ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

สมาธิมีผลต่อคลื่นสมองและจิตใจ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 tooyarihc

tooyarihc
  • Members
  • 10 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 29 August 2013 - 01:29 PM

สมาธิ
มีผลต่อคลื่นสมองและจิตใจ

     เมื่อพูดถึงเรื่องปรากฎการณ์ทางจิต พลังจิต และความสามารถเหนือธรรมชาติ มักจะมีคำถามว่า "ปรากฎการณ์เหล่านี้จะเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์กระนั้นหรือ" ปัจจุบัน... คำตอบคือ "ใช่"

วิทยาศาสตร์ทางจิต (SCIENCE OF CONSCIOUSNESS)
     ในรอบ 2 ทศวรรษนี้... นักวิทยาศาสตร์ทางจิตได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ "เกี่ยวกับคลื่นสมองของคนเรา" ที่สามารถวัดออกมาได้ค่าที่แตกต่างกันในสภาวะต่างๆ เช่น ในขณะที่นอนหลับ ตื่น หรือ จิตใจขณะที่สงบ ขณะที่วุ่นวาย หรือ ขณะที่มีสมาธิสูง เป็นต้น


จากผลการทดลองพบว่า
     1. คลื่นเบต้า (BETA WAVE)
     ... มีความถี่ 13-40 รอบ ต่อวินาที
     ... เป็นคลื่นสมอง ที่เกิดขึ้นใน
"สภาวะปกติจนถึงขณะวุ่นวายสับสน"
     ... ยิ่งความถี่สูงขึ้นเท่าไร จิตใจคนเราก็ยิ่งวุ่นวายสับสนเท่านั้น
     ... จิตใจที่วุ่นวายสับสนได้ง่าย
"ก็เนื่องมาจากมีอารมณ์ด้านลบในจิตมาก" เช่น ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความโลภ ความรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น ความรู้สึกหลงตนเอง ฯลฯ

    
2. คลื่นอัลฟา (ALPHA WAVE)
     ... มีความถี่ 8-13 รอบต่อวินาที
     ... เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นใน
"สภาวะจิตใจสงบ เยือกเย็น สมดุล แต่มีความตื่นตัว" พร้อมที่จะทำกิจการใดๆ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
     ... มีพลังงานมากกว่าคลื่นเบต้า
     ... คลื่นอัลฟาทำให้คนเรามีอารมณ์ดี ร่าเริง เบิกบาน มีควาามคิดสร้างสรรค์สูง มีภูมิคุ้มกันในร่างกายสูง มีพลังความคิดด้านบวกสูง มีสมาธิสูง ฯลฯ
     ... สภาวะอัลฟาบางครั้งเราเคยเข้าสู่สภาวะนี้
"ซึ่งเป็นสภาวะที่เราทำภารกิจต่างๆได้ยอดเยี่ยมยิ่ง" เช่น เล่นกีฬาได้ดีเป็นพิเศษจนน่าประหลาดใจ นักกีฬาระดับโลกเรียกสภาวะนี้ว่า "IN THE ZONE"

     3. คลื่นคอสมิค (COSMIC WAVE)
     ... มีความถี่ 4 รอบต่อวินาทีจนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง
     ... เป็นคลื่นแห่งความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่
     ... ความถี่ของคลื่นสมองที่ต่ำที่สุด
"แต่มีพลังงานสูงที่สุด" จะอยู่ระหว่าง "4 รอบต่อวินาทีจนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง"
     ... ผู้ที่เขาถึงสภาวะนี้ "จะเกิดภาวะปีติสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่" (UNIVERSAL LOVE) ให้กับทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
     ... คลื่นคอสมิคนี้
"จะพบในผู้ที่มีสมาธิจิตสูงมาก" !


สรุปผลที่เกิดขึ้น
ในสภาวะที่เกิดคลื่นสมองต่างๆ

     คนทั่วไปในเวลาปกติ... จะส่งคลื่นเบต้าออกมาซึ่งมีความถี่ประมาณ 21 รอบต่อวินาที เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก เช่น โกรธ เกลียด อิจฉา ตื่นเต้น ฯลฯ "คลื่นสมองจะมีความถี่สูงขึ้นทันที" ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้น "มีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง มีความตึงเคลียดสูง มีสมาธิน้อยลง มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำลง มีภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดลง" ฯลฯ
     ถ้าเราปล่อยให้คลื่นสมองของเรา... มีความถี่สูงเกินกว่า 21 รอบต่อวินาที
"มากๆ เป็นเวลานานๆ" เราจะอยู่ในสภาวะที่แพทย์ปัจจุบัน เรียกว่า "โรคเครียดและวิตกกังวล" ซึ่งเป็น "โรคร้ายอันดับ 1 ของโลก" ในปัจจุบันแพทย์ได้ยอมรับว่า สภาวะเครียดและวิตกกังวล "เป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆทั้งทางร่างกายและจิตใจ" อีกมากมาย


     ในสภาวะเคลียดนี้... การสร้าง "ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายจะทำงานไม่เป็นปกติ" ร่างกายของคนเราจะอ่อนแอลง เชื่อโรคต่างๆ สามารถเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เช่น เป็นหวัดบ่อย เป็นโรคภูมิแพ้ ความดันโลหิต อาการบาดเจ็บบ่อยของนักกีฬา รวมทั้งมะเร็ง (มีผลวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า มีผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งชนิดรุนแรงเฉียบพลันเป็นจำนวนมาก ที่สูญเสียทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ในช่วง 3 - 12 เดือน...ก่อนที่จะตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง)


     คลื่นสมองที่มีคลื่นความถี่สูงๆ...นอกจากเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้คนเรามีร่างกายอ่อนแอเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายแล้ว ยิ่งคลื่นสมองของเรา "มีความถี่เกิน 40 รอบต่อวินาที เราแทบจะไม่สามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ได้เลย" เช่น เวลาที่เราโกรธใครมากๆ เราจะไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้ความคิดต่างๆ จะผ่านเข้ามาในสมองของเราเร็วมาก จนเราแทบจำไม่ได้ว่ามีความคิดอะไรที่ผ่านมาบ้าง
     คลื่นสมองที่มีคลื่นความถี่สูงๆ...
     จะทำให้
"เกิดพลังงานส่วนเกินที่จะต้องระบายออกมาทางร่างกาย" เช่น หน้าแดง มือสั่น เหงื่อออกมาก หรือพฤติกรรมที่รุนแรงต่างๆ ฯลฯ ซึ่งการกระทำของเราในขณะที่คลื่นสมองมีความถี่สูงนี้ มักจะไม่ค่อยเหมาะสมและเรามักจะรู้สึกเสียใจในภายหลัง
 

     ในทางตรงกันข้าม...
     หากเราสามารถควบคุมคลื่นสมองเรา
"ให้มีความถี่ต่ำได้ ผลดีต่างๆ ก็จะเกิดตามมามากมาย" เช่น
     ... มีร่างกายแข็งแรง
     ... มีภูมิคุ้มกันโรคสูง
     ... มีจินตภาพ และความคิดสร้างสรรค์สูง
     ... มีสัมผัสที่ 6 สูง
     ... มีพลังแห่งความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่สูง ฯลฯ


     การทำสมาธิที่สมบูรณ์แบบ "เป็นวิธีการลดคลื่นสมองของตัวเรา ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"


     เมื่อพูดถึงเรื่องประสบการณ์ทางจิต พลังจิต และความสามารถเหนือธรรมชาติ มักจะมีคำถามว่า "ปรากฎการณ์เหล่านี้จะเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์กระนั้นหรือ"


     ปัจจุบัน... คำตอบคือ "ใช่"
     เป็นคำตอบของนักวิทยาศาตร์ระดับโลก "ที่เป็นส่วนมากที่สุด" หรืออาจกล่าวได้ว่า "แทบทั้งหมด" ก็ว่าได้ ทุกวันนี้สามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า "เรื่องพลังจิตพีเอสไอ (PSI)" ปรากฎการณ์ลึกลับทางพลังจิต เป็นเรื่องที่ยอมรับในด้านของความเป็นไปได้ อย่างน้อยนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า "ของชาติตะวันตกในทุกประเทศ" จะหาผู้ที่ต่อต้านหรือคัดค้านเรื่องของพลังจิตอำนาจของจิตอย่างจริงจังได้ยากเต็มที !


     น.พ.ประสาน ต่างใจ
     ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านเรื่อง
"วิทยาศาสตร์จิตวิญญาณ" เกี่ยวกับเรื่องการต่อต้านว่า... "ที่เห็นออกมาต่อต้านนั้นก็มีบ้างแต่ว่าไม่ใช่นักคิดหรือนักวิทยาศาสตร์สายตรงระดับชั้นนำ อาจมีสังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยาบ้าง หรือไม่ก็พวก นักแสดงมายากล เช่น เจมส์ แรนเดิล" (JAMES RANDLE ; HELL STAMP OUT ABSURD BELIEFS , 1992)
     ... "หลายคนทีเดียวที่ต่อต้านพลังจิตแต่แทบว่าไม่ได้ร่ำเรียน หรือ มีประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ประการใดเลย"
     ... "ประสบการณ์ทางจิตเหนือธรรมชาตินั้น สำหรับผู้ที่ได้ติดตามและศึกษาการวิจัยอย่างจริงจังแล้ว จะไม่มีผู้ใดแม้คนเดียวที่สงสัยหรือคัดค้านว่าเรื่องของพลังจิต พี เอส ไอ เป็นเรื่องที่ไม่จริง หรือเป็นเรื่องที่เป้นไปไม่ได้" (ROBERT JAHN & BRENDS BUNNE ; THE SPIRITUAL SUBSTANCE OF SCIENCE, 1994)


ประโยชน์ของการทำสมาธิในการกีฬา

     ปัจจุบันนี้... ประเทศต่างๆ ในยุโรปในอเมริการวมทั้งญี่ปุ่น ได้จัดเวลาให้นักกีฬา "มีการฝึกปฎิบัติสมาธิควบคู่ไปกับการฝึกซ้อม"
     เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าคนเรานั้นมี "พลังสะสม หรือพลังสำรอง" (RESERVES POWER) บางทีเรียกว่า "พลังแฝง" (LATENT POWER) อยู่ในตัวของทุกๆ คน

 

     การนำเอาพลังงานดังกล่าวออกมาใช้... ต้องมีวิธีหรือเหตุ ยกตัวอย่างเช่น เวลาคนตกใจเมื่อเกิดไฟไหม้บ้าน เขาสามารถยกกำปั้นหรือหีบห่อที่มีน้ำหนัก เกินกว่ากำลังตามปกติจะเคลื่อนได้ แต่เพราะความตกใจเขาสามารถวิ่งหนีไปได้อย่างสบายๆ ประดุจของนั้นเบา แต่เมื่อหายตกใจแล้วเขากลับยกไม่ขึ้นเลย
 

     สิ่งนี้อธิบายว่า... คนเรานั้นธรรมชาติได้สร้างศักยภาพ (POTETNTIA LENERGY) เอาไว้ในตัวมากมาย แต่ในสภาวะปกติประจำวัน "เราใช้มันเพียง 10-25 % เท่านั้น" หรือตัวอย่างเช่น "หากเราตัดปอด หรือไต ออกไปเสียข้างหนึ่ง ข้างที่เหลือก็สามารถทำงานได้อย่างสบายๆ"

 

     จิตของมนุษย์ หรือ พลังในตัวมนุษย์นี้... นักจิตวิทยาพยามหาวิธีดึงเอาออกมาใช้ โดยพยาม "ฝึกจิตให้มีสมาธิดิ่ง" ที่เรียกว่า "จิตดิ่ง" (PURE CONCIOUSNESS) อันเป็นสภาวะของจิตที่ละเอียดนั้น "เพื่อดึงเอาพลังงานสะสม หรือ พลังงานภายใน" (RESERVED POWER หรือ WILL POWER) ออกมาใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น เพื่อเล่นกีฬา
 

     ปัจจุบันนี้... เขาใช้วิธีการอบรมที่เรียกว่า "INNER MENTAL TRAINING" อย่างเช่นในการประชุม WORLD CONGRESS IN SPORTS PSYCHOLOGY เมื่อวันที่ 24-27 มิถุนายน 2528 ที่กรุง COPENHAGEN ประเทศเดนมาร์ค ก็มีหัวข้อพูดกันเรื่อง "MIND OVER BODY CHAMPIONSHIP IN VARIOUS SPORTS"

 


ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับกันว่า...จิตเป็นนายเหนือกาย !

 

 

จากหนังสือ

 

 

วิทยาศาสตร์ทางใจ

 

- - - - - - - - - - - - -

เรียบเรียงโดย พระอาจารย์สุวิเชียร อุตฺตมพนโธ

 



#2 luckyduo

luckyduo
  • Members
  • 3 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 29 August 2013 - 04:57 PM

ขอบพระคุณครับ

อยากนั่งสมาธินานๆ แต่ไม่เคยทำได้สักทีครับ T T


เว็บไซต์ที่รวบรวมการทำบุญวันออกพรรษา และสถานที่ท่องเที่ยววันออกพรรษา <<<ลองเข้าไปดูสิ


#3 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 29 August 2013 - 11:27 PM

:) 

 

ขอบคุณค่ะ ดีมาก ๆ



#4 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 August 2013 - 11:09 AM

พรรษาพิสุทธิ์นี้ หมู่คณะเรา คลื่นคอสมิค บูชาธรรม...เพียบ

 

สาธุ สาธุ สาธุ


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#5 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 30 August 2013 - 01:02 PM

ในทางวิทยาศาสตร์จะเป็นผลการวิจัยแบบนี้ครับ

 

บทที่ ๕

สมาธิกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

 

วัตถุประสงค์

๑.       เพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้เกี่ยวกับสมาธิกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์

๒.     เพื่อให้ผู้ศึกษาเห็นผลดีของการฝึกสมาธิ

๓.     เพื่อให้ผู้ศึกษามีฉันทะในการฝึกสมาธิในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น

เนื้อหา

 

ทำไมวิทยาศาสตร์จึงหันมาศึกษาในเรื่องของสมาธิ

ในอดีตการใช้สมาธิรักษาโรคยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้วงการแพทย์ โดยเฉพาะวงการแพทย์ตะวันตก เพราะการแพทย์ตะวันตก การรักษาผู้ป่วยทุกขั้นตอนต้องผ่านการทดลองบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ ขณะที่การรักษาโรคด้วยการทำสมาธิยังไม่มีผลการพิสูจน์ชัดเจนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

ในพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะพูดเรื่องอานิสงส์ของการทำสมาธิว่าทำให้ผ่อนคลาย ทำให้อารมณ์ดี จิตใจแจ่มใส เบิกบาน ผิวพรรณวรรณผ่องใส อายุยืนก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลการพิสูจน์ออกมาทางวิทยาศาสตร์เลย ต่อมาวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าผลของการฝึกสมาธิมีผลต่อร่างกายและจิตใจจริง ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น และเมื่อวัดคลื่นสมองพบว่าสมาธิทำให้สมองผ่อนคลายและคลายเครียดลง

และเนื่องจากสมาธินี้เป็นเรื่องของธรรมชาติที่เป็นการปฏิบัติต่อจิตใจซึ่งบางส่วนสามารถวัดหรือพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงได้มีนักค้นคว้าและนักวิจัยหลายคนได้ทำการศึกษาค้นคว้าโดยวิธีที่เป็นวิทยาศาสตร์

การศึกษาสมาธิด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา ผู้ที่ศึกษาเรื่องสมาธิกับวิทยาศาสตร์นี้ไว้มากคือ ดร.เฮอร์เบิร์ต เบนสัน (Herbert Benson M.D.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางอายุรศาสตร์แห่งโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาเรื่องนี้อยู่กว่า ๓๐ ปีท่านได้สร้างทีมงานและสถาบันวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ (Mind-Body medical institute) ในฮาร์วาร์ด สถาบันแห่งนี้ได้สร้างองค์ความรู้ทางด้านกายและจิตไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่ใช้อ้างอิงกันทั่วไปนับว่าเป็นผู้บุกเบิกความรู้ทางด้านนี้อย่างมาก

ดร.เบนสัน นอกจากเป็นนักวิทยาศาสตร์แล้ว ท่านยังมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาอย่างดี ท่านได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศธิเบตและอินเดีย โดยเฉพาะในเรื่องสมาธิและโยคะ

ช่วงแรกดร. เบนสัน ได้นำอาสาสมัครที่ฝึกสมาธิแบบ ที.เอ็ม. (Trancendental Meditation, TM) โดยให้อาสาสมัครทำสมาธิ แล้ววัดความดันอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ คลื่นสมอง คลื่นหัวใจ เจาะเลือดดูกรดแลคติก ผลการวิจัยพบว่า ในคนที่จิตเป็นสมาธิ ความดันจะลดลง อัตราการหายใจลดลง หัวใจเต้นช้าลง คลื่นสมองช้าและเป็นระเบียบขึ้น การเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง เขาเรียกปรากฏการณ์ที่ค้นพบนี้ว่า ผลของความผ่อนคลาย (Relaxation Responses) การค้นพบครั้งนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของงานวิจัยที่ทำติดต่อกันมาเป็นเวลา ๓๐ ปีและทำให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ยอมรับเรื่องจิตใจมีผลต่อร่างกาย ดังนั้น การรักษาโรคทางกาย ก็รักษาได้โดยการทำใจให้เป็นสมาธิ มีความผ่อนคลาย ซึ่งเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง

จะเห็นว่า ผลของความผ่อนคลาย ที่กล่าวมานี้จะตรงกันข้ามกับผลที่เกิดจากความเครียด กล่าวคือ ในเวลาที่เราเครียดÝ ความดันจะสูงขึ้น การหายใจจะเร็วขึ้น ชีพจรจะเร็วขึ้น กล้ามเนื้อจะตึงตัวมากขึ้น อัตราการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายมากขึ้น ร่างกายใช้อ๊อกซิเจนมากขึ้น คลื่นสมองมีความถี่สูงขึ้น ที่สำคัญความเครียดจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ อีกมาก การทำให้เกิดความผ่อนคลายก็ทำให้โรคต่างๆ หายได้เช่นกัน

 

สมาธิกับคลื่นสมอง

คนทั่วไปในเวลาปกติมักจะส่งคลื่นเบต้า ออกมา ซึ่งมีความถี่ของคลื่นประมาณ ๒๑ รอบต่อวินาที เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก เช่น โกรธ กลัว เกลียด อิจฉา ตื่นเต้น ฯลฯ คลื่นสมองก็จะมีความถี่สูงขึ้นทันที ซึ่งจะทำให้บุคคลผู้นั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง มีความตึงเครียดสูง มีสมาธิน้อยลง มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำลง มีภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดลง ฯลฯ

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ ในทางตรงกันข้าม เราจะมีร่างกายที่มีภูมิคุ้มกันโรคสูง มีสมาธิดี มีอารมณ์เยือกเย็น มีความคิดที่เฉียบคม มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สูงÝ เมื่อคลื่นสมองของเรามีความถี่ต่ำกว่า ๑๙ รอบต่อวินาที ถ้าเราปล่อยให้คลื่นสมองของเรามีความถี่สูงเกินกว่า ๒๑ รอบต่อวินาทีมากเป็นเวลานาน ๆÝ เราจะอยู่ในสภาวะที่แพทย์ปัจจุบันเรียกว่า โรคเครียดและวิตกกังวล ซึ่งเป็นโรคร้ายอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบันแพทย์ได้ยอมรับแล้วว่าสภาวะเครียดและวิตกกังวล เป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจได้อีกมากมายÝ ในสภาวะของความเครียดนี้Ý คลื่นสมองของคนที่มีความถี่สูงเกินกว่า ๒๑ รอบต่อวินาที ร่างกายของคนเราจะอ่อนแอลงÝ เชื้อโรคต่างๆ สามารถเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เช่น เป็นหวัดบ่อย เป็นโรคภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ คลื่นสมองที่มีความถี่สูงๆ ของคนเรานอกจากจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเรามีร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายแล้วÝ ยังทำให้คนเรามีสมาธิที่ไม่ดีอีกด้วยÝ ความคิดต่างๆ มากมายจะผ่านเข้ามาในสมองเราÝ จนเราไม่สามารถที่จะมีสมาธิอยู่กับเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้นานๆ ยิ่งคลื่นสมองของเรามีความถี่เกิน ๔๐ รอบต่อวินาที เราแทบจะไม่สามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ของเราได้เลยÝ เช่น เวลาที่เราโกรธใครมาก ๆÝ เราจะไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยๆ ได้Ý ความคิดต่างๆ จะผ่านเข้ามาในสมองของเราเร็วมากจนเราแทบจำไม่ได้ว่ามีความคิดอะไรที่ผ่านเข้ามาบ้าง คลื่นสมองที่มีความถี่สูงมากนี้ทำให้เกิดพลังส่วนเกินที่จะต้องระบายออกมาทางร่างกาย เช่น หน้าแดง มือสั่น เหงื่อออกมาก พฤติกรรมที่รุนแรงต่างๆÝ จะสังเกตได้ง่ายในบุคคลที่โกรธมากๆ แล้วมักจะทำลายสิ่งของต่างๆ ที่ขวางหน้าÝ ซึ่งการกระทำของเราในขณะที่คลื่นสมองมีความถี่สูงนี้มักจะไม่ค่อยเหมาะสมและเรามักจะรู้สึกเสียใจในการกระทำในภายหลัง

เมื่อคลื่นสมองความถี่สูงๆ สามารถสร้างปัญหาต่างๆ แก่เราได้มากมายเช่นนี้ แต่ถ้าเราสามารถควบคุมคลื่นสมองของเราให้มีความถี่ต่ำได้ ผลดีต่างๆ ก็จะเกิดตามมามากมาย เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง มีสมาธิสูง มีจินตภาพและความคิดสร้างสรรค์สูง มีจิตใจที่เยือกเย็น อารมณ์ดี เบิกบาน ฯลฯÝ เพราะฉะนั้นการที่จะควบคุมความถี่ให้ต่ำนั้น สามารถทำได้ด้วยวิธีการจิตให้เป็นสมาธินั้นเอง

ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์โลกที่จะต้องทราบถึงการทำงานของคลื่นสมองของตัวเอง ด้วยเหตุว่าการทำสมาธิมีผลมากต่อคลื่นสมอง มีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนว่าบุคคลที่ทำสมาธิ จะมีคลื่นสมองที่ต่ำกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งมีผลทำให้จิตใจสงบ เยือกเย็น ไม่เครียดÝ มีอารมณ์ดี ร่าเริง เบิกบาน มีความคิดสร้างสรรค์ อายุยืน เป็นต้นÝ ซึ่งจะกล่าวต่อไปในภายหลัง

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ แต่ก่อนที่จะเข้าไปในเนื้อหาที่ว่าด้วยสมาธิกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นั้น อยากจะให้รู้เรื่องเกี่ยวกับคลื่นสมองกันก่อนว่า

คลื่นสมองของเราจะอยู่ในรูปของความถี่แบบผสมจะมีอยู่ ๔ คลื่นด้วยกัน คือ คลื่นเบต้า (Beta wave) คลื่นอัลฟา (Alpha wave), คลื่นธีต้า (Theta wave), คลื่น เดลต้า (Delta wave) ซึ่งคลื่นเหล่านี้มีการทำงานที่แตกต่างกันดังนี้

คลื่นเบต้า (Beta wave)

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะปกติทั่วไป ในสภาวะปกติสมองจะรับข้อมูลต่าง ๆ จากภายนอกเป็นจำนวนมาก จนถึงก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย คลื่นสมองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะมีความถี่สูง เรียกคลื่นสมองช่วงนี้ว่า "คลื่นเบต้า" (Beta Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ ๑๓ - ๔๐ รอบต่อวินาที ยิ่งความถี่ของคลื่นสมองสูงขึ้นไปมากเท่าไร จิตใจของเราก็จะวุ่นวาย สับสนมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น รูปร่างของคลื่นเบต้ามีลักษณะคล้ายเส้นกราฟที่ขยุกขยิกขึ้น-ลง ขึ้น-ลง สลับกัน คล้าย ๆ เวลาเราลากเส้นสลับฟังปลานั่นเอง ถ้าสมองมีเรื่องต้องคิดวุ่นวายมาก เส้นกราฟจะขยุกขยิกมากด้วย ภาวะเช่นนี้จะรู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย ประสิทธิภาพในการคิดตัดสินใจไม่ดี ยิ่งคลื่นสมองยิ่งสูง ยิ่งทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบได้มากเท่านั้น คนที่ไม่ฝึกสมาธิ จะมีคลื่นสมองเบต้า (Beta wave) มากกว่าคนที่ฝึกสมาธิ

คลื่นอัลฟา (Alpha wave)

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะของคนที่มีจิตใจสงบ เยือกเย็น เรียกว่า "คลื่นอัลฟา" (Alpha Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ ๘ - ๑๓ รอบต่อวินาที มีจังหวะที่ช้ากว่า มีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังงานมากกว่าคลื่นเบต้า (Beta wave)Ý รูปร่างของคลื่นอัลฟามีลักษณะคล้ายรูปลูกคลื่น ไม่ขยุกขยิกเหมือนคลื่นเบต้าคลื่นอัลฟานี้ช่วยทำให้ความสับสนวุ่นวายในสมองลดลง จิตใจจึงสงบและเยือกเย็นขึ้น ซึ่งพร้อมทีจะทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

คลื่นธีต้า (Theta wave)

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ เมื่อคลื่นอัลฟาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นที่มีจังหวะช้าลง ๆ แต่กลับมีพลังงานสูงขึ้นๆ ถ้าคลื่นสมองของคนเรามีความถี่ ๕ -๗ รอบต่อวินาที จะส่งคลื่นธีต้า (Theta wave)ออกมาÝ คลื่นธีต้า เป็นคลื่นสมองชนิดหนึ่งซึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแว่บเดียวเท่านั้น เป็นแว่บสุดท้าย อยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่นÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ และเมื่อหลับแล้วจริงๆ คลื่นสมองจะปรากฏไปอีกแบบหนึ่งซึ่งจะแตกต่างจากคลื่นธีต้า (Theta wave)

 

คลื่นเดลต้า (Delta wave)

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ เป็นคลื่นที่เกิดขึ้น ในสภาวะของคนนอนหลับ เป็นคลื่นสมองที่มี ความถี่ของสมองที่ต่ำที่สุด แต่มีพลังงานสูงÝ จะอยู่ระหว่าง ๔ รอบต่อวินาที จนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง ระหว่างนี้ สมองของคนเรา จะส่งคลื่นเดลต้า (Delta wave) ออกมา

 

สมาธิกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

ได้กล่าวมาแล้วว่า การศึกษาสมาธิด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา ต่อไปนี้จะเป็นรายงานการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จากประเทศต่างๆ ที่ได้พิมพ์ออกมาเป็นเอกสารทางวิชาการ เช่น The American Journal of Philosophy, International Journal of Neuroscience, Phychosomatic medicine, American Pshchologist, India Journal of medical Research ดังนี้

 

. สมาธิที่มีผลต่อระบบการหายใจÝ

.ศ. ๑๙๖๑ ศาสตราจารย์บี.เค.อนันต์ แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ออล อินเดีย ได้ทำการทอลองกับโยคี ชื่อ ศรี รามนันท์ โดยได้ให้โยคีเข้าไปนั่งทำสมาธิอยู่ในหีบขนาดกว้าง ๔ ฟุต ยาว ๖ ฟุต และลึก ๔ ปิดทึบอากาศเข้าออกไม่ได้Ý ครั้งหนึ่งนาน ๘ ชั่วโมง และอีกครั้ง ๑๐ ชั่วโมง โดยไม่ปรากฏอันตรายอย่างใดแก่โยคี ผลการวิจัยพบว่า

1.      โยคีใช้ออกซิเจนน้อยกว่าธรรมดา ๓๓ ñ ๕๐ เปอร์เซ็นต์

2.      อัตราชีพจรลดลงจาก ๘๕ ครั้งต่อนาที คงเหลือเพียง ๖๐ ñ ๗๐ ครั้งต่อนาที

3.      การหายใจมีความเร็วเกือบคงที่ระหว่างการทำสมาธิ

4.      คลื่นสมองมีลักษณะคล้ายกับเวลานอน หลับๆ ตื่นๆ

 

. สมาธิที่มีผลต่อการเผาผลาญในร่างกาย

นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ๒ คณะ ทำการศึกษาพุทธศาสนิกชนในนิกายเซ็น คณะโชจิ ในขณะทำสมาธิ คณะของนักวิทยาศาสตร์ ชื่อซูกิ ศึกษาเกี่ยวกับการเผาผลาญในร่างกาย

ผลการวิจัยพบว่า จากการใช้ออกซิเจนและคาบอนไดออกไซด์ลดน้อยกว่าในเวลาปกติเฉลี่ยได้ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ÝÝ

อีกคณะหนึ่งÝ นักวิทยาศาสตร์ชื่อคาซามัสสุ เป็นหัวหน้าได้ศึกษาคลื่นไฟฟ้าของสมองในผู้ปฏิบัติสมาธิตามวิธีนิกายเซ็นเปรียบเทียบกับคนธรรมดา

ผลการวิจัยพบว่า นักปฏิบัติที่ทำสมาธิแบบลืมตานั้น คลื่นไฟฟ้าสมองแตกต่างจากที่พบในคนนอนหลับอย่างธรรมดา แสดงว่าสมาธิต่างจากการนอนÝ มีลักษณะอยู่ระหว่างคลื่นสมองของคนที่หลับและตื่น เป็นสภาพครึ่งหลับครั้งตื่นแต่ไม่ใช่ง่วง คือสงบแต่ไม่เฉื่อย ไม่ตื่นเต้นแต่พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่

 

. สมาธิที่มีต่อการเรียน

.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๔ ในประเทศไทย ได้มีนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องจิต คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์โรจน์ สุวรรณสุทธิ และคณะทำงานแห่งคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ทำการทดลองให้นักศึกษาแพทย์ชาย หญิง ๓๒ คน อายุระหว่าง ๑๙-๒๓ ปี ฝึกสมาธิแบบสมถกรรมฐาน สัปดาห์ละ ๕ วันตลอดเวลา ๒๐ สัปดาห์ และประเมินผลเกี่ยวกับการศึกษาและความนึกคิดโดยวิธีการต่างๆ ผลการวิจัยพบว่า

๑.       นักศึกษามีความตั้งใจเรียนมากÝ ๖๒ เปอร์เซ็นต์

๒.     รักการเรียนมากขึ้น ๓๑ เปอร์เซ็นต์

๓.     มีความเห็นว่าการฝึกสมาธิมีประโยชน์กับการเรียน ๖๕ เปอร์เซ็นต์

๔.     ทำให้ความจำดีขึ้นและการทำงานคล่องแคล่ว

๕.     การบันทึกคลื่นสมองไฟฟ้าพบว่า ในระหว่างการทำสมาธิคลื่นสมองมีความราบเรียบมากต่างจากบุคคลธรรมดาทั่วไป

 

. สมาธิที่มีต่ออัตราการใช้ออกซิเจนในร่างกาย

.ศ. ๒๕๑๐ ดร.เฮอร์เบิร์ต เบนสัน ผู้ก่อตั้งสถาบันรักษาใจและกาย (Mind/Body Medical Institute) ศาสตราจารย์สอนวิชาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Havard Medical School)Ý รัฐแมสซาชูเซ็ทส์ÝÝ ได้ทำการทดลองกับ นักปฏิบัติธรรม จำนวน ๓๖ คน ผลการวิจัยพบว่า

๑.     อัตราการใช้Ý อ๊อกซิเย่น ลดลง ๑๗%ÝÝ หมายความว่าÝÝ ถ้าร่างกายใช้ อ๊อกซิเย่น น้อยลง

อัตราการเผาผลาญ ในร่างกายก็จะ ลดลง ไปด้วยÝ เมื่อเผาผลาญลดลงÝ ร่างกายก็เสื่อมน้อยลง เช่นกัน เมื่อร่างกายเสื่อมน้อยลง หน้าตาก็จะ อ่อนกว่าวัย และอายุขัยก็จะ ยืนยาว อัตราการเต้นของหัวใจ ลดลงนาทีละ ๓ ครั้ง หมายความว่าÝ หัวใจจะแข็งแรงและ ไม่ต้องทำงานหนัก เหมือนแต่ก่อน

. สามารถบันทึกคลื่นสมองของคนเราได้ ด้วยการเอาเครื่อง EEG มาฉายแสดงออกเป็นเส้นกร๊าฟ ผลการวิจัยของ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สรุปอย่างชัดเจนว่าสมาธิก่อให้เกิด คลื่นสมองธีต้าÝÝ (Theta wave)

 

.Ý สมาธิที่มีผลต่อความดันโลหิตสูง

จากวารสารสมาคมโรคหัวใจ (American Heart Association's journal Hypertension) มีคณะผู้วิจัยกลุ่มหนึ่ง ได้ทำการศึกษาชายหญิงชาวอเมริกันนิโกร กว่าร้อยคนที่มีความดันโลหิตสูงแต่ไม่ได้ทำการรักษา คณะผู้วิจัยได้แบ่งคนออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ

กลุ่มแรก รักษาความดันโลหิตสูงด้วยวิธีการทำสมาธิ

กลุ่มที่สอง รักษาความดันโลหิตสูงด้วยวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และพักผ่อน

กลุ่มที่สามรักษาความดันโลหิตสูงด้วยวิธีการให้ออกกำลังกายงด สูบบุหรี่ จำกัดแอลกอฮอล์ และลดความอ้วน

หลังจากนั้น ๓ เดือน เขาได้ตรวจวัดความดันทั้ง ๓ กลุ่มปรากฏว่ากลุ่มแรกความดันเลือดเฉลี่ยลดลงถึงร้อยละ ๗ นอกจากนี้ยังลดการเป็นโรคหัวใจลงร้อยละ ๒๐-๔๕ ลดอาการหัวใจวายลงร้อยละ ๓๕-๔๐ ส่วนกลุ่มที่สองลงลงได้เพียงร้อยละ ๓ และกลุ่มที่สาม ไม่ลดลงเลย

 

. สมาธิและความสัมพันธ์ของการรักษาโรค

คณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสมาธิและความสัมพันธ์ของการรักษาโรค ผลการวิจัยพบว่า การทำสมาธิมีความสัมพันธ์กับสมองด้านซ้ายและส่งผลให้เกิดสุขภาพที่ดี

คณะผู้วิจัยรับสมัครบุคคลจำนวน ๒๕ บุคคลจากที่ทำงานที่แวดล้อมไปด้วยพนักงานที่มีสุขภาพที่ดี ในระหว่าง ๘ สัปดาห์ของโปรแกรมการฝึกอบรมเกี่ยวกับสมาธิ บุคคลเหล่านั้นได้ถูกให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าในสมอง ในตอนท้ายของการทดลอง คณะผู้วิจัยสรุปว่าสมาธิส่งผลในทางบวกต่อทั้งสมองและภูมิคุ้มกันของร่างกาย แม้ว่าจะเป็นการทำสมาธิในระยะสั้นก็ตาม

การทำสมาธิแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมการทดลองมีความกังวลน้อยลง และมีการเปลี่ยนแปลงที่สมองด้านซ้ายมากขึ้น ตามทฤษฎีทางการแพทย์สมองด้านซ้ายจะมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการต่อต้านความคิดที่เป็นลบหรือความเครียด

. สมาธิที่มีต่อการทำงานของคลื่นสมอง

ดร.เกรก จาคอบส์ ศาสตราจารย์สอนวิชารักษาโรคทางจิต สถาบันแพทย์แห่งฮาร์วาร์ด ร่วมกับดร. เบนสัน บันทึกคลื่นสมองด้วยเครื่อง EEG[๑] ของคนกลุ่มหนึ่งที่เรียนวิชาสมาธิ และอีกกลุ่มหนึ่งเรียนวิธีผ่อนคลายจากการฟังเท้ป อีก ๒-๓ เดือนต่อมา คนที่นั่งสมาธิมีคลื่นสมองธีต้ามากกว่าคนที่ฟังเท้ป สมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่รับและย่อยข้อมูลทำงานน้อยลง ใกล้ๆระดับตอนบนของศีรษะ มีสมองส่วนกลางที่บอกเวลาและสถานที่ สมาธิทำให้สมองส่วนนี้ทำงานน้อยลง การที่สมองส่วนกลางปิด ทำให้เรารู้สึกว่าขอบเขตหายไป และ ìเป็นหนึ่งî (Oneness )กับจักรวาล

 

. สมาธิที่มีต่อระบบเลือดในสมอง

ดร.เบนสัน ทำการวิจัยสมาธิกับระบบเลือดในสมอง โดยการนำเอาชาวซิกห์มาทดสอบ ชาวซิกห์กลุ่มนี้มีสมาธิจิตสูงมากถึงขนาดว่าเครื่อง fMRI กระทบกันดังแคล้งก็ยังนั่งสมาธิต่อไปได้ (เครื่องนี้มีพลังแม่เหล็กสูงกว่าโลก ๕๐,๐๐๐ เท่า) เมื่อวัดเลือดในสมอง ผลการวิจัยพบว่าเลือดในสมองไหลลงมาหมด Ýแต่บางส่วนรวมทั้งระบบลิมบิคไหลขึ้น (ระบบนี้แสดงอารมณ์ ความจำ ควบคุมการเต้นของหัวใจและลมหายใจให้เป็นปกติรวมทั้งการเผาผลาญของร่างกายด้วย)Ý

 

. สมาธิที่มีต่อสมองทั้งสองซีก

ริชาร์ด เดวิดสัน นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซินตั้งอยู่ในเมืองเมดิสัน สร้างรูป (image) ในสมองแสดงให้เห็นว่าสมาธิเปลี่ยนการทำงานในคอร์เท็กซ์บริเวณก่อนถึงสมองส่วนหน้า (หลังหน้าผาก) จากซีกขวามาซีกซ้าย และพบว่าคนที่นั่งสมาธิเป็นประจำ สมองจะเปลี่ยนจากความคิดที่ว่าจะสู้ดีหรือหนีดีมาเป็นยอมรับสถานการณ์ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ตนพอใจมากขึ้น คนที่อารมณ์ไม่ดีมักจะใช้สมองทางซีกขวาระดับก่อนถึงหน้าผาก ส่วนคนที่ใช้ซีกซ้าย แม้จะมีบ้านและที่ดินน้อยกว่าก็ตาม แต่จะที่ใช้ซีกกระตือรือร้นมากกว่า มีความสนใจสิ่งต่างๆมากกว่า รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากกว่าคนขวา

ต่อมาจอน กะบาต-ซินน์ ผู้เคยได้ศึกษาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้ตั้งคลินิคคลายความเครียดในศูนย์แพทย์ยูแมส และพ.ศ. ๒๕๒๒ พยายามเอาพลังงานของสมาธิมารักษาโรคด้วยวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นกับมาริชาร์ด เดวิดสัน ศึกษาเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่ง คือ ฉีดยาแก้ไข้ให้ผู้ป่วยที่นั่งสมาธิและที่ไม่ได้นั่งสมาธิ จากการตรวจระดับภูมิคุ้มกันโรคในเลือด วัดการทำงานของสมอง พบว่าสมองย้ายที่ทำงานจากซีกขวามาทางซีกซ้าย คนไข้ที่นั่งสมาธิมีภูมิคุ้มกันโรคภายใน ๔ และ ๘ สัปดาห์หลังฉีดยา แต่คนไข้ที่สมองย้ายที่ทำงานมากที่สุดจะมีภูมิคุ้มกันมากที่สุด ยิ่งถ้านั่งสมาธิด้วยวิธีการที่ดีกว่า ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคมากกว่า

 

๑๐. การทำงานของสมองในขณะนั่งสมาธิ

ÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝÝ พ.ศ. ๒๕๔๐ นักประสาทวิทยาคนหนึ่งชื่อ แอนดรู นิวเบิร์กÝ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้ทำการทดสอบชาวพุทธที่นั่งสมาธิกลุ่มหนึ่ง โดยใช้เครื่อง LVS มีสีย้อมกัมมันตรังสีเกิดแสงในสมองที่ส่องให้เห็นทิศทางการไหลของเลือดในสมองและเห็นส่วนต่างๆ ที่สมองทำงานมากที่สุด แอนดรูสามารถจับจุดสูงสุดของสมาธิได้ คือ ตอนย้ายกลุ่มทดลองไปนั่งสมาธิห้องข้างๆ เขาใช้เชือกพันรอบนิ้ว ปลายเชือกอีกข้างหนึ่งสอดใต้ประตู วางไว้ใกล้ๆคนนั่งสมาธิ เมื่อนั่งจนใจเป็นสมาธิแล้ว คนนั่งก็จะดึงเชือก แอนดรูจะปล่อยสีย้อมเข้าไปในแขนของคนนั่งผลการวิจัยพบว่า สมองไม่ได้ปิด แต่กั้นไม่ให้เรื่องราวต่างๆ เข้ามาในสมองส่วนกลางขณะนั่งสมาธิ

Ý

สมาธินำทางสู่แสงสว่าง แสงสว่างนำทางไปสู่ปัญญา แนวทางแห่งพุทธศาสนาที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมากกว่าสองพันปีของชาวตะวันออก ได้ผ่านการพิสูจน์จากผลการวิจัยและผลการทดลอง โดยความเป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญล้ำหน้าของชาวตะวันตก แสดงให้เห็นว่าÝÝÝÝ วิธีการทางพระพุทธ ศาสนาสามารถแก้ทุกข์ได้จริงแก้ปัญหาทั้งทางร่างกายและจิตใจได้จริงและสามารถพิสูจน์ได้จริงด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถที่มนุษย์ธรรมดาในยุคปัจจุบันจะปฏิบัติได้

 

 

 

 


[๑]EEG คือ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง Ýเป็นการบันทึกการเปลี่ยนแปลง แรงดัน โวลต์(V) และความถี่ของกระแสไฟฟ้า (f) ต่อวินาที ( จำนวนพับส์ต่อวินาที ) เอาไว้ในรูปแบบกราฟ

 

เครดิตจาก  http://dou_beta.trip...D101_05_th.html


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ