ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 79
 

    จากตอนที่แล้ว อาจารย์เสนกะได้เข้าไปสู่ห้องรับรอง ซึ่งมีนางอมราเทวีกำลังรอต้อนรับอยู่ เพียงได้เห็นใบหน้าของนาง ก็ถึงกับตื่นตะลึงในความงาม เกิดอาการประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    กระทั่งนางอมราเทวีต้องรีบทักขึ้นก่อนว่า “ยินดีต้อนรับค่ะ ที่ท่านอาจารย์มาเป็นเพื่อนสนทนา” ยิ่งได้ยินเสียงกล่าวต้อนรับจับใจเช่นนี้ ตัณหาก็พลันบดบังดวงปัญญาของอาจารย์เสนกะไปเสียสิ้น เกิดอาการประหม่าตอบนางด้วยความตื่นเต้นว่า “ฉันก็ยินดี ที่หญิงงามเช่นนางให้เกียรติฉัน”

    นางอมราฝืนยิ้มแสร้งยกยออาจารย์เสนกะไปว่า “ท่านอาจารย์เป็นถึงราชบัณฑิตผู้เรืองนาม ใครเล่าที่จะไม่ยินดีรับความกรุณาที่ท่านยื่นให้” อาจารย์เสนกะได้ฟังคำยกยอก็ยิ่งหัวใจพองโต เกิดคิดไปในทางอกุศล อัดแน่นอยู่ในอกจนหายใจติดขัด กล่าวรุกคืบเป็นเชิงขอนอนค้างแรมด้วยสักคืน

    นางอมราจึงชี้ชวนว่า “หากท่านจะพักผ่อนที่นี่ ก็ต้องเปลี่ยนผ้านุ่ง และอาบน้ำเสียก่อนซิ ดิฉันจะช่วยรดน้ำให้” อาจารย์เสนกะก็ทำตามอย่างว่าง่าย ตรงไปยังตุ่มน้ำซึ่งตั้งอยู่ในที่ไม่ไกล ส่วนนางอมราพอได้จังหวะ ก็ก้มลงถอดลิ่มสลักกระดานออก อาจารย์เสนกะก็พลัดตกลงไปในหลุมคูถทันที

    สาวใช้ในเรือนของนางอมรา ซึ่งต่างแอบถ้ำมองอยู่ใกล้ๆ เห็นเช่นนั้นต่างก็หัวเราะครึกครื้นขึ้นมาทันที นางอมราจึงปรามว่า “พวกเจ้าอย่าเอ็ดอึงนัก เดี๋ยวจักมีมาอีกเรื่อยๆ” พวกนางจึงค่อยๆเงียบลง แล้วต่างก็เฝ้ารอดูผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไป

    ครั้นถึงเวลานัด อาจารย์ปุกกุสะก็มาตรงตามเวลานัดหมายโดยมิให้คลาดเคลื่อน ฝ่ายนางอมราเทวีก็รอต้อนรับด้วยอัธยาศัยอันงาม

    ครั้นต่างเจรจาปราศรัยด้วยถ้อยคำหวานหู จนอาจารย์ปุกกุสะตายใจแล้ว นางจึงได้เชื้อเชิญให้อาจารย์ปุกกุสะอาบน้ำด้วยอุบายอย่างเดียวกัน เพียงเท่านั้นอาจารย์ปุกกุสะก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมคูถอย่างไม่เป็นท่า เท่า
นั้นยังไม่พอ ศีรษะของอาจารย์ปุกกุสะยังกระแทกเข้ากับศีรษะของอาจารย์เสนกะซึ่งรอท่าอยู่ในหลุมเข้าอย่างจัง จึงร้องตะโกนถามด้วยความตกใจว่า “เฮ้ย นั่นผีหรือคนน่ะ”

    อาจารย์เสนกะทั้งเจ็บตัวและเจ็บใจ รีบตะโกนตอบเสียงดังลั่นว่า “คนโว้ยคน ข้าอาจารย์เสนกะยังไงเล่า” ว่าแล้วก็ย้อนถามว่า   “แกล่ะ ผีหรือคน”

    “นั่นท่านอาจารย์เองหรือ นึกว่าผีที่ไหน ผมปุกกุสะขอรับ”  อาจารย์ปุกกุสะตอบ พลางถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วท่านอาจารย์มารอผมตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ”
 
    อาจารย์เสนกะถูกถามเช่นนั้นก็ยิ่งหงุดหงิดใจ จึงบอกปัดด้วยอารมณ์ขุ่นว่า “จะถามไปทำไมกัน เอาเป็นว่า ตอนนี้เราสองคน ต่างกำลังเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายเหมือนๆกัน หลุมนี้น่ะทั้งมืดทั้งเหม็นอย่าบอกใคร ยอมรับชะตากรรมเสียเถอะ แล้วก็ช่วยอยู่เงียบๆด้วย ต่อไปนี้ เราจะรอดหรือไม่รอดนั้น ก็อยู่ที่ความเมตตาของนางอมราแล้วล่ะ”

    อาจารย์เสนกะและอาจารย์ปุกกุสะกำลังปรับทุกข์กันอยู่พักใหญ่ แต่แล้วจู่ๆก็มีอีกร่างหนึ่งหล่นโครมครามลงมา เอาศีรษะพุ่งชนเต็มๆระหว่างอาจารย์ทั้งสอง

พลันเสียงร้องโอดครวญก็ประสานเสียงดังระงมก้องอยู่ในหลุม “เฮ้ย นั่นใครกัน นี่ข้าเสนกะกับปุกกุสะนะ”

    อาจารย์เสนกะตะโกนถามเช่นนั้นเพราะมั่นใจว่า ร่างที่ร่วงหล่นมาเมื่อสักครู่ คงมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากอาจารย์กามินทะหรือไม่ก็เทวินทะ

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจารย์กามินทะถูกถามจึงรีบตอบทันทีว่า “ผมกามินทะครับ”  กล่าวตอบออกไปพร้อมกับความสงสัยอยู่ครามครันว่า เหตุใดอาจารย์ทั้งสองจึงมารอตนอยู่ในหลุมคูถนี้

    ครั้นได้รู้ว่าต่างคนต่างก็มาด้วยวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน อาจารย์กามินทะจึงเงียบเสียง ปล่อยให้อาจารย์เสนกะบ่นงึมงำไปคนเดียว “อืมม... หนึ่งคน สองคน สามคน นี่สามคนแล้ว รออีกหน่อย เดี๋ยวก็คงครบชุดแน่ๆ”

    อาจารย์เสนกะยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างของอาจารย์เทวินทะก็ร่วงหล่นลงมากลางวง เสียงร้องอึกทึกก็ดังขึ้นอีก

    อาจารย์เสนกะแม้จะรู้ว่าต้องเป็นอาจารย์เทวินทะโดยไม่ต้องสงสัย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีแก่ใจถามว่า “นั่น เทวินทะใช่ไหม”  อาจารย์เทวินทะก็รับว่า “ใช่“

จึงเป็นอันว่าอาจารย์ทั้งสี่นั้น แทนที่จะได้ร่วมอภิรมย์กับนางอมราเทวีตามที่ตนปรารถนา แต่ในที่สุดก็กลับถูกนางล่อหลอกให้มาตกหลุมพราง ที่โชยกลิ่นเหม็นจนสุดจะทนทาน ที่ร้ายกว่านั้นทุกคนยังต้องเบียดเสียดกันอยู่ในหลุมที่ทั้งมืดทั้งคับแคบ โดยที่มองไม่เห็นทางว่าจะรอดไปได้อย่างไร

    ครั้นแล้วอาจารย์ทั้งสามจึงถามอาจารย์เสนกะผู้เป็นหัวหน้าคณะของพวกตนว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ”

    อาจารย์เสนกะสงบอารมณ์ได้ก่อนใคร แม้จะได้รับความทุกข์ยากไม่น้อยไปกว่าใคร แต่ก็สู้ปลอบใจทุกคนว่า “อืม..พวกท่านอย่าส่งเสียงอึกทึกไปเลย นิ่งๆเสียบ้างเถอะ การบ่นน่ะไม่ได้ช่วยอะไรเราได้หรอก ทีนี้พวกท่านคงรู้แล้วสินะว่า เพียงแค่ได้รับความอดสูมันก็ยังพอทน แต่ที่ต้องมาอับจนหนทางรอดนี่ซิมันช้ำใจนัก”

    อาจารย์ทั้งสามก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ยอมรับชะตากรรมยืนแซ่วคอตกอยู่ในหลุมนั้น ต่างกล้ำกลืนฝืนทนสูดดมกลิ่นอุจจาระไปจนตลอดคืน มีความรู้สึกเกิดขึ้นในใจเหมือนกันอย่างหนึ่งว่า “คงไม่มีราตรีกาลใดๆในชีวิต ที่จะทุกข์ทนยืดยาวเท่าราตรีนี้แล้ว”

    ไม่น่าเชื่อเลยว่า บัณฑิตทั้ง ๔ แห่งมิถิลานคร ที่ได้ชื่อว่ามีความฉลาดรอบรู้ยิ่งกว่าใครในพระนคร จนได้รับตำแหน่งราชบัณฑิตที่ปรึกษาใกล้ชิดของพระราชา แต่กลับต้องมาเสียทีแก่สตรีสาวสวยเยี่ยงนางอมรา

นี่แหละที่เขามักพูดว่า “ผู้หญิงยิ่งสวย ยิ่งอันตราย”  เพราะนางจะใช้ความสวยของนางเป็นอำนาจทำผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ให้ตกหลุมรักนาง ยอมตนอดทนอยู่ในหลุมรักนั้นด้วยความยินดี ต้องลำบากทำงานหาเงินมาปรนเปรอนางจนตลอดชีวิต ขาดอิสระที่จะออกบวชไปตลอดชาติ

หากว่าชายใดที่ยังเป็นโสด ก็โปรดอย่าเพิ่งไปตกหลุมรักใคร มิเช่นนั้น ก็จะเสียโอกาสในการออกบวช ต้องเสียทีแก่สตรีเช่นกับบัณฑิตทั้ง ๔ ที่ตกหลุมรักนางอมรา ต้องยอมรับชะตากรรมด้วยความเซ่อซ่าของตนอยู่ในคืนอันมืดมิดเช่นนี้ ส่วนว่า อาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อถึงรุ่งสางแล้ว พวกเขาจะต้องพบกับอะไรอีกนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages//mahosathapandita079.html
เมื่อ 8 พฤษภาคม 2567 04:56
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv