จับดีเขา จับผิดเรา

เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)

จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC


พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)

การจับผิดผู้อื่นเกิดจากความรู้สึกอิจฉาใช่หรือไม่ ?

    คนเราทุกคนต้องการความภูมิใจในตัวเอง ถ้ารู้สึกว่าตัวเองมีความดีเด่นพิเศษกว่า คนอื่นก็จะรู้สึกพอใจ แต่ว่าจะเด่นได้มี ๒ แบบ แบบแรกก็คือ ตั้งใจฝึกตนเอง ทุ่มเททํางาน จนกระทั่งมีความรู้ความสามารถ มีผลงานที่โดดเด่นกว่าคนอื่น นี้คือวิธีที่สร้างสรรค์อีกวิธีคือไม่ต้องทําอะไรคอยจับผิดคนอื่นแล้วเหยียบเขาลงไป สุดท้ายเหลือตัวเองคนเดียวเด่นกว่าเขา นี้คือวิธีทําลาย

    วิธีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม คือ วิธีที่สร้างสรรค์ ถ้าทุกคนพยายามพัฒนาตัวเองเหมือนแข่งกันทําความดีสังคมก็เจริญก้าวหน้าแต่ถ้าหากสังคมใดผู้คนแสวงหาความโดดเด่นด้วยการเหยียบย่ําคนอื่นให้ต่ําลง นั้นคือสังคมที่จะแย่ลง แต่มีคนไม่น้อยเลือกวิธีจับผิดคนอื่นติฉินนินทาวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นซึ่งที่จริงไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรแก่ตัวเองเลยนั่งดูแต่ข้อเสีย ของคนอื่น ตัวเราก็จะกลายเป็นที่รวมข้อเสียนั่งคิดแต่ข้อบกพร่องของคนอื่นตัวเราก็เหมือนกองขยะกองใหญ่ แต่คนที่ดูข้อดีของคนอื่น แล้วมุ่งมั่นจะพัฒนาตัวเอง จะเหมือนทะเลซึ่งเป็นที่รวมของน้ํา

คนที่ชอบจับผิดผู้อื่นมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร ?

     สภาพจิตใจแย่เลย เหมือนที่รวมขยะใครมีขยะตรงไหนพยายามหาจนเจอ แล้วเก็บเอามาไว้ที่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่รวมขยะทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราอย่าเป็นอย่างนั้น ให้ดูว่าคนนั้นคนนี้เขามีดีอะไร ถ้าศึกษาเรียนรู้เห็นข้อดีของเขาแล้ว จะได้มีแนวทางสําหรับพัฒนาตัวเอง

ถ้าหากเราปรารถนาดีอยากเตือนใครจะพูดอย่างไรให้เขารับฟัง ?

     ต้องใช้ศิลปะอย่างสูงทีเดียว เพราะทุกคนต้องการความภูมิใจในตัวเองพอมีใครมาบอกว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน ใหม่ ๆ จะเหมือนมีกําแพงกั้นไว้ก่อน เพราะมันกระทบกระเทือนอีโก้ตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าหากจะแนะนําใครก็พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้กระทบกระเทือนใจเขา คนเราเวลามีใครมาเตือนก็เท่ากับเขาอยู่บนทาง ๒ แพร่งแล้ว คือจะน้อมรับคําแนะนําหรือจะเกิดปฏิกิริยาปกป้องตัวเองแล้วสวนกลับ

     พูดถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงวัดเราเมื่อประมาณ ๓๐กว่าปีที่แล้วตอนนั้นอาตมายังเรียนอยู่และมารับบุญเป็นฝ่ายต้อนรับที่วัดในวันอาทิตย์เจอญาติโยมสูบบุหรี่ เขามาวัดครั้งแรก ไม่รู้ว่ามีระเบียบห้ามสูบบุหรี่ในวัด ถ้าเราพรวดพราดไปบอกว่า “คุณ ที่วัดห้ามสูบบุหรี่ ไม่รู้ระเบียบหรือไง” เขาอาจจะโกรธแล้วไม่มาวัดอีกเลยตลอดชีวิตก็เป็นได้ แต่หลวงพ่อสอนให้เดินเข้าไปยกมือไหว้ก่อนเข้าไปด้วยความอ่อนน้อมแล้วบอกเขาดีๆ ว่า“ขอโทษนะครับพอดีที่วัดมีระเบียบไม่ให้สูบบุหรี่ในวัด เดี๋ยวผมขอเอาไปทิ้งให้นะครับ” อย่างนี้เขาจะสบายใจ ไม่เสียความรู้สึก เพราะฉะนั้นจะไปแนะนําคนอื่นเราอย่าไปกระทบกระเทือนอีโก้ใคร ให้แนะนําด้วยความอ่อนน้อม ไม่สั่งสอนแบบผู้ใหญ่สอนเด็ก

    ในมุมกลับกัน ถ้าเราเป็นผู้น้อย ผู้ใหญ่เตือนยังพอรับได้ แต่ผู้ใหญ่ที่มีผู้น้อยมาเตือนรับยากนะ คนไทยเรามีคําว่า “ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้” เวลาผู้ใหญ่เดินไปไหนพอเห็นนกแล้วชี้บอกว่าไม้บริวารรับว่า ใช่ครับนาย พอชี้ไปที่ต้นไม้บอกว่านก ลูกขุนพลอยพยักว่านกเป็นแถวพอผู้ใหญ่เจออย่างนี้บ่อย ๆ ก็ชินพอเจอใครขัดคอเข้าก็หงุดหงิด เพราะไม่คุ้น

     ถ้าไปดูในประวัติศาสตร์ประเทศจีน จะพบว่าฮ่องเต้ที่สร้างผลงานเป็นที่เล่าขานมาเป็นพัน ๆ ปีส่วนใหญ่เป็นผู้ที่น้อมรับคําเตือนของคนอื่น เช่น พระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ผู้สถาปนาราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แผ่นดินจีนรุ่งเรืองมาก ขยายอาณาเขตกว้างไกล ราชวงศ์อยู่มายาวนานหลายร้อยปีทําให้คนจีนมีความภูมิใจถึงขนาดเรียกตัวเองว่า ถังเหวิน แปลว่า คนราชวงศ์ถัง

      ตอนพระเจ้าถังไท่จงขึ้นเป็นฮ่องเต้ใหม่ ๆ ท่านศึกษาประวัติศาสตร์พบว่าที่ราชวงศ์เก่า ๆ ล่มสลายไปเป็นเพราะฮ่องเต้ไม่ฟังใคร ขุนนางก็ไม่ขัดคอ เลยพากันลงเหวหมด พระองค์เลยตั้งเว่ยเจิงซึ่งฉลาดมาก ๆ มาดํารงตําแหน่งขุนนางคัดค้าน ทําหน้าที่คอยคัดค้านฮ่องเต้เวลาฮ่องเต้เสนออะไรในที่ประชุมถ้าความคิดเข้าท่าก็แล้วไป ถ้าไม่เข้าท่า ขุนนางคัดค้านยกมือเลย บอกว่าไอเดียพระองค์ไม่สมควรพระเจ้าถังไท่จงแม้บางทีก็หงุดหงิดเหมือนกันแต่พระองค์กล้ำกลืนฝืนทน จนถึงบั้นปลายชีวิต พระองค์บอกว่า ในชีวิตของพระองค์นั้นมีกระจกอยู่ ๒ บาน หนึ่งคือกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า อีกบานคือเว่ยเจิงนี้แหละที่ส่องให้เห็นสิ่งที่พระองค์ไม่เห็น ทําให้พระเจ้าถังไท่จงสร้างราชวงศ์ถังให้เจริญรุ่งเรืองขนาดที่คนจีนภูมิใจเป็นพัน ๆ ปีได้

     อีกคนคือจักรพรรดิเฉียนหลงในสมัยราชวงศ์ชิงพระองค์มีอัครมหาเสนาบดีท่านหนึ่งเป็นคนฉลาดและขยันมาก ตั้งใจทําหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ขุนนางคนอื่นก็สบาย ๆ ฮ่องเต้ว่าอย่างไรก็ดีพ่ะย่ะค่ะ แต่อัครมหาเสนาบดีคนนี้มีเรื่องมากราบทูลทุกวันมณฑลนั้นเกิดอุทกภัยชาวบ้านกําลังเดือดร้อนที่นี่มีโรคระบาดลง ที่นั่นก็มีปัญหา ทุกวันมีแต่ปัญหามาตลอด แล้วก็เสนอนั่น เสนอนี่ ต้องไปแก้ปัญหานั่น ปัญหานี่ แล้วบางทีจักรพรรดิเสนอไอเดีย ก็คอยคัดค้าน จนจักรพรรดิสั่งถอดยศจากอัครมหาเสนาบดีค่อย ๆ เลื่อนลงไปจนกระทั่งไปเป็นพลทหารซึ่งเป็นยศต่ําสุด ถูกขุนนางดูหมิ่นดูแคลน ต้องไปเจอทุกคนที่เคยเป็นลูกน้องอยู่เหนือตัวเองหมดเลย ทําใจยากเหมือนกัน แต่เสนาบดีท่านนี้ทนได้ทนไปไม่กี่เดือน วันหนึ่งฮ่องเต้รําพึงขึ้นมาว่า เจ้านี่ไม่อยู่ ทําไมรู้สึกบ้านเมืองสงบราบเรียบไปทุกอย่างทุกคนบอกไม่มีปัญหา ราบรื่นทุกวัน ฮ่องเต้เป็นคนฉลาด นึกแล้วก็หวาดเสียว เพราะรู้สึกว่าราบรื่นเกินไป ก็เลยมีพระบรมราชโองการให้ไปตามพลทหารคนนี้กลับมารับตําแหน่งอัครมหาเสนาบดีมาคอยคัดค้าน มาคอยเสนอปัญหาเหมือนเดิม

     เพราะอย่างนี้จึงทําให้สมัยเฉียนหลงสามารถขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน ทั้งที่มหาอํานาจทางตะวันตกเริ่มผงาดขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใหญ่เปิดใจให้กว้างแล้วรับฟังคําท้วงติงของผู้น้อยบ้างจะเจริญ แล้วตัวเรายังไม่ได้มีศักดิ์ศรีขนาดฮ่องเต้เลย จะไปถือทิฐิมานะอะไร เปิดใจรับฟังคําแนะนําของทุกคนเถิด แล้วเราจะมีแต่ความสุขความเจริญต่อไป
 
 


หากมีคนมาเตือนในเรื่องที่เราไม่ได้ทําผิด เราควรทําอย่างไร ?

      จะให้คนเตือนเตือนถูกหมดก็ยากแค่เขาหวังดีมาเตือนเรา เราก็ควรน้อมรับพระพุทธเจ้าบอกว่าบัณฑิตคือบุคคลผู้ฉลาด เห็นผู้ที่ชี้โทษ ดุจผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ เขาชี้โทษให้เรา ๑๐ เรื่องชี้ถูกไป ๗ เรื่อง เท่ากับเราปิดจุดอ่อนไปตั้ง ๗ เรื่อง เผื่อเขาชี้แล้วไม่จริงตามนั้น ก็ไม่ต้องไปสวนเขา แต่คนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่าอยากอธิบายให้เขารู้เขาจะได้ไม่เข้าใจเราผิดแต่ถ้าไม่ระวังให้ดีจะกลายเป็นการเบรกเขา ทีหลังเขาเลยไม่กล้าเตือนอีก ให้เรารับฟังก่อน หากจะบอกให้เขารู้ความจริงก็หาวิธีที่นุ่มนวลที่สุด

     คนเรายิ่งเป็นใหญ่มากเท่าไร ยิ่งหาคนเตือนยากเท่านั้นโบราณมีคําว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาวมีคนแวดล้อมเต็มเลย แต่ไม่มีใครพูดความจริง จะสรรหาแต่เรื่องดีๆ มาให้ฟังทั้งนั้นเพราะเขาถือคติว่า “ชมจนเอียนดีกว่าติเตียนจนถูกอัด”
     เพราะฉะนั้น ฮ่องเต้ถังไท่จงจึงต้องตั้งขุนนาง คัดค้านเพื่อป้องกันจุดอ่อนตรงนี้เราเองนับวันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็จะพบเหมือนกันว่าคนที่เตือนเรามีน้อยลง ๆ ดังนั้นหากมีใครใจเด็ดกล้ามาเตือนเรา รีบขอบคุณเขาเลย พินิจพิจารณาให้ดีบางทีเราคิดว่าเราไม่ผิด แต่เราเข้าใจผิดก็มีเพราะมองจากมุมตัวเอง ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปปกป้องตัวเอง ให้รับฟังแล้วนํามาไตร่ตรองพิจารณาให้ดีแล้วเราจะเป็นคนที่พัฒนาตัวเองได้ตลอดไม่รู้จบ และอุดช่องโหว่ในชีวิตเราได้

การจับผิดตัวเอง ควรเริ่มต้นอย่างไร ?

      ต้องมีมาตรฐานตรวจสอบเวลาเราเขียนวงกลม เราอาจรู้สึกว่ากลมดีแล้ว แต่ถ้าเอาวงเวียนมาทาบจะพบว่ามันไม่กลมจริง เวลาเราดูตัวเอง เราก็ว่าเป็นคนดีใช้ได้เพราะบางทีเราเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้ามีบุคคลมาตรฐาน เช่น พระพุทธเจ้ามาเทียบเราจะรู้ทันทีว่าจะต้องฝึก อะไรเพิ่มเติมบารมี๑๐ทัศเราครบถ้วนบริบูรณ์หรือยัง ถ้าเราดีจริงคงหมดกิเลสไปแล้ว ในเมื่อยังไม่หมดกิเลสแสดงว่ายังดีไม่จริง มีบุคคลมาตรฐานเทียบเมื่อไรจึงจะมองเห็น จึงต้องหมั่นคบบัณฑิต และบูชาผู้ที่ควรบูชา เพื่อให้ท่านเป็นมาตรฐานในการประพฤติปฏิบัติแก่ตัวเรา

มีมาตรฐานในการพิจารณาอย่างไรว่าสิ่งที่เขาแนะนํา มานั้นถูกหรือผิด ?

     การศึกษาธรรมะในพระศาสนาให้ประโยชน์มาก เวลาใครแนะนําเรามา บางที เรายังไม่มั่นใจว่าถูกหรือผิดก็ลองไปตรวจสอบกับหลักธรรมดูก่อนว่าสอดคล้องกันหรือเปล่าถ้าสอดคล้องแสดงว่าใช้ได้แต่ถ้าขัดหลักธรรมก็ไม่ใช่แล้ว เช่น ต้องเอาเหล้าไปให้เขา เขาจะได้ชอบเราต้องไปเที่ยวกลางคืนจะได้สนิทกันถ้าอย่างนี้เป็นการแนะนําที่ผิด เป็นต้น

     ถ้าใครศึกษาธรรมะให้เข้าใจจนสามารถนําไปใช้ได้จริงในชีวิตประจําวันคนนั้นเรียกว่าผู้หลักผู้ใหญ่ คือ เป็นผู้ใหญ่ที่มีหลักในการดําเนินชีวิต หลักนั้นได้มาจากคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบางทีเราศึกษาหลักธรรมแล้วตีความไม่แตก เราก็ไปหาครูบาอาจารย์ไปหาผู้รู้ขอคําแนะนํา ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือและครูบาอาจารย์ของเราจะช่วยเป็นที่ปรึกษาให้เราได้

มีคําแนะนํา ในการจับดีและจับผิดผู้อื่นอย่างไรบ้าง ?

     อยากให้มองทุกแง่ถ้าในแง่เป็นผู้รับคําแนะนําได้กล่าวไปแล้วว่า ให้มองคนที่เตือนเราว่าเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้น้อมรับเถิด แม้ว่าคําเตือนนั้นจะถูกบ้างผิดบ้าง ก็ไม่เป็นไร รับฟังไว้ก่อนอย่าเพิ่งสวนแย้งหรือขัดคอ แต่ถ้าเราเป็นผู้ไปเตือนเขา เราต้องเตือนด้วยความสุขุมรอบคอบ ระมัดระวัง อย่าให้ไปกระทบอีโก้ของเขา

     มีตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ ประธานบริษัทเหล็กกล้าใหญ่ในอเมริกา มีชื่อเสียงมากในยุคหนึ่ง เขาสามารถทําผลงานโดดเด่นเพราะเขารวมทีมได้เข้มแข็งมากพนักงานรักและเชื่อฟังเขาหมดทุกคน มาดูตัวอย่างว่าเขาทําอย่างไร

     วันหนึ่ง ขณะที่เขาเดินไปตรวจโรงงานเจอคนงานกลุ่มหนึ่งกําลังยืนสูบบุหรี่อยู่ใต้ป้าย ที่เขียนว่า “ห้ามสูบบุหรี่ในโรงงาน” เขาเดินเข้าไปพูดคุยซักถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซักไซ้เรื่องการงานต่าง ๆ แต่ไม่พูดถึงบุหรี่เลย แล้วล้วงบุหรี่ชั้นดีจากกระเป๋าส่งให้ และบอกว่าผมจะขอบคุณมากเลย ถ้าคุณช่วยเอาบุหรี่นี้ออกไปสูบข้างนอก พนักงานก็มีความรู้สึกว่า เจ้านายไม่ได้ดุเราที่สูบบุหรี่ใต้ป้ายห้าม กลับอุตส่าห์ให้บุหรี่มาอีกซองหนึ่งก็เลยรู้สึกว่าควรจะต้องให้ความร่วมมือกับเจ้านาย เห็นไหมว่าเป็นการเตือนที่เบาที่สุดแล้วไม่กระทบอีโก้ด้วยเตือนอย่างนี้โอกาสที่เขาจะฮึดฮัดขึ้นมาไม่มีเลย

     เรื่องคนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ศิลปะ เราต้องเข้าใจตัวเราเอง แล้วจะเข้าใจคนอื่น ถ้าเราอยู่ในสถานะเป็นผู้รับคําเตือนก็ต้องปรับสภาพใจตัวเองให้ได้ถ้าอยู่ในสถานะเป็นผู้เตือนคนอื่นยิ่งต้องคิดหาวิธีการเตือนที่นุ่มนวลที่สุด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ ถ้าทุกคนทําสถานะตัวเองให้เป็นผู้รับคําเตือนและผู้ให้คําเตือนที่เหมาะสมอย่างนี้สังคมโดยรวมจะเจริญขึ้น แล้วจะอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก


[[videodmc==45965]]
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/ข้อคิดรอบตัว/จับดีเขา-จับผิดเรา.html
เมื่อ 17 มิถุนายน 2567 13:35
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv