี่คือ หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Duty) ของเราที่จะต้องสังหารศตรูของเราให้หมดสิ้น
#6
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 01:22 PM
#7
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 01:56 PM
#8
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 02:40 PM
หนังสือเล่มน้ มีกล่าวถึงศาสดาสำคัญแห่งโลกตะวันตกไปศึกษาความรู้ในธิเบตและอินเดียด้วย ...ขอบอก!!
ตอน 3 ค่ะ
เราเห็นภาพมหาสงครามซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่คือประชาชนพลโลก แต่พวกทหารส่วนใหญ่อยู่รอด
เราเห็นภาพนักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าในห้องแล็บเพื่อให้ได้อาวุธที่อันตรายยิ่งขึ้นไปอีก
ในท่ามกลางมหาสงครามเราเห็นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งกำลังสร้าง แคปซูลแห่งกาลเวลา (Time Capsule)
ซึ่งก็คือถ้ำแห่งบรรพกาล ที่เรากำลังเหยียบยืนอยู่นี่เอง
ด้วยจุดประสงค์ที่จะรักษาวิทยาการอันลึกล้ำของพวกตนให้คนยุคหลังนำไปใช้ได้ในอนาคต
เราเห็นภาพคนเจาะผนังถ้ำ ฝังเครื่องจักรลงไป
เราเห็นการประดิษฐ์เครื่องจักรที่สร้างคลื่นแสงจางๆที่สามารถอยู่ไปอีกได้นับล้านๆปี หรือแม้กระทั่งจนถึงวันสิ้นโลก
ห้องโถงพิเศษนี้ยังถูกซ่อนไว้ใต้ทะเลทรายแห่งอียิปต์ ใต้ปิรามิดในอเมริกาใต้ และ ณ สถานที่หนึ่งในไซบีเรีย
แต่ละแห่งจะมีสัญลักษณ์กำหนดเป็นเครื่องหมาย นั่นคือ ตัวสฟิงซ์
เราพบว่าเราสามารถเข้าใจภาษาที่ถ่ายทอดบนหน้า จออากาศ ด้วยโทรจิต
เราเรียนรู้ว่าตัวสฟิงซ์ไม่ได้ถูกสร้างเป็นครั้งแรกในอียิปต์ และมีคำอธิบายเกี่ยวกับรูปร่างของมัน
นานมาแล้วมนุษย์และสัตว์สังสรรค์กันและทำงานร่วมกัน
และแมว คือสัตว์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเรื่องความมีพลังและความฉลาด
ดังนั้นมนุษย์โบราณจึงปั้นรูปแมวตัวใหญ่เพื่อแสดงความมีอำนาจและความคงทน แต่ให้ส่วนอกและหัวเป็นมนุษย์เพศหญิง
ส่วนหัวเป็นตัวแทนของความฉลาดและความมีเหตุผล
ส่วนอกให้ความหมายว่ามนุษย์และสัตว์สามารถพึ่งพากันได้ในเชิงจิตวิญญาณ
รูปปั้นแบบนี้สำหรับคนยุคนั้น
ไม่ต่างอะไรกับรูปเคารพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม้กางเขน หรือดวงดาวแห่งเดวิด ที่เราเห็นในปัจจุบัน
#9
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 02:46 PM
ตรงไหนหรอครับ?
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#10
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:00 PM
ตอน4 ค่ะ
เรามองเห็นภาพเมืองใหญ่ล่องลอยไปในมหาสมุทรจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
บนฟ้ายังมียานใหญ่เท่ากันลอยไปโดยไร้เสียง
ข้างล่างมีพาหนะเคลื่อนไปเหนือพื้นเพียงเล็กน้อย
มีสะพานทอดข้ามระหว่างเมือง มีสายเคเบิลแขวนบอกเส้นทาง
ทันใดนั้นมีแสงสว่างวาบ สะพานหนึ่งหักโค่น ตามมาด้วยแสงวาบอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งเห็นภาพเมืองแต่ละเมืองระเบิดกระจุยเป็นกลุ่มก๊าซ
เหนือซากที่ดูไม่ออกแล้วว่าเป็นอะไร สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าราวหนึ่งไมล์คือเมฆสีแดงรูปดอกเห็ด
แล้วภาพข้างหน้าก็เลือนหายไป ภาพนักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่สร้างไทม์แคปซูลปรากฏขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาตัดสินใจจัดการในขั้นตอนสุดท้าย เราเห็น ความทรงจำที่ถูกบันทึก (stored memories) ถูกอัดลงไปในเครื่องจักร
เราได้ยินคำสั่งลา มนุษย์แห่งอนาคต....หากว่ายังมีอยู่.....จงทราบว่าครั้งหนึ่ง มนุษย์ได้ประหัตประหารกันเอง
ในถ้ำนี้คือที่เก็บฝังเครื่องบันทึกอดีตแห่งปัญญาและความเขลาของพวกเรา
ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์แห่งชาวโลกในอนาคตที่จะได้มาพบ และทำความเข้าใจ....
เสียงในโทรจิตนั้นแผ่วจางลงจนกลืนหายไปพร้อมกับภาพที่ดับสนิท
มืดอยู่พักหนึ่งก็มีแสงสว่างจางๆทอดมาจากผนังถ้ำอย่างที่เราเห็นเมื่อตอนเข้ามาครั้งแรก
เราทอดสายตามองไปทั่วถ้ำอีกครั้ง นอกจากเครื่องจักรประหลาดอยู่เต็มแล้วเรายังเห็นโมเด็ลจำลองเมืองและสะพานที่สร้างด้วยหินและโลหะบางอย่างที่เราไม่รู้จัก เครื่องจักรบางชิ้นถูกห่อหุ้มด้วยวัสดุบางใสเหมือนแก้ว แต่ไม่ใช่แก้ว
ทันใดมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในใจของเรา
ก่อนไปจงเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งท่านจะพบเครื่องมือปิดผนึกทุกอย่างที่ท่านเห็นขณะนี้
หากท่านยังไม่เจริญพอที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้ จงออกไป
และปิดผนึกทุกอย่างเสีย เพื่อรอคนอื่นที่จะได้เข้ามาในอนาคต
ตอน 5 ค่ะ
หลังจากนั้น ลามะได้นั่งรวมกัน และพร้อมใจกันเข้าฌานย้อนอดีต
"พวกเราต้องการเห็นภาพหลังจากถ้ำนี้ถูกปิดผนึกลงแล้ว ....
อย่างช้าๆเรารู้สึกหลุดไปจากโลก
ล่องลอยอยู่เหนือมหาสมุทรแห่งกาลเวลา
พวกเราเห็นภาพนักวิทยาศาสตร์ปิดผนึกภูเขาทั้งลูก แล้วเดินจากไป
เวลาผ่านไปหลายเดือนหลังจากนั้น
เราเห็นภาพนักบวชผู้หนึ่งบนบันใดขั้นสูงสุดของยอดปิรามิดขนาดมหึมา
เขากำลังเรียกร้อง เร่งเร้าให้ประชาชนเข้าสงคราม
เวลาผ่านไปอีก.......
เราเห็นผู้นำอีกฝ่ายหนึ่งตะโกนด้วยความคลั่งแค้น
เวลาผ่านไปอีก.....
เราเห็นไอสีขาวพลุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีน้ำเงิน
แล้วท้องฟ้าก็กลายเป็นสีแดง
โลกทั้งใบสั่นกระตุก
ความมืดปกคลุมไปทั่ว
เมฆสีดำถูกแต้มเปรอะไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน
เมืองแล้วเมืองเล่าลุกโชนด้วยไฟ
ก่อนความว่างเปล่าจะเข้ามาแทนที่
ตอนจบค่ะ
ท้องมหาสมุทรตีฟองเหมือนบ้าคลั่ง
เกลียวคลื่นสูงกว่าตึกระฟ้าโหมเข้ากลืนแผ่นดิน
หมดสิ้นแล้วคืออารยธรรมของมนุษยชาติ
โลกทั้งใบสั่นกระตุกและส่งเสียงดังยิ่งกว่าฟ้าผ่า
แผ่นดินแยกออกเป็นหุบเหวมหึมาแล้วเคลื่อนกลับเข้าหากันอีกเหมือนปากอสูรที่กำลังกัดกินเหยื่อ
ภูเขาสั่นโยกไปมาเหมือนกิ่งวิลโลว์ที่ไหวในท่ามกลางพายุ มันโคลงเคลงไปมาก่อนจะจมลงใต้มหาสมุทร
แผ่นดินโผล่จากใต้ท้องน้ำแล้วฟอร์มตัวเป็นภูเขา พื้นผิวโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
ฝูงชนจำนวนหนึ่งที่หลงเหลือส่งเสียงร้องเหมือนคนบ้าขณะวิ่งขึ้นไปหลบบนยอดเขาที่เพิ่งเกิดใหม่
อีกส่วนหนึ่งหนีลงเรือ บ้างก็ตายบ้างก็รอด พวกที่รอดก็ขึ้นฝั่งไปหลบซ่อนในที่ที่ตนคิดว่าปลอดภัย
ในบัดนั้น เราเห็นโลกหยุดหมุน
มันลอยนิ่งอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไปทางไหนทั้งสิ้น
แล้วค่อยๆหมุนไปในทิศทางตรงข้าม
ป่าทั้งป่าเปลี่ยนสภาพจากต้นไม้เป็นถ่านเถ้าในชั่วพริบตา ผิวโลกถูกทำลายคล้ายแผ่นขนมปังกรอบที่ไหม้กระดำกระด่าง
ลึกลงไปในปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว ยังมีฝูงชนที่สติแตกเข้าไปหลบเร้นอาศัย
จากท้องฟ้าที่มืดสนิทมีสารสีขาวรสหวานโปรยปรายลงมาให้เป็นอาหารแก่ผู้ที่เหลือรอด
จากนั้นอีกหลายศตวรรษผ่านไป ผิวโลกยังเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้ง
ทะเลกลายเป็นแผ่นดิน และแผ่นดินกลายเป็นทะเล เกิดทะเลสาบ ทะเลทราย
ฝูงชนที่ร่อนเร่ต่างกล่าวขานกันจนกลายเป็นตำนาน
เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ เรื่องอาณาจักรแอตแลนติส ลิมูเรีย
และพวกเขายังเล่าขานกันถึงวันหนึ่ง
เป็นวันที่พระอาทิตย์หยุดหมุน
#11
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:11 PM
จำได้ว่าในฝันในฝัน มีเรื่องเล่าว่า
ครั้งหนึ่ง มนุษย์และสัตว์สามารถพูดคุยกันรู้เรื่อง
มีเรื่องเล่าว่า เคยมีอารยธรรมเกิดขึ้นมามากมายหลายครั้งแล้วในโลกใบนี้
เรื่องเล่าของลามะ เป็นวิชาความรู้ของพวกเขา
อาจจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้
ฟังไว้เป็นคติเตือนใจ
เพราะมันมีอะไรที่คล้ายๆกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 04:52 PM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#13
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 08:42 PM
ลูกพระธรรม
#14
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 08:44 AM
เมาหมัดไปหน่อย รีบพิมพ์
ตรง " เป็นวันที่พระอาทิตย์หยุดหมุน" ภาษาอังกฤษว่า " the day the Sun Stood Still"
ขอแก้เป็น
และพวกเขายังเล่าขานกันถึงวันหนึ่ง
"เป็นวันที่พระอาทิตย์ หยุด ค้าง อยู่กลางฟ้า"
#15
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 09:24 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#16
โพสต์เมื่อ 17 September 2006 - 10:51 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี