จงปล่อยสรรพสตว์ให้ตายไปอย่างธรรมชาติเถิด อย่าตัดอายุขัยพวกเขาอีกเลย
หากเราดำรงชีวิตอยู่ของเราดีๆ ทันใดนั่นเราก็ต้องเจอกับฆาตกรใจโหด ใจของเราตอนนั้นก็คง อกสั่นขวัญหาย นึกถึงชีวิตที่จะต้องดำรงต่อไป และ เสียดายชีวิตตนเอง เพราะยังห่วงและยังมีภาระอีกมากมายที่ยังไม่สะสาง
เราเองก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่ถูกกักขังหรอก ต้องรอการประหารชีวิตที่ไร้สาเหตุเป็นแน่
มนุษย์ที่หน้าตาใจดี จิตใจดูเป็นผู้มีความเมตตา แต่ใจซ่อนพิษ คือ งูเห่า เสือ สัตว์ร้ายที่เป็นนักล่า
สัตว์เดรัจฉาน เช่น หมู เป็ด ไก่ วัว ควาย นก กบ ปลาช่อน ปลาดุก สัตว์ในท้องทะเล และสัตว์ที่กินได้อีกมากมาย ที่มนุษย์เรียก "การกระทำ" อันเอ็นดู มีพระคุณ ของตนเองว่า "การเลี้ยงดู"
ทุกวัน จะเมตตา เลี้ยงสัตว์ โดยให้อาหารพวกเขาได้อิ่มหนำสำราญ แสนสบาย ไม่ต้องออกหาอาหารเอง มีคนมาให้อาหารให้อิ่มหนำสำราญตลอดทุกวัน สัตว์ผู้ไร้เดียงสา ต่างก็เข้าใจว่า เจ้านายตนเองใจดี ไม่เป็นอันตรายดั่งเสือสิงโต จึงเข้าใกล้สนิทชิดเชื้อกับมนุษย์ ณ ตอนนั้น สัตว์ก็คิดว่า มนุษย์มีพระคุณต่อพวกเขาเหลือเกิน ซึ่งก็เปรียบได้กับพ่อแม่เลี้ยงดูลูกรักนั่นเอง ในใจของสัตว์ตอนนั้นก็คงคิดว่า มนุษย์ คือ พ่อแม่ ของพวกเขา เพราะฟูมฟักพวกเขามาตั้งแต่ที่ได้ลืมตามาดูโลก
เลี้ยงนานเข้าจนเจริญเติบโต เต็มวัย เมื่อเวลาของการค้าขายเริ่มขึ้น คือ มีลูกค้ามาสั่งซื้อสินค้าอยู่เสมอ การฆาตกรรมก็มาถึง สัตว์ที่เคยเข้าใจว่า ผู้เลี้ยงตนมาจนเติบใหญ่ คือ ผู้มีพระคุณ แต่กลับฆ่าเราได้ลงคออย่างโหด####ม การประหารชีวิตมีหลายรูปแบบมาก แต่ก็เจ็บปวดทรมานไม่แพ้กัน เช่น ที่ต่างประเทศ โรงฆ่าสัตว์ จะใช้เทคโนโลยี เครื่องจักรหรือเครื่องไฟฟ้าฆ่าให้ตายอย่างรวดเร็ว สะดวก สัตว์ที่ถูกเครื่องจักรล็อคแขนขาหัวไว้ ก็คงไม่ต้องดิ้นหลุดมือ ไม่ต้องมาคอยจับให้เหนื่อยยาก อยากดิ้นก็ดิ้นไปเถิด มนุษย์บางคนก็อ้างว่า การใช้เครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีสูงมาประหารสัตว์นั่น เป็นการทำให้สัตว์ไม่ทรมานมากนัก อนิจจา แต่หากตัวเองไปอยู่บนเครื่องจักรประหารบ้าง คงไม่ยอมเอาเสียเลยใช่ไหมเล่า บอกว่า เป็นการทรมานน้อยลง งั้นก็ลองไปเป็นเหยื่อบ้าง จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ
จิตญาณสัตว์ที่ออกจากร่างตอนนั้น คงสับสนอยู่ไม่น้อย ทั้งสับสน ทั้งโกรธแค้น ทั้งอกหัก และเศร้าเสียใจเป็นที่สุด ว่า ทำไมผู้มีพระคุณต้องทำร้ายเราด้วย นี้หรือผู้มีพระคุณ อะไรเป็นเหตุที่เขาต้องฆ่าเรากันนะ
เมื่อจิตญาณที่เคียดแค้นหลุดออกไปเห็น ขบวนการของการปศุสัตว์ที่โรงฆ่าสัตว์ทั้งหมดว่า ที่เขาเลี้ยงเรามาก เพื่อเลี้ยงเราเอาเลือดเนื้อเรามาค้าขายนั่นเอง เป็นการขายชีวิตที่แลกด้วยเงินทั้งสิ้น เพื่อความสุขของทั้งคนฆ่าและคนกิน จิตญาณของสัตว์ตอนนั้น ก็เริ่มอาฆาตแค้นทวีคูณ แล้วจึงออกติดตามว่า ใครกันเป็นเหตุให้เราต้องถูกฆ่า ค้นหาต้นตอของสาเหตุของการฆ่าครั้งนี้ เหมือนกับการสืบคดีเลยทีเดียว ติดตามการลำเลียง ขนส่งเนื้อทุกชิ้นที่แยกชิ้นส่วนไว้แล้ว ไปตามตลาดที่ต่างๆ จนกระทั่งไปพบผู้ซื้อและผู้กิน จนเนื้อชิ้นนั่นหายลงกระเพราะไปเลยทีเดียว
หลังจากนั้น จิตญาณก็ต้องตกสู่นรการต์ หรือ หากมีกรรมที่ยังต้องชดใช้ต่อไป เช่น บ้างก็ต้องเกิดเป็น วัวควาย 10 ชาติ เป็นปลาอีก 3 ชาติ เป็นต้น และความแค้นก็ยังคงฝังรากอยู่กับจิตนั่นเอง
อาชีพธุรกิจโรงฆ่าสัตว์ อาจเป็นอาชีพสุจริตที่ถูกกฏหมายในโลกของมนุษย์เท่านั้น แต่สำหรับสัจธรรมแล้ว เป็นอาชีพที่ผิดศีลธรรมแน่นอน เพราะไม่พ้นจากคำว่า "ฆ่า" ฆ่ามาให้ใครกิน ก็พวกเราทั้งหลายที่ไม่รู้ประสาอะไรเลยในเบื้องหลังของอาหารจานอันน่ารับประทานจานนั้น
สมมติว่า เจ้าของโรงฆ่าสัตว์สำนึกผิด กลัวบาปกลัวกรรม กลัวตกนรกไปกันหมดทั้งโลก ต่างก็ปิดกิจการไปหมด หากไม่มีโรงฆ่าสัตว์เลย ใครหนอจะฆ่าสัตว์สักตัวมาให้เรากิน พวกเราคงต้องฆ่าเองแล้วกระมั้ง แล้วหากท่านกระหายเนื้อสัตว์อย่างทุรนทุรายเล่า ตัวท่านเองก็เป็นคนบำเพ็ญปฏิบัติธรรมเสียด้วย คงเข้าใจเรื่องศีลดี ท่านจะฆ่ากินเองไหม ท่านคงไม่เอาใช่ไหม เพราะฉะนั้น สัจธรรม ย่อมยุติธรรม คือ คนกินต้องรับกรรมไปด้วย
บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน หากทำทั้งสองอย่างเสียเอง คือ ทั้งกินทั้งฆ่าเอง นรกก็คงอยู่ไม่ไกล
เรามาช่วยกันงดเว้นการฆ่าทั้งปวงเถิด ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรง ทางอ้อม
ความจริง คือ ความจริง จะสรรหาคัมภีร์หรือตำราจากภายนอก มาอ้างเพื่อปกป้องความหลงผิด หรือปิดบังกิเลสตนไปทำไมหรือ พระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ พระสูตรที่แท้จริงของทุกศาสนา ลัทธิ ก็คือ จิต นั่นเอง จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นและดับขึ้นที่ตรงจิตนี้เองเล่า
สาธุ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: usr28788
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 2
- ดูโปรไฟล์ 2791
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
โพสต์ที่ฉันโพสต์
ในกระทู้: การกินเจถือว่าเป็นบุญใหญ่ใช่ไหมค่ะ สามารถปิดอบายได้ไหมค่ะ
13 March 2009 - 01:13 AM
ในกระทู้: การกินเจถือว่าเป็นบุญใหญ่ใช่ไหมค่ะ สามารถปิดอบายได้ไหมค่ะ
13 March 2009 - 12:15 AM
ขออนุโมทนากับคุณ KoonPatt และคุณ LongJun และทุกๆท่านในกระทู้จ้า
พวกท่านทำได้ดีแล้ว เป็นข้อความที่เป็นประโยชน์ต่อทุกๆท่าน
---------------------------------------------
หากจะบำเพ็ญธรรมด้วยใจที่ยึดหมายว่า "ต้องได้บุญไหม ไปนิพพานไหม หรือ เป็นอรหันต์ไหม" นั่นมิต่างจากการยึดติด อัตตา ดั่งที่พระอริยเจ้าตรัสไว้ว่า ถามหานิพพานจากภายนอก ก็คือ การยึดหมาย ไม่ผิดจากคนหลง ถามหาว่า ได้บุญไหม จะถามไปใย เพราะบุญ คือ ความถูกต้องตามสัจธรรม หากทำแต่สิ่งที่ถูกต้องด้วยใจที่บริสุทธิ์ ก็คือ การสร้างบุญ ไม่ต้องไปคิดว่า ได้หรือไม่ได้
อยากรู้ว่า รักษาศีลเจได้บุญไหม ต้องย้อนถามตัวท่านเอง ความหมายของ เจ มิได้หมายถึงการละเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่หมายถึงการดำรงอยู่ในกอบของศีลทุกข้อนั่นเอง บางคนไม่เข้าใจความหมายของการกินเจ จึงคิดไปว่า เพียงแค่ไม่ทานเนื้อสัตว์ โดยที่ไม่ได้ขัดเกลาจิตใจ ก็สามารถไปสวรรค์ หรือได้บุญ อันนั้น คือ ความหลงผิดอย่างหนึ่ง บางคนทานเจ แต่สร้างวจีกรรมเหลือเกิน นินทาว่าร้าย อารมณ์รุนแรง นี้คือ ความงมงาย หลงผิด ก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ คนกินแต่เจ แต่ใจไม่เจ ก็ตกนรกได้ เพราะนรกสวรรค์อยู่ที่ใจของท่านเอง แต่เหตุที่ต้องกินเจ เพราะ เราต้องดำรงกายสังขารโดยไม่ทำให้ใครๆเดือดร้อนถึงชีวิตเท่านั้นเอง
กินเนื้อสัตว์บาปไหม
"ไม่บาปหรอก แต่เกี่ยวกรรมกับจิตญาณสัตว์ มีเจ้ากรรมนายเวรเพิ่มขึ้นนั่นเอง กินเนื้อสัตว์ บุญกุศลก็รั่วไหลออกไปชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรหมด"
วัว ควาย กระต่าย เต่า หรือ สัตว์กินพืชทุกชนิด เขาไม่มีสิทธิ์ได้บรรลุธรรมเลย ผู้ใดต้องตกอยู่ในภพภูมิเดรัจฉาน ก็ไม่มีโอกาสบรรลุธรรม ต้องก้มหน้าชดใช้กรรมจนกว่าจะหมดแม้ว่าจะไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนเทพเทวดาก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ นอกจากเสวยบุญอย่างเดียว หมดบุญวาระก็มาเกิดเป็นคน พวกเราเป็นมนุษย์ เรามีโอกาส สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะฉะนั้น อย่าซ้ำเติมสรรพสัตว์เลย อย่าทำให้พวกเขาต้องตายโหง ตกไปสู่ทุกคติภูมิอีกเลย หากท่านเอาแต่แผ่สวดเมตตาไปให้สัตว์ แต่ปากยังเคี้ยวเนื้อ สัตว์ก็คงไม่สามารถรับบุญตรงนั้นได้ เพราะจิตญาณไม่รับรู้ มีแต่ความแค้นเคือง
การดำเนินชีวิตที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็คือ ธรรมะ เพราะ ธรรมะ คือ ชีวิตประจำวันของเรานี้เอง หิวก็กิน ง่วงก็นอนพัก เพราะฉะนั้นการกินอาหาร ก็คือ ธรรมะอย่างหนึ่ง เพราะ เมื่อหิวก็ต้องกินให้อิ่มพอเพื่อดำรงกายสังขารต่อไป แต่เราจะกินอาหารอย่างไรดีเล่าโดยไม่ต้องเป็นการเบียดเบียนชีวิตใครๆ
หลายคนบอกว่า "คนกินเจ ขาดสารอาหาร เป็นการเบียดเบียนตนเอง บาปกรรม" แสดงว่า คนที่กินแล้วขาดสารอาหาร คือ คนที่กินแบบผิดๆมา เช่น เอาแต่ตามใจปาก กินอาหารไม่ตรงตามเวลา กินแต่แป้ง น้ำตาล ของมันๆ ผักผลไม้ล้างไม่สะอาด หรือ ผักผลไม้กินนิดเดียวในปริมาณที่น้อย เลือกกินแต่ที่อร่อยถูกปาก คนที่กำลังรักษาสุขภาพ ต้องศึกษาให้มากเรื่อง Nutrition ก็คือ เรื่องของสารอาหารและโภชนาการนั่นเอง เขาตั้งใจกินเจไหม มีใจให้กับการทานเจไหม หากไม่ตั้งใจ ใจไม่จริง ความทุกข์และอุปสรรคก็ย่อมครอบงำ ทำให้ถดถอย ส่วนมากคนที่ชอบทานผักผลไม้ สมุนไพรอยู่ก่อนแล้ว มักไม่ค่อยมีปัญหากับการทานเจสักเท่าไหร่ การทานเจ คือ การฝึกบำเพ็ญทวนกระแสอย่างหนึ่ง เพื่อเอาชนะกิเลส (ยึดติดรสชาติของเนื้อ) และ ความเคยชิน นั่นเอง
การดำรงชีวิตด้วยการกินอาหารของพวกเราทุกท่านนั้นได้ออกนอก "สัจธรรม/ธรรมะ/ธรรมชาติ" หรือไม่ ข้าพเจ้าถามว่า หากการกินของท่าน ได้กลายเป็นส่วนของวัฏจักรของความตาย หรือ เป็นเหตุให้เวไนยอื่นต้องเดือดร้อน หรือ เสียการดำรงชาติของพวกเขาไปอย่างน่าเสียดาย หรือ เป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องตายโหง นี้หรือ ธรรมะที่ท่านอ้างว่า ท่านคือ ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมะ ท่านต้องปฏิบัติต่อเวไนยสัตว์ให้เท่าเทียมกัน แม้ว่า สัตว์เดรัจฉานจะอยู่ภพที่ต่ำกว่าเพียงใด ท่านยังเมตตาต่อมนุษย์ได้ ไม่กินเนื้อมนุษย์กันเองได้ แล้วทำไม จึงละเว้นชีวิตสัตว์ไม่ได้หรือ
สัตว์ที่ตายโหง จิตญาณพวกเขาก็จะประณามว่า "บำเพ็ญธรรมกันภาษาอะไร ทำไมต้องฆ่ากินพวกเราด้วย พวกท่านมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่า สัตว์ประเสริฐ บำเพ็ญธรรม ก็อนุโมทนาด้วย แต่หากบำเพ็ญธรรมแล้ว ไร้ซึ่งเมตตา เราไม่ขออนุโมทนา เราไม่ยินดีที่จะตายจาก พวกเราเกิดมาลำบากแสนเข็ญนักหนา ตกนรกก็แล้ว มาเกิดเป็นสัตว์ก็ทรมานยิ่งกว่า ไม่ได้อยู่สบายๆอย่างท่านเลย พวกท่านโชคดีเหลือเกิน ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พวกข้าเป็นวิญญาณบาป จึงต้องชดใช้กรรมในกายสังขารของเดรัจฉาน พวกข้าขอความเมตตาพวกท่านได้หรือไม่"
นี้คือ ความในใจ เป็น ธรรมะ ที่ข้าพเจ้าได้ย้อนมองส่องตนแล้ว พิจารณากลับกันคือ "หากเราต้องไปเกิดเป็นสัตว์บ้างเล่า เราจะทุกข์แค่ไหนกันเชียว เราจะอ้อนวอนให้มนุษย์ไม่ให้ฆ่าเรา เราจะทำอย่างไรดี เราไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ เราได้แต่ทุรนทุราย ดิ้นรนหนีรอด หรือ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แค่นี้ มนุษย์ยังไม่เข้าใจภาษาสื่อของเราอีกงั้นหรือ"
ท่านยังจะบอกอีกว่า "กรรมใครกรรมมัน" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็จริง แต่ท่านต้องอย่าลืมว่า เราต้องไม่เกี่ยวกรรมกับใคร เราต้องไม่สร้างกรรมเพิ่ม แต่ต้องสร้าง เมตตาธรรม ออกมาจากใจด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัจธรรม หากท่านขาดเมตตาต่อเวไนย ท่านไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ เพราะ เมตตาธรรม ค้ำจุนโลกเราอยู่ ท่านอยู่ภายใต้หล้าฟ้าและอยู่บนผืนดิน ฟ้าดินโอบอุ้มเวไนยสัตว์เอาไว้ เมื่อดำรงอยู่ ท่านก็จงรักเวไนยอื่นด้วยเช่นกัน มิใช่เมตตาต่อมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น ฟ้าดินยุติธรรมที่สุดแล้ว
เท่าที่ติดตามปัญหาที่มีคำถามค้างคาใจหลายท่าน คือ "ทานเจแล้วได้บุญไหม บรรลุธรรมไหม"
ขอสมมติว่า "หากทานเจแล้วได้บุญ หรือ อรหันต์จริง ป่านนี้ก็คงกินเจกันทั้งโลกเสียนานแล้ว คงจะดีไม่น้อย"
เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า "กินเจได้บุญไหม หรือ กินเจบรรลุธรรมไหม" นั่นก็คือ กิเลส ของผู้ถามที่ยังยึดหมายผลแห่งการทำความดี เพียงแค่ว่า ทำความดีบางอย่างเพื่อหวังผลกลับมาที่ตน หากการทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้บุญ ก็คงไม่มีใครคิดจะทำความดีเลยใช่ไหม เพราะจิตใจที่กักขังอยู่ตรงนั้น
พระอริยเจ้าเว่ยหล่าง (ท่านพระธรรมจารย์ฮุ่ยเหนิง) ได้บรรลุ กลับคืนไปแล้วอย่างสงบ ตลอดชีวิตของท่าน มิเคยได้รู้หนังสือ หรือ อ่านหนังสือได้เลย แต่ไฉน จิตพุทธะที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อเวไนยทุกภพภูมิ ได้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์มากมายได้กลับคืน รู้แจ้งสัจธรรมจริง
ท่านเว่ยหล่างไม่รู้หนังสือ แม้แต่ในจิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ก็คงไม่หลงเหลือคำว่า "มหายาน หรือ หินยาน" ซึ่งเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ยินเรื่องการทานเจมาก่อน แต่ฉันอาหารเจตลอดโดยมิได้ยึดหมาย ฉันเจก็เพื่อประทังสังขารบำรุงธาตุเท่านั้นเอง พระองค์ท่านตั้งแต่เยาวัย ก็ชอบออกป่าช่วยเหลือสัตว์ป่ามากมายให้รอดพ้นจากกับดักของนายพราน
พวกเราต้องสำนึกผิดที่พวกเราอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าหรือเป็นเหตุให้เวไนยสัตว์ได้ถูกฆ่า จงสำนึกผิดและสำนึกขอบคุณที่เติบโตมาเพราะเลือดเนื้อผู้อื่น ไม่ว่าพวกเราจะรู้ตัวหรือไม่ จงสำนึกผิดต่อเวไนยสัตว์ที่พวกเราเคยฆ่าและเคยกินเลือดเนื้อพวกเขามา
การที่สัตว์ตายเพื่อมาเป็นอาหารของมนุษย์ผู้ซึ่งไร้ความเมตตา เปรียบเสมือน การบูชายัญ สละชีวิตที่มิได้ยินยอม ต่อยักษ์อสรู
แม้ว่า ท่าน ในฐานะปุถุชนผู้แสวงหาธรรม จะพยายามชำระกิเลสออกจากใจของท่านเพียงใด แต่หากยังเกี่ยวกรรมกับเวไนยในอดีตชาติและชาตินี้ ที่ยังมิได้เป็นอภัยทานหรือโมฆะกรรม กรรมนั้นก็ไม่จบ เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ปล่อย ไม่ยินยอม พวกเราเคยได้ทำกรรม หรือ เพียงเกี่ยวข้องกรรมใดไว้กับคนหรือกับสัตว์ ย่อมต้องชดใช้ จะหนีไปสวรรค์ เทวโลก เพื่อหนีคดีเก่างั้นรึ ฟ้าดินยุติธรรมไม่เอนเอียง แม้จะสำเร็จไปเทวโลก แต่เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ต้องกลับมาชดใช้กรรมเก่า
ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์คนบุญในชาตินี้ เพราะชาติก่อนเคยได้เกิดเป็นเทพ พรหม เทวดา หรือ พุทธะ แต่หนี้กรรมเก่าที่ยังมิได้ชำระก็มีอีกมากมายจากหกหมื่นปีที่เวียนว่ายมา จวบจนชาตินี้ ก็ยังสร้างกรรมใหม่อีกมากมายต่อสัตว์เดรัจฉาน กรรมมากมายก็ทับถมดั่งเขาพระสุเมรต่อไป
บางท่านก็ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และโรคร้ายที่รักษาได้ยากนัก ทั้งๆที่ในชาติปัจจุบัน อาจไม่เคยสร้างกรรมกับใครมาก่อน แต่อนิจจา กฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรม กรรมเก่าได้ตามทันเสียแล้ว
ท่านจะโปรดตนเอง หรือ โปรดเพื่อนมนุษย์ เวไนยภพภูมิอื่นด้วยกัน ก็อย่าลืมโปรดสัตว์เดรัจฉานบ้าง ในภพภูมิมนุษย์ เวไนยที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุดคือ สัตว์เดรัจฉาน
ขอสรุปอีกครั้งว่า การกินเจ หรือ กินพืช มิอาจเป็นการสร้างบุญกุศลได้ เพราะการกิน คือ สัจธรรม อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ เวไนยต้องดำรงกายสังขารไว้ แต่มิใช่ดำรงกายสังขารที่เห็นแก่ตัวเกินสัจธรรม โดยการไปเข่นฆ่า เอาเลือดเนื้อเพื่อนร่วมโลกมาบำเรอธาตุในตน แล้วเข้าข้างตนเอง เอาความถูกต้องเข้าตัว
บ้างคิดว่า คนทานเจ ไม่ปล่อยวาง จะกินยังเรื่องมาก ท่านจงแยกแยะความแตกต่างระหว่าง การปล่อยวาง กับ การกิน
กินก็กินไปเถิด แต่อย่ากินสังขารร่างกายที่มีเจ้าของเลย เพราะจิตญาณของเจ้าของยังคงเคียดแค้นอาฆาตไม่รู้จบ แม้ว่าจะแผ่เมตตาไปด้วยวาจา ก็มิสามารถดับความแค้นของจิตญาณเดรัจฉานได้เลย
การทานเนื้อสัตว์ เป็นการเกี่ยวกรรมกับจิตญาณสัตว์อยู่นั่นเอง วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรมากมายรอต่อแถวทวงหนี้ท่านอยู่ สังเกตเหตุการณ์ความวุ่นวายในสังคมทั่วโลก หรือ เหตุการณ์ที่สยดสยองที่เกิดขึ้น เช่น เหยื่อผับ Santika ที่ถูกเผาทั้งเป็น , เหยื่อสึนามิที่ศพลอยอืดพองบนผิวน้ำ สงคราม, แผ่นดินไหว ตึกถล่ม น้ำท่วม พายุ ไฟไหม้ รถระเบิด อุบัติเหตุปางตายบนถนน เครื่องบินตก กลุ่มผู้แสวงบุญบนรถทัวร์ได้ตายอนาจ รถตกเหวจากบนเขา หรือ อุบัติเหตุต่างๆที่ต้องตายหมู่ หรือ การเจ็บไข้ได้ป่วย, หวัดนก หรือ โรคร้ายที่รักษาไม่หาย หรือ แทบไม่หายเลยก็ว่าได้ ยังมีเกจิอาจารย์หลายๆท่านที่เป็นอริยสงฆ์ ที่ยังต้องชดใช้กรรม เจ็บไข้ได้ป่วยจนมรณภาพก็มีมาก เพราะฉะนั้น กฎแห่งกรรมไม่เคยไว้หน้าผู้ใด แม้กระทั่งคนที่มีจิตใจดี
การบำเพ็ญธรรม มิใช่บำเพ็ญไปตามความรู้สึกนึกคิด การบำเพ็ญ ต้องใช้ปัญญา ปัญญานั่น ก็คือ รู้แจ้งสัจธรรม รู้แจ้งความเป็นจริงของธรรมชาติรอบตัวเราและภายในของเรา มิใช่เมตตาโดยไม่ใช้ปัญญา เช่น เห็นเพื่อนหญิงขอความช่วยเหลือ ขอยืมเงิน แต่ต้องดูด้วยว่า เงินที่เราช่วยไปนั้น เขาจะเอาไปทำบาปอะไรหรือไม่ เช่น เอาไปจัดงานเลี้ยงฆ่าสัตว์ หรือ เอาไปทำแท้งหรือเปล่า มิฉะนั้น จะเป็นการเกี่ยวกรรมโดยมิรู้ตัว
การกินเจ หรือ มังสวิรัติก็ดี มิใช่การปฏิบัติธรรม หรือ ทำบุญเลย แต่เป็นเพียงการดำรงชีวิตของสัตว์ประเสริฐเท่านั้น สัตว์ประเสริฐ ก็คือ คนดีที่มีจิตใจธรรมะ มีคุณธรรม เมตตา มโนธรรมสำนึก จริยา ปัญญา
ที่ไม่อาจทานเจกันได้ เพราะกลัวอดตาย หวงชีวิต กลัวไม่มีความสุข กลัวความตาย กลัวความลำบาก กลัวอดอยาก จึงต้องยอมให้สัตว์อีกกี่ล้านชีวิตมาแลกชีวิตอย่างไม่รู้สึกสะเทือนใจบ้าง
อย่ากลัวลำบากหรือกลัวอดตายเลย เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุด มิใช่ความตาย แต่เป็นการเวียนว่ายตายเกิดที่ต้องไปชดใช้กรรมต่างหาก ส่วนมากผู้ที่ทานเจได้นั่น ต่างก็เคยมีสัญญากรรมที่ได้เคยเวียนว่ายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วนั่นเอง จึงเข้าใจ เห็นใจ และอดสงสารเวไนยที่จะไปชดใช้กรรมเกิดเป็นสัตว์บ้างมิได้ พระพุทธเจ้าทรงเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วหลายชาติ พระพุทธองค์จึงทรงเล็งเห็นความทุกข์ ที่เป็นภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดและน่ากลัวที่สุด คือ การเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้น นี้คือ ทะเลทุกข์อันแท้จริงของเวไนยอย่างพวกเราที่ยังหลงอยู่
ทำไม เรื่องการกินเจ จึงเกิดขึ้นมาให้ได้รับการส่งเสริมมากขึ้นทุกวันนี้ไปทั่วโลก เพราะว่า ยุคนี้ เป็นยุคแห่งการปรกโปรด สามโลก (เทวโลก มนุษย์โลก และ ยมโลก) นั่นหมายความว่า แม้กระทั่ง สัตว์เดรัจฉานก็ต้องได้รับการฉุดช่วยด้วย จะสังเกตว่า หมู่นี้ มีคนบนโลกหันมาช่วยเหลือชีวิตสัตว์มากมาย และงดเว้นเนื้อสัตว์กันมากขึ้น และในชั้นสวรรค์แดนดุสิต จิตญาณสัตว์เดรัจฉานต่างก็ได้รับการอบรมธรรมในลานธรรมพระโพธิสัตว์ศรีอาริย์ หากจิตญาณสัตว์ได้สำนึกและตื่นเร็วขึ้น จิตญาณก็จะได้เลื่อนระดับเป็น จิตญาณมนุษย์ทันที
ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าสู่ระหว่าง กึ่งยุคปลายกัป คือ ยุคแห่งมหันตภัยที่มีเวไนยล้มตายกันมากที่สุด และ ยุคพระศรีอาริย์นั่นเอง
ในยุคของพระศรีอาริย์ จะเป็นแดนสวรรค์บนโลก เวไนยต่างรักสงบ ไม่มีการทำผิดศีลใดๆทั้งสิ้น ทุกๆคนจะรักกันอย่างเท่าเทียม จิตใจเวไนยในยุคนั้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก เมื่อละสังขารไปแล้ว สามารถบรรลุธรรมกลับคืนได้ทันที เวไนยต่างเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีการแก่งแย่งเข่นฆ่ากัน แม้กระทั่งไม่มีใครฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์ นี้คือข้อมูลที่ได้นำมาจาก พุทธทำนาย
ตราบใดที่คนยังไม่งดเว้นทานเนื้อสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ทั่วโลก ก็ยังคงเป็นนรกด่านแรกที่ยังไม่ดับมอดต่อไปจนกว่าโลกนี้จะโดนกวาดล้างไปเสียสิ้นมิให้เหลือเวไนยผู้หลงผิดอีกต่อไป
ขออวยพรให้มหาปณิธานของพระพุทธา กษิติครรภ์ พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จงบรรลุเทอญ
พวกท่านทำได้ดีแล้ว เป็นข้อความที่เป็นประโยชน์ต่อทุกๆท่าน
---------------------------------------------
หากจะบำเพ็ญธรรมด้วยใจที่ยึดหมายว่า "ต้องได้บุญไหม ไปนิพพานไหม หรือ เป็นอรหันต์ไหม" นั่นมิต่างจากการยึดติด อัตตา ดั่งที่พระอริยเจ้าตรัสไว้ว่า ถามหานิพพานจากภายนอก ก็คือ การยึดหมาย ไม่ผิดจากคนหลง ถามหาว่า ได้บุญไหม จะถามไปใย เพราะบุญ คือ ความถูกต้องตามสัจธรรม หากทำแต่สิ่งที่ถูกต้องด้วยใจที่บริสุทธิ์ ก็คือ การสร้างบุญ ไม่ต้องไปคิดว่า ได้หรือไม่ได้
อยากรู้ว่า รักษาศีลเจได้บุญไหม ต้องย้อนถามตัวท่านเอง ความหมายของ เจ มิได้หมายถึงการละเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่หมายถึงการดำรงอยู่ในกอบของศีลทุกข้อนั่นเอง บางคนไม่เข้าใจความหมายของการกินเจ จึงคิดไปว่า เพียงแค่ไม่ทานเนื้อสัตว์ โดยที่ไม่ได้ขัดเกลาจิตใจ ก็สามารถไปสวรรค์ หรือได้บุญ อันนั้น คือ ความหลงผิดอย่างหนึ่ง บางคนทานเจ แต่สร้างวจีกรรมเหลือเกิน นินทาว่าร้าย อารมณ์รุนแรง นี้คือ ความงมงาย หลงผิด ก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ คนกินแต่เจ แต่ใจไม่เจ ก็ตกนรกได้ เพราะนรกสวรรค์อยู่ที่ใจของท่านเอง แต่เหตุที่ต้องกินเจ เพราะ เราต้องดำรงกายสังขารโดยไม่ทำให้ใครๆเดือดร้อนถึงชีวิตเท่านั้นเอง
กินเนื้อสัตว์บาปไหม
"ไม่บาปหรอก แต่เกี่ยวกรรมกับจิตญาณสัตว์ มีเจ้ากรรมนายเวรเพิ่มขึ้นนั่นเอง กินเนื้อสัตว์ บุญกุศลก็รั่วไหลออกไปชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรหมด"
วัว ควาย กระต่าย เต่า หรือ สัตว์กินพืชทุกชนิด เขาไม่มีสิทธิ์ได้บรรลุธรรมเลย ผู้ใดต้องตกอยู่ในภพภูมิเดรัจฉาน ก็ไม่มีโอกาสบรรลุธรรม ต้องก้มหน้าชดใช้กรรมจนกว่าจะหมดแม้ว่าจะไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนเทพเทวดาก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ นอกจากเสวยบุญอย่างเดียว หมดบุญวาระก็มาเกิดเป็นคน พวกเราเป็นมนุษย์ เรามีโอกาส สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะฉะนั้น อย่าซ้ำเติมสรรพสัตว์เลย อย่าทำให้พวกเขาต้องตายโหง ตกไปสู่ทุกคติภูมิอีกเลย หากท่านเอาแต่แผ่สวดเมตตาไปให้สัตว์ แต่ปากยังเคี้ยวเนื้อ สัตว์ก็คงไม่สามารถรับบุญตรงนั้นได้ เพราะจิตญาณไม่รับรู้ มีแต่ความแค้นเคือง
การดำเนินชีวิตที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็คือ ธรรมะ เพราะ ธรรมะ คือ ชีวิตประจำวันของเรานี้เอง หิวก็กิน ง่วงก็นอนพัก เพราะฉะนั้นการกินอาหาร ก็คือ ธรรมะอย่างหนึ่ง เพราะ เมื่อหิวก็ต้องกินให้อิ่มพอเพื่อดำรงกายสังขารต่อไป แต่เราจะกินอาหารอย่างไรดีเล่าโดยไม่ต้องเป็นการเบียดเบียนชีวิตใครๆ
หลายคนบอกว่า "คนกินเจ ขาดสารอาหาร เป็นการเบียดเบียนตนเอง บาปกรรม" แสดงว่า คนที่กินแล้วขาดสารอาหาร คือ คนที่กินแบบผิดๆมา เช่น เอาแต่ตามใจปาก กินอาหารไม่ตรงตามเวลา กินแต่แป้ง น้ำตาล ของมันๆ ผักผลไม้ล้างไม่สะอาด หรือ ผักผลไม้กินนิดเดียวในปริมาณที่น้อย เลือกกินแต่ที่อร่อยถูกปาก คนที่กำลังรักษาสุขภาพ ต้องศึกษาให้มากเรื่อง Nutrition ก็คือ เรื่องของสารอาหารและโภชนาการนั่นเอง เขาตั้งใจกินเจไหม มีใจให้กับการทานเจไหม หากไม่ตั้งใจ ใจไม่จริง ความทุกข์และอุปสรรคก็ย่อมครอบงำ ทำให้ถดถอย ส่วนมากคนที่ชอบทานผักผลไม้ สมุนไพรอยู่ก่อนแล้ว มักไม่ค่อยมีปัญหากับการทานเจสักเท่าไหร่ การทานเจ คือ การฝึกบำเพ็ญทวนกระแสอย่างหนึ่ง เพื่อเอาชนะกิเลส (ยึดติดรสชาติของเนื้อ) และ ความเคยชิน นั่นเอง
การดำรงชีวิตด้วยการกินอาหารของพวกเราทุกท่านนั้นได้ออกนอก "สัจธรรม/ธรรมะ/ธรรมชาติ" หรือไม่ ข้าพเจ้าถามว่า หากการกินของท่าน ได้กลายเป็นส่วนของวัฏจักรของความตาย หรือ เป็นเหตุให้เวไนยอื่นต้องเดือดร้อน หรือ เสียการดำรงชาติของพวกเขาไปอย่างน่าเสียดาย หรือ เป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องตายโหง นี้หรือ ธรรมะที่ท่านอ้างว่า ท่านคือ ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมะ ท่านต้องปฏิบัติต่อเวไนยสัตว์ให้เท่าเทียมกัน แม้ว่า สัตว์เดรัจฉานจะอยู่ภพที่ต่ำกว่าเพียงใด ท่านยังเมตตาต่อมนุษย์ได้ ไม่กินเนื้อมนุษย์กันเองได้ แล้วทำไม จึงละเว้นชีวิตสัตว์ไม่ได้หรือ
สัตว์ที่ตายโหง จิตญาณพวกเขาก็จะประณามว่า "บำเพ็ญธรรมกันภาษาอะไร ทำไมต้องฆ่ากินพวกเราด้วย พวกท่านมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่า สัตว์ประเสริฐ บำเพ็ญธรรม ก็อนุโมทนาด้วย แต่หากบำเพ็ญธรรมแล้ว ไร้ซึ่งเมตตา เราไม่ขออนุโมทนา เราไม่ยินดีที่จะตายจาก พวกเราเกิดมาลำบากแสนเข็ญนักหนา ตกนรกก็แล้ว มาเกิดเป็นสัตว์ก็ทรมานยิ่งกว่า ไม่ได้อยู่สบายๆอย่างท่านเลย พวกท่านโชคดีเหลือเกิน ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พวกข้าเป็นวิญญาณบาป จึงต้องชดใช้กรรมในกายสังขารของเดรัจฉาน พวกข้าขอความเมตตาพวกท่านได้หรือไม่"
นี้คือ ความในใจ เป็น ธรรมะ ที่ข้าพเจ้าได้ย้อนมองส่องตนแล้ว พิจารณากลับกันคือ "หากเราต้องไปเกิดเป็นสัตว์บ้างเล่า เราจะทุกข์แค่ไหนกันเชียว เราจะอ้อนวอนให้มนุษย์ไม่ให้ฆ่าเรา เราจะทำอย่างไรดี เราไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ เราได้แต่ทุรนทุราย ดิ้นรนหนีรอด หรือ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แค่นี้ มนุษย์ยังไม่เข้าใจภาษาสื่อของเราอีกงั้นหรือ"
ท่านยังจะบอกอีกว่า "กรรมใครกรรมมัน" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมก็จริง แต่ท่านต้องอย่าลืมว่า เราต้องไม่เกี่ยวกรรมกับใคร เราต้องไม่สร้างกรรมเพิ่ม แต่ต้องสร้าง เมตตาธรรม ออกมาจากใจด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัจธรรม หากท่านขาดเมตตาต่อเวไนย ท่านไม่สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ เพราะ เมตตาธรรม ค้ำจุนโลกเราอยู่ ท่านอยู่ภายใต้หล้าฟ้าและอยู่บนผืนดิน ฟ้าดินโอบอุ้มเวไนยสัตว์เอาไว้ เมื่อดำรงอยู่ ท่านก็จงรักเวไนยอื่นด้วยเช่นกัน มิใช่เมตตาต่อมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น ฟ้าดินยุติธรรมที่สุดแล้ว
เท่าที่ติดตามปัญหาที่มีคำถามค้างคาใจหลายท่าน คือ "ทานเจแล้วได้บุญไหม บรรลุธรรมไหม"
ขอสมมติว่า "หากทานเจแล้วได้บุญ หรือ อรหันต์จริง ป่านนี้ก็คงกินเจกันทั้งโลกเสียนานแล้ว คงจะดีไม่น้อย"
เพราะฉะนั้น คำถามที่ว่า "กินเจได้บุญไหม หรือ กินเจบรรลุธรรมไหม" นั่นก็คือ กิเลส ของผู้ถามที่ยังยึดหมายผลแห่งการทำความดี เพียงแค่ว่า ทำความดีบางอย่างเพื่อหวังผลกลับมาที่ตน หากการทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้บุญ ก็คงไม่มีใครคิดจะทำความดีเลยใช่ไหม เพราะจิตใจที่กักขังอยู่ตรงนั้น
พระอริยเจ้าเว่ยหล่าง (ท่านพระธรรมจารย์ฮุ่ยเหนิง) ได้บรรลุ กลับคืนไปแล้วอย่างสงบ ตลอดชีวิตของท่าน มิเคยได้รู้หนังสือ หรือ อ่านหนังสือได้เลย แต่ไฉน จิตพุทธะที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อเวไนยทุกภพภูมิ ได้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์มากมายได้กลับคืน รู้แจ้งสัจธรรมจริง
ท่านเว่ยหล่างไม่รู้หนังสือ แม้แต่ในจิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ก็คงไม่หลงเหลือคำว่า "มหายาน หรือ หินยาน" ซึ่งเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ยินเรื่องการทานเจมาก่อน แต่ฉันอาหารเจตลอดโดยมิได้ยึดหมาย ฉันเจก็เพื่อประทังสังขารบำรุงธาตุเท่านั้นเอง พระองค์ท่านตั้งแต่เยาวัย ก็ชอบออกป่าช่วยเหลือสัตว์ป่ามากมายให้รอดพ้นจากกับดักของนายพราน
พวกเราต้องสำนึกผิดที่พวกเราอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าหรือเป็นเหตุให้เวไนยสัตว์ได้ถูกฆ่า จงสำนึกผิดและสำนึกขอบคุณที่เติบโตมาเพราะเลือดเนื้อผู้อื่น ไม่ว่าพวกเราจะรู้ตัวหรือไม่ จงสำนึกผิดต่อเวไนยสัตว์ที่พวกเราเคยฆ่าและเคยกินเลือดเนื้อพวกเขามา
การที่สัตว์ตายเพื่อมาเป็นอาหารของมนุษย์ผู้ซึ่งไร้ความเมตตา เปรียบเสมือน การบูชายัญ สละชีวิตที่มิได้ยินยอม ต่อยักษ์อสรู
แม้ว่า ท่าน ในฐานะปุถุชนผู้แสวงหาธรรม จะพยายามชำระกิเลสออกจากใจของท่านเพียงใด แต่หากยังเกี่ยวกรรมกับเวไนยในอดีตชาติและชาตินี้ ที่ยังมิได้เป็นอภัยทานหรือโมฆะกรรม กรรมนั้นก็ไม่จบ เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ปล่อย ไม่ยินยอม พวกเราเคยได้ทำกรรม หรือ เพียงเกี่ยวข้องกรรมใดไว้กับคนหรือกับสัตว์ ย่อมต้องชดใช้ จะหนีไปสวรรค์ เทวโลก เพื่อหนีคดีเก่างั้นรึ ฟ้าดินยุติธรรมไม่เอนเอียง แม้จะสำเร็จไปเทวโลก แต่เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ต้องกลับมาชดใช้กรรมเก่า
ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์คนบุญในชาตินี้ เพราะชาติก่อนเคยได้เกิดเป็นเทพ พรหม เทวดา หรือ พุทธะ แต่หนี้กรรมเก่าที่ยังมิได้ชำระก็มีอีกมากมายจากหกหมื่นปีที่เวียนว่ายมา จวบจนชาตินี้ ก็ยังสร้างกรรมใหม่อีกมากมายต่อสัตว์เดรัจฉาน กรรมมากมายก็ทับถมดั่งเขาพระสุเมรต่อไป
บางท่านก็ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และโรคร้ายที่รักษาได้ยากนัก ทั้งๆที่ในชาติปัจจุบัน อาจไม่เคยสร้างกรรมกับใครมาก่อน แต่อนิจจา กฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรม กรรมเก่าได้ตามทันเสียแล้ว
ท่านจะโปรดตนเอง หรือ โปรดเพื่อนมนุษย์ เวไนยภพภูมิอื่นด้วยกัน ก็อย่าลืมโปรดสัตว์เดรัจฉานบ้าง ในภพภูมิมนุษย์ เวไนยที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุดคือ สัตว์เดรัจฉาน
ขอสรุปอีกครั้งว่า การกินเจ หรือ กินพืช มิอาจเป็นการสร้างบุญกุศลได้ เพราะการกิน คือ สัจธรรม อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ เวไนยต้องดำรงกายสังขารไว้ แต่มิใช่ดำรงกายสังขารที่เห็นแก่ตัวเกินสัจธรรม โดยการไปเข่นฆ่า เอาเลือดเนื้อเพื่อนร่วมโลกมาบำเรอธาตุในตน แล้วเข้าข้างตนเอง เอาความถูกต้องเข้าตัว
บ้างคิดว่า คนทานเจ ไม่ปล่อยวาง จะกินยังเรื่องมาก ท่านจงแยกแยะความแตกต่างระหว่าง การปล่อยวาง กับ การกิน
กินก็กินไปเถิด แต่อย่ากินสังขารร่างกายที่มีเจ้าของเลย เพราะจิตญาณของเจ้าของยังคงเคียดแค้นอาฆาตไม่รู้จบ แม้ว่าจะแผ่เมตตาไปด้วยวาจา ก็มิสามารถดับความแค้นของจิตญาณเดรัจฉานได้เลย
การทานเนื้อสัตว์ เป็นการเกี่ยวกรรมกับจิตญาณสัตว์อยู่นั่นเอง วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรมากมายรอต่อแถวทวงหนี้ท่านอยู่ สังเกตเหตุการณ์ความวุ่นวายในสังคมทั่วโลก หรือ เหตุการณ์ที่สยดสยองที่เกิดขึ้น เช่น เหยื่อผับ Santika ที่ถูกเผาทั้งเป็น , เหยื่อสึนามิที่ศพลอยอืดพองบนผิวน้ำ สงคราม, แผ่นดินไหว ตึกถล่ม น้ำท่วม พายุ ไฟไหม้ รถระเบิด อุบัติเหตุปางตายบนถนน เครื่องบินตก กลุ่มผู้แสวงบุญบนรถทัวร์ได้ตายอนาจ รถตกเหวจากบนเขา หรือ อุบัติเหตุต่างๆที่ต้องตายหมู่ หรือ การเจ็บไข้ได้ป่วย, หวัดนก หรือ โรคร้ายที่รักษาไม่หาย หรือ แทบไม่หายเลยก็ว่าได้ ยังมีเกจิอาจารย์หลายๆท่านที่เป็นอริยสงฆ์ ที่ยังต้องชดใช้กรรม เจ็บไข้ได้ป่วยจนมรณภาพก็มีมาก เพราะฉะนั้น กฎแห่งกรรมไม่เคยไว้หน้าผู้ใด แม้กระทั่งคนที่มีจิตใจดี
การบำเพ็ญธรรม มิใช่บำเพ็ญไปตามความรู้สึกนึกคิด การบำเพ็ญ ต้องใช้ปัญญา ปัญญานั่น ก็คือ รู้แจ้งสัจธรรม รู้แจ้งความเป็นจริงของธรรมชาติรอบตัวเราและภายในของเรา มิใช่เมตตาโดยไม่ใช้ปัญญา เช่น เห็นเพื่อนหญิงขอความช่วยเหลือ ขอยืมเงิน แต่ต้องดูด้วยว่า เงินที่เราช่วยไปนั้น เขาจะเอาไปทำบาปอะไรหรือไม่ เช่น เอาไปจัดงานเลี้ยงฆ่าสัตว์ หรือ เอาไปทำแท้งหรือเปล่า มิฉะนั้น จะเป็นการเกี่ยวกรรมโดยมิรู้ตัว
การกินเจ หรือ มังสวิรัติก็ดี มิใช่การปฏิบัติธรรม หรือ ทำบุญเลย แต่เป็นเพียงการดำรงชีวิตของสัตว์ประเสริฐเท่านั้น สัตว์ประเสริฐ ก็คือ คนดีที่มีจิตใจธรรมะ มีคุณธรรม เมตตา มโนธรรมสำนึก จริยา ปัญญา
ที่ไม่อาจทานเจกันได้ เพราะกลัวอดตาย หวงชีวิต กลัวไม่มีความสุข กลัวความตาย กลัวความลำบาก กลัวอดอยาก จึงต้องยอมให้สัตว์อีกกี่ล้านชีวิตมาแลกชีวิตอย่างไม่รู้สึกสะเทือนใจบ้าง
อย่ากลัวลำบากหรือกลัวอดตายเลย เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุด มิใช่ความตาย แต่เป็นการเวียนว่ายตายเกิดที่ต้องไปชดใช้กรรมต่างหาก ส่วนมากผู้ที่ทานเจได้นั่น ต่างก็เคยมีสัญญากรรมที่ได้เคยเวียนว่ายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วนั่นเอง จึงเข้าใจ เห็นใจ และอดสงสารเวไนยที่จะไปชดใช้กรรมเกิดเป็นสัตว์บ้างมิได้ พระพุทธเจ้าทรงเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาแล้วหลายชาติ พระพุทธองค์จึงทรงเล็งเห็นความทุกข์ ที่เป็นภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดและน่ากลัวที่สุด คือ การเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบสิ้น นี้คือ ทะเลทุกข์อันแท้จริงของเวไนยอย่างพวกเราที่ยังหลงอยู่
ทำไม เรื่องการกินเจ จึงเกิดขึ้นมาให้ได้รับการส่งเสริมมากขึ้นทุกวันนี้ไปทั่วโลก เพราะว่า ยุคนี้ เป็นยุคแห่งการปรกโปรด สามโลก (เทวโลก มนุษย์โลก และ ยมโลก) นั่นหมายความว่า แม้กระทั่ง สัตว์เดรัจฉานก็ต้องได้รับการฉุดช่วยด้วย จะสังเกตว่า หมู่นี้ มีคนบนโลกหันมาช่วยเหลือชีวิตสัตว์มากมาย และงดเว้นเนื้อสัตว์กันมากขึ้น และในชั้นสวรรค์แดนดุสิต จิตญาณสัตว์เดรัจฉานต่างก็ได้รับการอบรมธรรมในลานธรรมพระโพธิสัตว์ศรีอาริย์ หากจิตญาณสัตว์ได้สำนึกและตื่นเร็วขึ้น จิตญาณก็จะได้เลื่อนระดับเป็น จิตญาณมนุษย์ทันที
ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าสู่ระหว่าง กึ่งยุคปลายกัป คือ ยุคแห่งมหันตภัยที่มีเวไนยล้มตายกันมากที่สุด และ ยุคพระศรีอาริย์นั่นเอง
ในยุคของพระศรีอาริย์ จะเป็นแดนสวรรค์บนโลก เวไนยต่างรักสงบ ไม่มีการทำผิดศีลใดๆทั้งสิ้น ทุกๆคนจะรักกันอย่างเท่าเทียม จิตใจเวไนยในยุคนั้นบริสุทธิ์ยิ่งนัก เมื่อละสังขารไปแล้ว สามารถบรรลุธรรมกลับคืนได้ทันที เวไนยต่างเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีการแก่งแย่งเข่นฆ่ากัน แม้กระทั่งไม่มีใครฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์ นี้คือข้อมูลที่ได้นำมาจาก พุทธทำนาย
ตราบใดที่คนยังไม่งดเว้นทานเนื้อสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ทั่วโลก ก็ยังคงเป็นนรกด่านแรกที่ยังไม่ดับมอดต่อไปจนกว่าโลกนี้จะโดนกวาดล้างไปเสียสิ้นมิให้เหลือเวไนยผู้หลงผิดอีกต่อไป
ขออวยพรให้มหาปณิธานของพระพุทธา กษิติครรภ์ พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จงบรรลุเทอญ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: usr28788
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·