ผลปฏิบัติธรรม 
ของ 
กัลยาณมิตร แอนดรู โคแวน (อเมริกา)
 
 
    ผมชื่อ แอนดรู โคแวน อายุ 25 ปี  ชาวอเมริกัน เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 3 จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ผมมีจุดมุ่งหมายที่จะเรียนแพทย์ทั่วไปให้จบและต่อเอกศัลยกรรมเพื่อเป็นศัลยแพทย์ แม้จะต้องทำงานอย่างหนัก และต้องเรียนรู้เรื่องยามากมาย แต่สิ่งที่หมอศัลยกรรมหลายๆคนทำเพื่อคนป่วยนั้นน่าทึ่งมาก ผมจึงกระหายที่จะเรียนด้านนี้ต่อไป
 
    แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เก็บเอามานั่งคิดอยู่เสมอว่า “ถ้าได้เป็นศัลยแพทย์จริงๆได้ผ่าตัดรักษาคนป่วย แล้วจะยังไงอีกล่ะ เราช่วยคนได้แค่นี้เองหรือ นอกจากรักษาโรคแล้ว หมอสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง” คำถามนี้เป็นช่องว่างในใจที่ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ครับ
 
    จนกระทั่งเมื่อเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.2545 ขณะทำงานในคลินิกของโรงพยาบาล กัลยาณมิตร สุนันท์ เยสุวรรณ ซึ่งทำงานอยู่เคาน์เตอร์ด้านหน้าได้แนะนำให้ผมรู้จัก วัดภาวนาซีแอตเติ้ล และชวนไปถวายความรู้ภาษาอังกฤษให้กับพระสงฆ์ ผมจึงได้ไปวัดเป็นครั้งแรก และเจ้าหน้าที่ก็บอกกับผมว่า “คุณควรลองฝึกสมาธิดูนะ” เมื่อได้ลองนั่งสมาธิแล้ว ผมก็ติดใจ เพราะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับชีวิตมากมาย ผมจึงได้ฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง โดยจะนั่งพร้อมกับหลวงพ่อทุกเย็นวันเสาร์ (เมืองไทยคืออาทิตย์เช้า) ที่วัดภาวนาซีแอตเติ้ลครับ
 
    และผมก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีมากระหว่างการนั่งสมาธิด้วยครับ คือหลังจากที่ผมหลับตาลง และวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ผมก็เห็นแสงสว่างเกิดขึ้น เป็นแสงที่สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงแว๊บเดียว แต่ความสุขขณะนั้น อธิบายไม่ถูกเลยครับ  บางครั้งพอผมนึกถึงดวงแก้วที่ศูนย์กลางกาย ดวงนั้นก็ใสเจิดจ้ามาก และมีความรู้สึกสงบมากๆ 
 
    สิ่งที่ผมได้รับจากสมาธิก็คือ สมาธิช่วยพัฒนาสติปัญญาให้ผมตัดสินใจได้ดีขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนที่มีบุคลิกแปลกแยก อารมณ์ร้อนและแปรปรวน  ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย หากเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจ จะเกิดอาการปรี๊ดแตกขึ้นมาทันที ปัจจุบันสมาธิได้รักษาอาการปรี๊ดแตกเหล่านั้นอย่างได้ผล ผมใจเย็นและผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากฝึกสมาธิได้พักหนึ่ง พ่อกับแม่ของผมก็เห็นว่าผมเป็นคนดีขึ้นกว่าเดิมครับ คือท่านบอกว่า “ผมเป็นมนุษย์ที่น่าอยู่ใกล้มากขึ้น”
 
    เพราะสมาธินี่แหละครับ ทำให้ผมหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าได้เองก่อนที่จะเข้าใจเรื่อง ศีล 5 เสียอีก เพราะผมรู้สึกว่า เหล้าทำให้นั่งสมาธิได้ไม่ใส ไม่ชัดเจน เมื่อจะต้องเลือกระหว่างความเมา กับความใส ผมเลือกความใสครับ ต่อมาผมจึงค่อยๆ ลดการดื่มจนหยุดดื่มในที่สุด เพื่อจะพบพานกับความใสภายในตัวได้อย่างต่อเนื่อง อีกอย่างเมื่อก่อนผมทำอะไรไม่ค่อยคิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ ใช้เงินไม่ค่อยคิด ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และมักใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆอย่างไร้ประโยชน์ เช่น เที่ยวกลางคืน ตามคลับ บาร์ ต่างๆ ตอนนี้ผมเป็นคนคิดไตร่ตรองก่อนทำและใส่ใจในการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้น คือตัดสินด้วยใจใสๆ และตัดใจกับสิ่งหมองๆ ตอนนี้ผมได้พบเพื่อนดีๆซึ่งเป็นแรงจูงใจให้อยากมาวัดมากขึ้นด้วยครับ
 
    สมาธิช่วยผมในเรื่องงานด้วยครับ บ่อยครั้งขณะที่ทำงานกับคนไข้ เมื่อเห็นความทุกข์ความเจ็บปวดจากโรคภัย ทำให้ผมเศร้าและเครียด เหมือนรังสีความเจ็บไข้แผ่มาถึงใจผมด้วย และในฐานะแพทย์ มันสำคัญมากที่ต้องตระหนักถึง ความมีสติและใส่ใจกับทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น สมาธิช่วยให้มีสติ ใส่ใจและสังเกตเห็นรายละเอียดต่างๆ ทางกายภาพและเรื่องราวต่างๆของคนไข้ได้ ช่วยทำให้ผมทำงานได้นานหลายชั่วโมงโดยไม่ต้องหยุดพัก
 
    บางครั้งผมเดินไปหาที่เงียบๆ หลับตาสักพัก นึกถึงดวงแก้วใสๆหรือองค์พระที่ศูนย์กลางกาย ทำจนกว่าจะรู้สึกสงบแล้วก็กลับไปทำงานต่อ น่าทึ่งมากที่ทำเพียงเท่านี้ผมก็สดชื่นได้มากทีเดียว ไม่เศร้าไม่เครียด รังสีของความเจ็บไข้มาย้อมใจผมไม่ได้  ตรงกันข้ามผมมีกำลังใจเพียงพอที่จะเผื่อแผ่ให้คนไข้ได้ด้วย  ผมมักจะทำสมาธิอย่างนี้ตลอด ยิ่งตอนที่ต้องทำการผ่าตัดหรือต้องเข้าเวรซึ่งเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมง
 
    อีกอย่างหนึ่งสมาธิช่วยให้ผมเห็นใจคนอื่น โดยเริ่มจากการเข้าถึงใจของตัวเอง แล้วจึงเข้าใจและสื่อกับคนไข้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคนไข้หลายคนก็มีปัญหาอื่นๆที่ไม่ใช่โรคทางร่างกายเท่านั้น ส่วนมากมีปัญหาทางจิตใจควบคู่ไปด้วยครับ บางครั้งก็ยากที่จะสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ แต่สมาธิทำให้ผมมองเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ชัดเจน และนี่เองคือ คำที่จะมาเติมช่องว่างในหัวใจของผมให้สมบูรณ์ได้ ผมรู้สึกว่า “มนุษย์เรียนรู้ที่จะทำศัลยกรรมร่างกาย แต่ไม่ทำศัลยกรรมหัวใจกันเลย” ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า นอกจากจะรักษาไข้ทางกายแล้ว ผมสามารถที่จะเป็นหมอศัลยกรรมรักษาไข้ใจได้ด้วย
 
 
    ในอนาคตเมื่อเป็นหมอ ผมจะมีรูปแบบในการทำงานแบบนี้ คือรักษาไข้กายและไข้ใจให้ผู้คนด้วยครับ และการทำสมาธินี่แหละครับ คือกิจกรรมที่ดีที่สุดต่อร่างกาย และจิตใจ สามารถทำได้ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะพระสงฆ์หรือชาวพุทธเท่านั้น  ทุกศาสนาสามารถฝึก และได้รับประโยชน์การทำสมาธิได้เหมือนกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ ทำให้เราค้นพบจุดมุ่งหมายของชีวิตและเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้นด้วย
 
    สำหรับโรคทางกายภาพผมมีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยคอยสอน แต่สำหรับโรคทางใจ ผมขอยึดคุณครูไม่ใหญ่ เป็นสุดยอดคุณครูในดวงใจครับ ผมจะมุ่งมั่นศึกษาเรียนรู้ วิธีรักษาโรคทางใจ (ซึ่งทำให้หน้าใสได้ด้วย) อย่างน้อยถ้าผมสามารถทำได้สักเสี้ยวของคุณครูไม่ใหญ่ผมก็ภูมิใจแล้วครับ
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages//USA_Covan.html
เมื่อ 30 เมษายน 2567 09:44
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv